องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1059 เข้าเฝ้า
กล่าวขึ้นแล้ว ไช่หนานก็สบตาหวังทง หวังทงอึ้งไป เสียงดังว่า
“ถอยออกไป!”
ด้านนอกมีเสียงรับคำ หลังเสียงฝีเท้าไปไกล มีคนตะโกนบอกจากที่ไกลๆ คนนอกห้องทั้งหมดถูกให้ถอยออกไปไกล ไช่หนานอยู่ข้างกายหวังทง แน่นอนเข้าใจธรรมเนียมนี้
หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จางเฉิงก่อนจากไปมีวาจาต้องการกล่าวกับตน ต้องการกล่าวอันใด สายสัมพันธ์สองฝ่ายแม้ว่าชิดใกล้ แต่ในสภาพการณ์นี้ จะกล่าวอันใดกัน เขาคิดไม่ออก
“จางกงกงบอกว่า ท่านสร้างความชอบใหญ่ แต่ความชอบมากไป ยังต้องรู้จักถอยให้เป็น ชีวิตไม่แน่นอน ลูกหลานอย่างไรก็มีอนาคตได้สืบทอดตำแหน่งเว่ยกั๋วกง หากไม่ทำเช่นนี้ ระวังภัยมาถึงตัว!”
“ข้าทำอะไรไปมากมาย กลับ….”
หวังทงเอ่ยขึ้น กล่าวไม่ทันจบก็ไม่กล่าวต่อ สีหน้าแค่นยิ้ม ไช่หนานไม่กล่าวต่อ ความจริงนั้นวาจานี้เป็นจางเฉิงคุยส่วนตัว แต่ไยใช้วาจาเป็นทางการ ความหมายไม่มากนัก วาจานี้หวังทงตอนอยู่เทียนจินมีคนเตือนเช่นนี้แล้ว คิดไม่ถึงจางเฉิงก่อนจากไปยังกล่าวเช่นนี้
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงกระแอมไอเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ายกทัพปราบเจี้ยนโจวตะวันออกแล้วก็ไปเมืองซงเจียง ตอนนี้อยู่เมืองซงเจียงก็เพียงแค่ทำการค้ามีกำไรอยู่บ้าง จางกงกงก่อนจากไปกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการเตือนที่สำคัญยิ่ง หวังทงต้องจดจำให้ขึ้นใจ ที่หวังทงทำตอนนี้ล้วนเป็นไปตามกระบวนการ ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ก็เพื่อลูกหลานวันหน้าเท่านั้น!”
ไช่หนานมองหน้าหวังทง แม้เขาเป็นเหลียวกั๋วกง สูงสุดบนแผ่นดินหมิง ชื่อของเขาย่อมมีคนกล่าวถึงมากกว่าสิบปีขึ้นไปจากนี้ แต่หวังทงยังคงเป็นคนหนุ่มอายุไม่ถึง 30 วาจานี้ พูดแล้วเหมือนคนแก่อายุ 70 ใกล้ฝั่ง
ชั่วขณะหนึ่งนั้น ไช่หนานเองก็ไม่รู้กล่าวอันใดดี ได้แต่ยิ้มเจื่อน กล่าวว่า
“ไหนเลยแค่นี้….”
หวังทงกลับไม่กล่าวอันใด สองฝ่ายนั่งกันนิ่งเงียบ หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ในใจมีความระวังตัวขึ้นอีหลายส่วน วาจาไช่หนานเป็นการลองใจ คำตอบตนกับท่าทีคงต้องรายงานเข้าวัง
****************
การมาเยือนค่ำคืนนี้น่าเบื่อยิ่ง ปกติหวังทงกับไช่หนานสนิทกันมาก มักคุยเรื่องนั่นเรื่องนี่ เรื่องงานราษฎร์งานหลวง คุยกันสนุกสนาน แต่คืนนี้เหมือนว่าไร้วาจาจะสนทนา
ไช่หนานนั่งอยู่สักครู่ก็ขอตัวกลับ กลับไปยังห้องตนเองแล้ว ก็ให้คนรับใช้ออกไป ตนเองไปนั่งนิ่งบนโต๊ะหนังสือ คิดอยู่นาน เทียนใกล้มอดจึงได้ได้สติ ลังเลครู่หนึ่ง ก็ควักเอากระดาษหนึ่งออกมา บนนั้นมีอักษร อ่านไปมารอบหนึ่ง เหมือนว่าจะจดจำเนื้อหาไว้ให้แม่นมั่น ก่อนจะจ่อกับเทียนเผาทิ้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น โจวอี้มาหาถึงที่ เปิดประเด็นถามขึ้นตรงๆ ว่า
“จางกงกงเหลือเพียงวาจาเดียวหรือ?”
ไช่หนานต่อหน้าโจวอี้ไม่กล้าเพิกเฉยรอช้า รีบเขามานอบน้อม
“จางกงกงทูลฝ่าบาทได้รายงานแล้ว ข้าไม่กล้ามีสิ่งใดปิดบัง!”
โจวอี้โบกมือ เอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องที่กล่าวเช่นกันกับเหลียวกั๋วกง ส่วนตัวมีเพียงวาจานี้หรือ?”
เห็นไช่หนานสีหน้าแปรเปลี่ยน โจวอี้ส่ายหน้าอธิบายว่า
“เหลียวกั๋วกงพูดเอง เจ้าอย่าได้คิดมาก จางกงกงทำงานแต่ไร้ไม่เคยมีช่องโหว่ ส่วนตัวสั่งไว้แค่วาจานี้หรือ?”
“บิดาบุญธรรม แค่วาจานี้เท่านั้น”
ได้ยินไช่หนานตอบ โจวอี้ยังรู้สึกน่าแปลก ส่ายหน้าพึมพำกับตนเอง เหมือนถามตัวเอง ยังเหมือนถามไช่หนาน เบาๆ ว่า
“ตามนิสัยบิดาบุญธรรม ไม่ควรเป็นเช่นนี้!”
ไช่หนานยืนนอบน้อมเงียบ โจวอี้รับใช้จางเฉิงมานานหลายปี การทำงานของจางเฉิงย่อมเข้าใจมาก ไช่หนานเทียบไม่ได้
*****************
โจวอี้เป็นขันทีสำนักส่วนพระองค์ ไช่หนานสถานะขันทีสำนักอาชาหลวง หวังทงเป็นเหลียวกั๋วกง พวกเขาสามคนมาจัดงานศพให้จางเฉิงที่เทียนจิน ส่งขันทีชรา พิธีนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลี่หู่โถว หม่าซานเปียว จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ กู่จื้อปิน เหรินย่วนพวกคนมีตำแหน่งในเทียนจินล้วนเข้าร่วมงาน
ไม่เพียงแค่พวกเขา ยังมีท่าทีของฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ คนในวังกับสำนักขันทีแต่ละแห่งใต้หล้า อย่างไรก็ต้องส่งคนมา ไม่ก็นำสารอาลัยมา เมืองหลวงกับเขตปกครองเหนือ ซานตง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ต้องส่งสารอาลัยมา
เห็นพวกเขาเช่นนี้ พ่อค้าใหญ่เมืองหลวงและเทียนจินไม่รอช้า อย่างน้อยต้องส่งคนไป ให้ได้เข้าไปกราบไหว้ศพด้านใน นับว่าเป็นหน้าเป็นตาตนเอง นับว่าได้แสดงน้ำใจแล้ว และยังได้แสดงท่าทีต่อหน้าหวังทง
งานศพยิ่งใหญ่ พิธีก็อลังการ นับว่าให้ใต้หล้าได้เห็นถึงความอาลัยที่ฮ่องเต้ว่านลี่มีต่อจางเฉิง จัดการเรื่องนี้เสร็จ หวังทงรู้สึกว่าตนเองเหนื่อยยิ่งกว่าผ่านสมรภูมิรบมาเสียอีก
เขาอยู่เทียนจินเกือบสิบปี แน่นอนไม่ใช่ไม่คุ้นเคยพื้นที่ ที่นี่แน่นอนได้พักผ่อนเพียงพอ แต่ทว่ากลับไม่อาจพักผ่อน ปลายเดือนเก้าเสร็จพิธีศพ ตามคำสั่งเสียจางเฉิง ให้ฝังที่เขาลูกหนึ่งในเทียนจิน จากนั้นหวังทงเร่งเดินทางไปเมืองหลวง เพราะฮ่องเต้ว่านลี่รอพบเขา
โอรสสวรรค์คิดพบหวังทง และยังเป็นการเร่งด่วน ใต้หล้ายอมรับอีกครั้งว่าเหลียวกั๋วกงเป็นที่โปรดปรานยิ่ง ยังคาดคะเนไปต่างๆ นานา
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการหลายวันแล้ว แต่เรียกพบหวังทงในการประชุมขุนนาง หลังเลิกประชุมขุนนางก็ยังพระราชทานเลี้ยงในวัง นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ ขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่สบตากันส่ายหน้า ทำอะไรไม่ได้
ฮ่องเต้และขุนนางพบหน้ากัน เดิมทีควรเป็นดังเพื่อนเก่าได้พบกัน แต่เพิ่งจะเสร็จจากงานศพ ทำให้สองคนจิตใจยังคงหดหู่มาก ฮ่องเต้ว่านลี่เองไม่รู้ว่าจะตรัสอันใด นิ่งไปนานก่อนจะถอนหายใจตรัสว่า
“น่าให้เสี่ยวเลี่ยงไปเทียนจิน จางปั้นปั้นเห็นเขาเหมือนลูกหลาน คิดไม่ถึงก่อนจากไปจะไม่ได้พบหน้า”
“ฝ่าบาททรงเข้าใจจิตใจจางกงกงเช่นนี้ จางกงกงในปรภพย่อมซาบซึ้งพระทัย”
หวังทงตอบไปตามมารยาท ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ คว้าเอาจอกทรงสูงดื่มเหล้าองุ่นไปคำหนึ่ง ตอนนี้ในวังของกินของใช้ล้วนเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา ระยะนี้สินค้าตะวันตกและประเทศต่างๆ มาจากเทียนจิน ไม่ว่ามีอันใดแปลกใหม่ ก็ล้วนซื้อหาเข้าวังมาโดยขันที หากโอรสสวรรค์พอพระทัย ครั้งหน้ายังจะส่งใบสั่งไปอีก จากนั้นก็มีชนชั้นสูงเมืองหลวงตามกระแสทันที เทียนจินตอนนี้ทำการค้าพวกนี้โดยเฉพาะ ได้กำไรมากมายมหาศาล
“เจ้าตอนนี้มีลูกสาวสองลูกชายหนึ่ง ไม่เลวๆ แต่ยังสู้เราไม่ได้ เรามีลูกชายสามลูกสาวเจ็ดแล้ว เรามักจะพาไปเดินเล่นที่ถนนทักษิณ พาพวกเขาไปกินเนื้อน้ำแดง เด็กๆ ยิ่งกินยิ่งอ้วน ตอนนี้เราเลยนำพวกเขาออกกำลังกายด้วย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส บรรยากาศผ่อนคลาย ตรัสไปๆ หวังทงก็ยังนิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มหมดอารมณ์ แกว่งจอกเงินในพระหัตถ์ไปมา พึมพำตรัสว่า
“ตอนนั้นเสด็จแม่และท่านจางให้เราประหยัด คิดกินเนื้อให้สะใจก็ทำไม่ได้ เป็นจางปั้นปั้นพาเราออกจากวังไปกิน และก็เป็นเจ้าที่เปิดหอเลิศรส…เรา….”
พูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ แกว่งจอกเหล้าต่อ เหล้าในนั้นล้วนกระฉอกออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าไม่รู้พระองค์ หวังทงยามนี้รู้สึกว่าลำคอเริ่มตีบตัน นั่งนิ่งไม่รู้กล่าวอันใดดี นี่นับเป็นความทรงจำวัยเด็ก ตอนนั้นทุกคนยังไม่มีความคิดระแวง
แต่อารมณ์หวังทงกลับเป็นปกติรวดเร็ว เขาสังเกตคำว่า ‘เสด็จแม่’ กับ ‘ท่านจาง’ คำนี้ หวังทงยังจำได้ว่าตนเองตอนยังไม่จากเมืองหลวงลงใต้ ฮ่องเต้ตรัสถึงสองคนนี้ ล้วนเรียกว่า ‘ไทเฮา’ กับ ‘จางจวีเจิ้ง’ เหมือนเป็นสองคนที่ไม่อยากทรงเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้สุรเสียงเปลี่ยนไปแล้ว
คนเราอารมณ์เวลาหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง ผ่านเวลานานไปก็เปลี่ยนไป ผ่านอะไรมามาก ความรู้สึกเดิมก็ย่อมแปรเปลี่ยน
หวังทงนั่งลังเลครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นมา คุกเข่าถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องทูลขอ ขอฝ่าบาททรงอนุญาต”
ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดแกว่งจอกเหล้าในพระหัตถ์ จิบไปคำหนึ่งก่อนจะแย้มสรวลตรัสถามว่า
“เมืองซงเจียงอยู่ไม่สบาย คิดจะกลับมาหรือ?”
หวังทงคุกเข่าอยู่ ไม่ได้เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ เขากล่าวเพียงว่า
“ฝ่าบาท ไทเฮาฉือเซิ่งตอนนี้ยังอยู่นอกวัง ฝ่าบาททรงดีกับจางกงกงเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งคิดแล้วก็น่าจะทรงอุ่นพระทัย”
วาจานี้ไม่ต่อเนื่องกัน และยังมีความขัดแย้ง ฮ่องเต้ว่านลี่วางจอกเงินในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ ตกลงในภวังค์ความคิด ทรงเงียบไปนานสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงยืนขึ้น เข้าไปประคองหวังทงลุกขึ้น มองสีหน้านิ่งสงบของหวังทง พยักพระพักตร์ตรัสว่า
“เจ้าเป็นขุนนางภักดี เจ้าเป็นขุนนางภักดีจริง!”
ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือฮ่องเต้ว่านลี่ผู้เดียวแล้ว ขุนนางบุ๋นและชนชั้นสูงอื่นไม่อาจมาสมดุลอำนาจได้แล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งไม่มีอิทธิพลมากในวังนอกวังอีกแล้ว ครั้งนี้จางเฉิงจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสียพระทัยมาก ส่งคนไปจัดการงานศพ ไม่มีอันใดผิดพลาด แม้แต่บ่าวยังได้รับความสำคัญเช่นนี้ มารดาตนยังอยู่บ้านท่านน้าอยู่ เป็นเรื่องที่ทำให้คนปากมากได้
จางเฉิงอายุมากแล้ว ต้องลมเป็นหวัดจากไป ไทเฮาฉือเซิ่งพลานามัยไม่ดีนัก หากสิ้นพระชนม์นอกวังไป คุณธรรมฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ให้ยุ่งยากมาก แต่ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ไรไม่เคยมีท่าทีในเรื่องนี้ก็มีสาเหตุ การตัดสินใจยังคงเป็นพระองค์ เก็บคืนดำรัสยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะทรงกุมอำนาจไว้มั่นผู้เดียว ไม่ก็มีขุนนางถูกโบยตายไปก่อนหน้าก็ได้ ทำให้ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยถึง
พูดให้ถูกก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ต้องการบันไดลง ต้องการให้มีใครเอ่ยขึ้น หวังทงมองทะลุเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนทำตาม ย่อมไม่ใช่เพราะขุนนางคนโปรดทูลจึงได้กระทำ อย่างไรก็ต้องให้ขุนนางบุ๋นหารือกันอีก ต้องไปตามกระบวนการขั้นตอนให้จบ”
“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง เรามีเรื่องก็ไม่มีคนให้คำปรึกษา ไม่มีคนคุยเรื่องการแผ่นดินกับเรา น่าเบื่อมาก รอเจ้าจัดการเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเสร็จก่อน กลับมาเมืองหลวงละกัน เราได้จะได้ร่วมกันหารือการงาน”
หลังเสนอขึ้นแล้ว ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใกล้ชิดกับหวังทงอีกไม่น้อย ก่อนหน้าแน่นอนไม่ใกล้ชิด สามารถมารับพระราชทานเลี้ยงในวังได้ คุยกันส่วนตัวได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสายสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่หวังทงหลังเสนอความเห็น ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
บางทีความเห็นนี้อาจทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่แก้ปัญหาในพระทัยได้ จากนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เห็นได้ว่าผ่อนคลายลงมาก ก่อนหน้าที่บรรยากาศอึมครึมก็มลายสิ้นไป
“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง ทำให้เราวุ่นวายใจยิ่ง หลายวันก่อน มักมีคนมาบอกเราว่า หู่โถวอำนาจมากไป สายสัมพันธ์กับเทียนจินแน่นแฟ้นไป หู่โถวชาติกำเนินต่ำต้อย ยากจะรับมือกับเรื่องคุณธรรมใหญ่ เห็นแล้วไม่เข้าใจ ให้เราเลือกคนที่เหมาะสมกว่าไปดำรงตำแหน่ง”
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวเช่นนี้ หวังทงเองก็เผยสีหน้าตกใจ เรื่องนี้หวังทงตอนอยู่เมืองซงเจียงไม่ได้ข่าว ก็แสดงว่าไม่ได้มาทางปกติหรือมาทางเส้นทางทางการ น่าจะเป็นชนชั้นสูง ไม่ก็ในวังกระพือกระแส
“หู่โถวจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างยิ่ง หู่โถวแม้ว่าอายุน้อย แต่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านอะไรมามาก ทำงานล้วนรอบคอบ เรื่องนี้ขอฝ่าบาทวางพระทัยได้”
เรื่องหลี่หู่โถว หวังทงแน่นอนรู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยังตรัสไม่จบ วาจอกสุราลงบนโต๊ะ สีพระพักตร์ปรากฏรอยแย้มสรวลฝืนๆ ตรัสว่า
“เจ้ารู้เป็นผู้ใดฝากคนมาสร้างกระแสเรื่องนี้ไหม? เป็นตระกูลลี่!”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงเหมือนตั้งสติไม่ทัน ตระกูลลี่แน่นอนเป็นตระกูลลี่เทา ลี่เทาเป็นกองกำลังหู่เวยที่มีฝีมือ ไปนั่งตำแหน่งสำคัญอยู่ที่ส่านซี เหตุใดจึงมากล่าวให้ร้ายหลี่หู่โถวลับหลัง
“เราเองรู้ ใครก็ล้วนคิดอยากไปลงหลักเมืองหลวงและเทียนจิน หรือที่อื่นไม่ใช่แผ่นดินหมิง จะว่าไป พวกเขากับเรามีอันใดไม่อาจกล่าว วกไปเลี้ยวมาหาคนมาเอ่ยแทน ไม่สนใจหมด”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างเสียไม่ได้ การกระทำนี้ของลี่เทา ทำให้หวังทงตกใจมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าแท้จริงเขาต้องการสิ่งใด
ลี่เทามีความชอบ แต่ทะเยอทะยาน ตอนนี้โอรสสวรรค์อายุยังน้อย หากได้มาอยู่ใกล้เมืองหลวง อาศัยเมืองหลวง วังหลวงใกล้หน่อย วันหน้าย่อมได้เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ใหญ่ อีกเรื่อง ตอนนี้ใต้หล้าหากพูดถึงรุ่งเรืองร่ำรวยแล้ว เช่นนั้นที่ใดจะเหนือไปกว่าเมืองหลวงและเทียนจิน ส่านซีทางนั้นลำบากอยู่สักหน่อย
อีกเรื่องหนึ่งคือ หวังทงไปเมืองซงเจียง หลี่หู่โถวกับหวังทงสายสัมพันธ์ใกล้ชิดมาก จะถูกระแวงหรือไม่ ไม่ก็อาจส่งคนมายุ ก็ทำให้เกิดความระแวงได้ ล้วนเป็นไปได้ หากคนกันเองอาจไม่ทำ แต่ลี่เทาเป็นคนประเภทที่สามารถลงมือกระทำเรื่องพวกนี้ได้
แน่นอนเรื่องราวย่อมมี การกระทำของลี่เทาก็แค่คิดอยากให้ตนกับหลี่หู่โถวได้เปลี่ยนตำแหน่งกัน ไม่คิดทำร้ายกันจริง บรรดาหัวหน้ากองกำลัง หลี่หู่โถว ลี่เทา ซุนซิงล้วนมาจากลานฝึกหู่เวย เคยเป็นทหารติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ ได้แต่งตั้งไปประจำที่ต่างๆ ที่ใดดีกว่าที่ใด สถานะสูงหรือต่ำ แน่นอนมีความแตกต่าง ไม่มีหวังทงคุมด้านบน ความขัดแย้งแน่นอนย่อมเกิด
ลี่เทามีตระกูลลี่หนุนหลัง มีที่มาไม่เหมือนขุนพลทหารอื่น
“…เหลวไหลจริง…”
หวังทงเองไม่รู้กล่าวอันใดดี เป็นนานกว่าจะเอ่ยออกมาเช่นนี้