องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1060 ล้วนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ตอนหวังทงอยู่ ทุกคนในกองกำลังหู่เวยล้วนให้เขาเป็นหัวหน้า แม้สถานะหัวหน้ากองไม่เหมือนกัน แต่ต่อหน้าหวังทงก็ได้แต่รับคำสั่งทำตาม
ตอนนี้กองกำลังหลวงเท่ากับอยู่ภายใต้การสั่งการของโอรสสวรรค์โดยตรง ตั้งแต่หลี่หู่โถวไปจนถึงหานกัง ตำแหน่งระดับขุนนางและสถานะสูงต่ำแตกต่าง แต่สถานะระหว่างกันเรียกว่าเท่าเทียม ระหว่างพวกเขาไม่แตกต่างกัน
หลี่หู่โถวไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ไม่มีคนใหญ่คนโตอันใด บิดาหลี่เหวินหย่วนสถานะยังไม่สูงเท่าเขา เขากับหานกังนับเป็นสายหวังทง ลี่เทากลับเป็นสายขุนพลอันดับหนึ่ง บิดาและพี่ชายล้วนเป็นขุนพลทหารผู้บัญชาการ มีอำนาจไม่ธรรมดา ซุนซิงนั้นค่อนข้างคุ้นเคยดีกับทหารกองกำลังหลวง ส่วนฉีอู่นั้นแม้เป็นทหารติดตามหวังทง แต่เขามีเมืองจี้โจวหนุนหลัง ถานปิงที่ซานซี ก็มีพวกขุนพลตระกูลถาน หลายปีมานี้กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับกลุ่มพ่อค้าซานซีล้วนมีสายสัมพันธ์กับเขาแน่นแฟ้น ให้การสนับสนุนต่างๆ ได้มากมาย
เบื้องหลังเหล่านี้กับสายสัมพันธ์ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่ละหน่วยขยายตัว ขุนพลทหารแต่ละระดับเลื่อนขั้น หัวหน้ากองแต่ละคนอย่างไรก็ต้องส่งเสริมพวกที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตน
เรื่องนี้เข้าใจได้อยู่ บนสนามรบผู้ใดล้วนหวังให้ลูกน้องเชื่อฟัง บัญชาการแล้วก็สามารถมั่นใจได้
หวังทงเองก็แอบยอมรับการกระทำเช่นนี้ เพราะทหารแกนหลักแต่ละหน่วยล้วนเป็นคนเก่าแก่จากกองกำลังหู่เวย เขาไม่ต้องเป็นห่วงว่าตนเองสั่งการไม่ได้ การปล่อยให้คนพวกนี้ทำอะไรบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี
ในเรื่องนี้ เด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยไม่น้อยล้วนเป็นกำลังสำคัญของกองกำลังหู่เวย ลี่เทานำทหารเมืองเซวียนฝู่ แน่นอนย่อมเป็นกำลังเขา ซุนซิงนำกำลังเมืองหลวงเองก็เช่นกัน สองฝ่ายล้วนยกให้ซุนซิงกับลี่เทาเป็นแกนนำ
สองหน่วยของลี่เทากับซุนซิงเป็นกองกำลังหู่เวยหน่วยรบสองและสาม มีคนเก่าแก่มาก ความสามารถในการรบแบบกองกำลังหู่เวยก็ดีเยี่ยม
ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย ลี่เทากับซุนซิงสายสัมพันธ์ธรรมดา ต่อมามาเป็นคนหวังทงด้วยกัน แม้ใกล้ชิดไม่น้อย แต่ก็นับว่ามีพื้นที่ของตนเอง ตอนสองฝ่ายมีความขัดแย้ง ความใกล้ชิดนี้ก็ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป
อย่าว่าแต่พวกเขาสองคน แม้ว่าเป็นทหารติดตามที่เหลือของหวังทงได้ไปเป็นหัวหน้ากองกำลัง ระหว่างกันก็ย่อมมีความใกล้ชิดและเหินห่างที่ต้องแยกกันให้ดี
หวังทงแน่นอนรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่อาจกล่าวกับฮ่องเต้ว่านลี่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้ด้วยพระองค์เองย่อมดีที่สุด หากไม่แล้วก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ หากมองจากมุมคนนอก ระบบกองกำลังหู่เวยแต่ละหน่วยไม่เป็นหนึ่งกันนัก บางทีฮ่องเต้ว่านลี่อาจต้องการให้เป็นเช่นนี้มากกว่า
ดังนั้นที่หวังทงพูดได้ ก็มีแต่คำว่า ‘เหลวไหล’ เท่านั้น เห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องนี้ทรงไม่สังเกตเห็นจริง เพียงแต่เป็นเรื่องสนทนาทั่วไปเท่านั้น
****************
การคุยกันครั้งนี้ก็คุยไปถึงเวลาปิดประตูวังหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ว่าทรงคุยอย่างออกรส หวังทงไปแล้ว ในวังในราชสำนักไม่มีคนคุยกับพระองค์นานนัก
ในนั้นพูดถึงมหาอำมาตย์เซินสือหังคณะเสนาบดีใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์มาแปดปีแล้ว แม้เซินสือหังไม่พูดไม่จา ไม่ใช่แค่ในราชสำนัก แม้แต่ชีวิตส่วนตนก็ยังเรียบง่าย แต่มหาอำมาตย์อย่างไรก็เป็นมหาอำมาตย์ อยู่ในสถานะนี้ อิทธิพลย่อมขยายออกไป แทรกซึมเข้าไปในหลายด้านอย่างไม่รู้ตัวแล้ว
ตอนนี้ราชสำนักตำแหน่งสำคัญมากมายล้วนเป็นคนของเขา ในท้องที่ก็เป็นศิษย์เซินสือหังครองอำนาจใหญ่ บ่าวในจวนก็เป็นเช่นดังอิ๋วชีในตอนนั้น
ดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่แสดงให้เห็นชัดว่า ไม่ทรงคิดให้เซินสือหังครองไปถึงสิบปี ตามความคิดฮ่องเต้ว่านลี่ ตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่นี้ครองนานไป กุมอำนาจราชสำนักได้ ก็ย่อมเป็นการคุกคามต่อพระราชอำนาจ ตั้งแต่เซี่ยเหยียน เหยียนซง สวีเจี้ย จางจวีเจิ้งล้วนเป็นเช่นนี้ ทรงไม่ยอมให้เซินสือหังมีโอกาสเช่นนี้
แต่ไม่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นไร หวังทงตอนอยู่เมืองซงเจียงก็เข้าใจแล้วจากข่าวหลายทาง เซินสือหังเองก็คิดจะลาออกจากตำแหน่ง ครองตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่นานไป มีจุดจบที่ดีนั้นยาก ตัวอย่างก่อนหน้าล้วนแสดงให้เห็นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด
หลังเซินสือหัง ผู้ใดควรมารับตำแหน่งมหาอำมาตย์ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงโต้แย้งกัน คณะเสนาบดีใหญ่มีรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย มีชื่อเสียงชื่นชมสนับสนุนเพียงพอ คำวิจารณ์จากขุนนางส่วนกลางล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อก่อนฮ่องเต้ว่านลี่เลือกมหาอำมาตย์ ยังต้องมาถามความเห็นหวังทง ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว แค่มาคุยกับหวังทงเป็นเรื่องสนทนาทั่วไปเท่านั้น
ยังเอ่ยถึงเรื่องหนึ่ง พานจี้ซวิ่นเคยเป็นเสนาบดีกรมโยธา ยามนี้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับการจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง ชื่อว่า “งานจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง”
พานจี้ซวิ่นผู้นี้เป็นหนึ่งในขุนนางใหญ่ที่ตอนนั้นจางซื่อเหวยส่งเสริมมา ล้วนขัดแย้งกับเซินสือหังและหวังทง การโต้แย้งในราชสำนักมีความขัดแย้งไม่น้อย ล้วนเป็นคนผู้นี้ แต่ทว่าคนผู้นี้มีใจคิดจัดการแม่น้ำแยงซีเกียงอยู่มาก เป็นขุนนางสามารถที่หาได้ยาก
สมัยหมิงนี้การจัดการแม่น้ำใช้เงินไม่น้อย ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้างบนลำน้ำแยงซีเกียง ล้วนเป็นงานที่มีเงินทองตกถึงมือมาก แต่ทว่าพานจี้ซวิ่นทำงานมีวินัยมาก ในฐานะเสนาบดี หากกล่าวว่าบ้านยากจนก็ยากจะลวงผู้อื่นได้ แต่ครอบครัวพานจี้ซวิ่นอย่างมากก็เป็นแค่คนพอมีเงินเท่านั้น
ยุคสมัยนี้การจะพิมพ์หนังสือสักเล่ม ใช้เวลาและแรงงานไม่น้อย เสียเงินทองยิ่งมาก ไม่ใช่ที่พานจี้ซวิ่นจะแบกรับค่าใช้จ่ายไหว หากมีพ่อค้าร่ำรวยใจดีออกเงินพิมพ์หนังสือนี้ให้
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเป็นบทสนทนาทั่วไป หวังทงเองก็ร่วมวงสนทนาไปด้วย ความจริงนั้นหนังสือพานจี้ซวิ่นเล่มนี้เขียนเมื่อห้าปีก่อน แต่ทว่าเนื้อหามีการปรับเปลี่ยนใหญ่ เหตุใดมีการปรับเปลี่ยนใหญ่ ก็เพราะพานจี้ซวิ่นใช้เส้นทางกรมโยธาได้รับรู้เรื่องราวการก่อสร้างของทางการที่เทียนจิน
ขุนนางกรมโยธาอย่างเหรินย่วนดูแลโรงผลิตอาวุธ ความสามารถในการผลิตและเทคนิคนั้นไม่อาจสู้กับโรงช่างสามธาราได้ แต่ก็ไม่ได้ต่างมากนัก เพราะเหรินย่วนมักรู้จักเรียนรู้ปรับปรุงอยู่เสมอ นำสิ่งใหม่ๆ จากโรงช่างสามธารามาปรับใช้ในในโรงช่างหลวง
เหรินย่วนแต่ไรไม่เคยหักเงินช่าง ในการทำงานหลวงก็ยังสามารถทำของส่วนตัวได้ ผลตอบแทนได้ดีกว่าที่อื่น บรรดาช่างต่างรู้สึกดี ทำงานกันขยันขันแข็ง
ตามบันทึกกรมโยธา โรงช่างใต้หล้า มีเพียงเทียนจินที่ผลิตอาวุธได้คุณภาพดีสุด ได้มาตรฐานที่สุด แต่ละเมืองชายแดน กองกำลังต่างอยากใช้ของที่ทำจากเทียนจิน ถึงกับยอมจ่ายเงินเพิ่ม ไม่พูดเรื่องอื่น อาวุธกองกำลังหลวงใช้กันกับปืนก็ล้วนเป็นของที่ผลิตจากเทียนจิน
คุณภาพได้มาตรฐานยังเกี่ยวข้องกับปริมาณ เสนาบดีกรมโยธาพานจี้ซวิ่นเข้าใจการทำงานมาก โรงช่างหลวงบนแผ่นดินหมิง ของดีมักผลิตได้ไม่มาก ผลิตได้มากก็มักไม่สนใจคุณภาพ แต่ไม่รู้ว่าเทียนจินเหตุใดจึงทำได้เช่นนี้
อย่างไรก็ต้องส่งคนไปเทียนจินสำรวจเสียหน่อย ได้ผลสรุปไม่ได้ซับซ้อนอันใด ก็แค่เหรินย่วนสร้างระบบได้ดี แต่ไรไม่หักเงิน ยังมีหน่วยน้ำหนักวัดและหน่วยขนาดความยาวที่มาตรฐานเดียว ยังมีวิธีการแบบตะวันตกอีกไม่น้อย
ของพวกนี้ดูแล้วง่าย แต่ทำนั้นไม่ง่าย ทำให้พานจี้ซวิ่นเกิดแรงบันดาลใจ งานก่อสร้างบนแม่น้ำแยงซีเกียวสามารถทำได้เช่นกัน
เพราะได้รับการจุดประกายนี้ พานจี้ซวิ่นจึงได้เรียบเรียงเป็นหนังสือ เขียนเนื้อหาสำคัญเจ็ดส่วน และยังส่งคนไปเทียนจิน ไปเมืองซงเจียงสอบถามหลายครั้ง อย่างไรข้างกายหวังทงก็มีช่าง ‘แนวใหม่’ พวกนี้มากมายที่สุด สามารถนำประสบการณ์มาให้คำแนะนำได้มาก
แม้ว่าแนวทางการเมืองไม่ลงรอยกัน แต่เรื่องงานกับเทคนิคพวกนี้ หวังทงย่อมให้การสนับสนุน แต่ไรมาก็ให้การส่งเสริมไม่ขัดขวาง ไม่เคยหาเรื่องให้ลำบากใจหรือปฏิเสธใด
ความจริงนั้นหนังสือ ‘งานจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง’ ตีพิมพ์ออกมา ก็เกี่ยวพันกับการสนับสนุนของหวังทง แน่นอน หลังจากจากเมืองหลวงไป หวังทงไม่อาจนำเงินส่งมาช่วยเอิกเกริก อย่างไรก็ต้องอาศัยชื่อพ่อค้า ‘เมืองหลวง’ ออกหน้า
เสียงระฆังและกลองเตือนว่าประตูเมืองจะปิดดังขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังคุยสนุก แต่หวังทงกลับขอทูลลา ตอนนี้ไม่ใช่วันวาน ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าผิดหวังแต่ก็ไม่อาจรั้งไว้
ตอนหวังทงกำลังทูลลา ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ให้เจ้าไปเมืองซงเจียงจัดการเรื่องเปิดท่าการค้า เจ้าจัดการได้ไม่เลว รอให้ทุกอย่างเป็นรูปร่าง มีธรรมเนียมแล้ว เราจะส่งคนในวังที่ไว้ใจได้ไปจับตา เจ้าก็กลับมาได้แล้ว เราสองมาอยู่เมืองหลวงสร้างชื่อให้จารึกในประวัติศาสตร์ดีกว่า เราสองยังอายุน้อย วันเวลายังอีกยาวไกล”
ได้ยินดำรัสนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องถวายบังคมขอบพระทัย แต่ทว่าดำรัสเหล่านี้แฝงความนัยไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
****************
หวังทงมีจวนที่เมืองหลวง จวนเดิมล้วนมีคนรับใช้ดูแล อย่างไรเขายังมีกิจการและคนอยู่เมืองหลวง แน่นอนมีบางคนไปป่าวประกาศแทน
กลับถึงเมืองหลวง เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ย่อมเป็นเรื่องที่ควร จากนั้นงานเลี้ยงก็จัดตั้งแต่เดือนสิบไปถึงเดือนสิบเอ็ด ทุกวันล้วนมีคนมาขอเลี้ยง ทุกวันมีแต่ร่วมทานอาหาร
เมื่อก่อนหวังทงเป็นขุนนางโดดเดี่ยว อิทธิพลอำนาจเพียงคนเดียว กับเมืองหลวงอิทธิพลอำนาจแต่ละฝ่ายล้วนมีแต่ความขัดแย้ง ขุนนางระดับสูงและชนชั้นสูงเมืองหลวง ไม่มีความขัดแย้ง ก็หลบคำครหา ล้วนไม่อยากใกล้ชิด
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม หวังทงไปเมืองซงเจียงแล้ว ตอนนี้หวังทงเป็นคนโปรดฮ่องเต้ เป็นดังเทพเงินตราและเทพแห่งโชคในเทียนจิน เมืองซงเจียง เมืองกุยฮว่าเฉิงและนอกด่านล้วน อาศัยโอกาสนี้ ทุกคนใกล้ชิดกับเขา ดูว่ามีโอกาสอันใดอีกบ้าง
หวังทงไม่อาจพบทุกคน แต่ทว่าล้วนตอบไปตามมารยาท ต้องไว้หน้าทุกคนไว้เป็นดี อย่างไรเขาตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ไม่รู้เรื่องนี้น่าสนใจหรือว่าไร้ทางเลือก พอหวังทงกลับถึงเมืองหลวง ยังต้องไปทำงานที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร อย่างไรเขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ที่เมืองซงเจียงยังดี แต่พอกลับถึงเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องทำงาน
จัดงานศพจางเฉิง รับพระราชทานเลี้ยงจากโอรสสวรรค์ สองเรื่องนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าอำนาจหวังทงเหมือนเก่า สำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้มารยาท
แต่การทำงานนี้ก็แค่ไปตามกระบวนการ สองวันต่อมา หวังทงก็ว่าง ข้าวมื้อแรกแน่นอนไปกินที่บ้านนางหม่า
พูดแล้วก็บังเอิญ หม่าซานเปียวแต่งกับบุตรีจางฉุนเต๋อ ตอนนั้นฝ่ายหญิงแต่งมาพร้อมบุตรสาวติดมาด้วย ต่อมาหม่าซานเปียวกับนางมีเอง เกิดหลังหวังเซี่ยบุตรชายคนโตหวังทงได้ราวครึ่งปี เป็นหญิง หวังทงตอนนั้นยังรู้ว่านางหม่าไม่พอใจเรื่องนี้มาก ยังคิดให้หม่าซานเปียวแต่ภรรยาน้อย บุตรคนที่สองเป็นชาย จึงทำให้หญิงตระกูลจางดำรงตำแหน่งสถานะมั่นคงในตระกูลหม่าต่อไปได้
งานเลี้ยงครั้งนี้ นางหม่าคิดอยากพบหวังทง นางอายุมากแล้ว หากยังคิดอยู่เรื่องหนี่ง อยากให้บุตรสาวหม่าซานเปียวได้แต่งกับบุตรชายหวังทง หวังเซี่ย ตระกูลหม่าตอนนั้นจากแม่หม้ายลูกหนึ่งมาถึงตอนนี้เรืองอำนาจวาสนาได้ ล้วนเพราะหวังทง นางหม่าคิดอย่างให้สายสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น
ลูกอายุยังน้อยก็จะต้องมีพันธะแต่งงงาน หวังทงรู้นางหม่าตัดสินใจแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่รีบๆ รอให้ลูกๆ โตอายุ 10 ขวบก่อน เราค่อยมาวางแผนกันก็ไม่สาย”
นี่ไม่นับว่าปฏิเสธ และยังมีเหตุผล นางหม่ารู้จักหนักเบา ไม่กล่าวอันใดต่อ ทำให้หม่าซานเปียวลอบถอนใจเฮือก ใช่ว่าเขาไม่อยากให้บุตรสาวได้แต่กับบุตรชายหวังทง แต่คิดว่าเด็กอายุยังน้อย เกี่ยวกันไปตอนนี้ย่อมยุ่งยาก
พอไปถึงตระกูลหม่า รองเจ้ากรมหลี่ว์วั่นไฉกับนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลี่เหวินหย่วนสำนักรักษาความสงบมาร่วมงานเลี้ยงก็สมควรอยู่
ทุกคนล้วนคนกันเอง ในงานเลี้ยงจึงคุยกันเปิดเผย สถานะหลี่เหวินหย่วนตอนนี้ไม่ควรแสดงความสนิทกับหวังทงมากไป ไม่เพียงเพื่อตัวเขาเอง ยังเพื่อหลี่หู่โถว
วาจาเหล่านี้เป็นหลี่ว์วั่นไฉกล่าว หวังทงรู้สึกเกินไปอยู่บ้าง ทุกคนล้วนรู้หลี่เหวินหย่วนพ่อลูกมีสายสัมพันธ์กับตน ไยต้องทำคิดมากเช่นนี้ แต่หลี่ว์วั่นไฉกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ หลี่เหวินหย่วนเป็นคนไม่ค่อยพูดจา แต่ก็รู้ว่าหนักเบาอยู่มาก ดื่มไปหลายแก้วแล้วก็พูดเรื่องตนเองก่อนจะขอตัวจากไป
“กั๋วกง ท้องทะเลกว้างแม้มีที่ทางไร้ขอบเขต แต่ทะเลอย่างไรก็เป็นทะเล ไม่ใช่แผ่นดินหมิง บนแผ่นดินหมิงเป็นกั๋วกง มีบรรดาศักดิ์ เทียบกับหัวหน้าพวกป่าเถื่อนบนท้องทะเลแล้วยังดีกว่ามากหลายเท่า!”
ได้ยินวาจาหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้างานเลี้ยง หลี่ว์วั่นไฉต้องกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนเช่นนั้น ที่แท้ก็เพื่อมาคุยเรื่องนี้ส่วนตัวกับตน
หวังทงส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“หัวหน้าท้องทะเลอันใดกัน ทางนั้นยึดมาก็เพื่อทำกำไร ให้เมืองซงเจียงได้ลงใต้ไปอีก อย่างไรก็มีเมืองท่าไว้พัก จะว่าไป ทางนั้นมีเงินทองและของไม่น้อย ไยต้องปล่อยให้พวกต่างชาติตะวันตกยึดครองไปด้วย”
“กั๋วกง เมืองหลวงทางนี้ควรเป็นที่รากฐานของกั๋วกง กั๋วกงวันนั้นทูลขอไปเมืองซงเจียงเอง ก็เพื่อถอยไว้รอรุก เป็นอุบายดี แต่ไปแล้วยังต้องคิดกลับมา ไม่อยู่เมืองหลวง ไม่อยู่ข้างพระวรกาย ช้าเร็วก็ย่อมมีอันตรายมาถึงตัว”
วาจาหลี่ว์วั่นไฉกล่าวไม่ผิด ฐานอำนาจเป็นเช่นไรนั้น ยังต้องดูท่าทีฮ่องเต้ วาจาหลี่ว์วั่นไฉฟังแล้วปวดใจ แต่ก็เป็นความจริง
“ดูท่าลูซอนเรื่องนี้ ใต้หล้าคงรู้กันหมดแล้ว!”
หวังทงไม่ตอบหลี่ว์วั่นไฉกลับยิ้มกล่าวขึ้น พิชิตลูซอนมีคนรู้ไม่เป็นไร ขอเพียงไม่ได้มีข้อพิสูจน์ว่าตนเองไปร่วมวงก็พอ
ได้ยินหวังทงกล่าวไม่กระจ่างในเรื่องนี้ หลี่ว์วั่นไฉเคาะพัดจีบกับฝ่ามือ ไม่ว่าพูดอย่างไร หลี่ว์วั่นไฉอย่างไรก็ยังรอคำตอบ ไม่อาจไม่ตอบ หวังทงนิ่งไปก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่รีบ ยังไม่ถึงเวลา”