องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1061 เมืองซงเจียงร่ำรวยใหญ่ เมืองฮิราโดะ[1] ประเทศวัว
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 ต้นฤดูหนาวในเมืองหลวง หวังทงยุ่งมาก ร่วมงานเลี้ยงหลายตระกูล คุยเรื่องการค้ามากมาย ล้วนเจรจากกันอย่างครื้นเครง
งานเลี้ยงแรกๆ หลายครั้ง หลี่เหวินหย่วนแอบส่งคนมาแจ้งข่าวว่า ในวังส่งคนมาจับตา หวังทงไม่สนใจในเรื่องนี้ ตนเองไปมาหาสู่กับบรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวง ในวังไม่จับตาสิเป็นเรื่องแปลก ไยต้องสนใจ อย่างไรก็เป็นการค้าดีมีกำไร
มีขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา จากนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพระเมตตา ทูลเชิญไทเฮาฉือเซิ่งกลับวัง การกระทำเช่นนี้มีแต่คนชื่นชมสรรเสริญ คิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่เป็นผู้มีความกตัญญูอันดับหนึ่ง
กระบวนการนี้ คนฉลาดล้วนรู้ว่าย่อมไม่ใช่เป็นเพราะขุนนางบุ๋นไม่อาจทนเห็นแม่ลูกเหินห่าง หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องสร้างชื่อเช่นนี้ย่อมมีคนแย่งกันไปกราบทูลก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนหวาดกลัวว่าหากพูดผิดไป ไม่ได้ถูกโบยสร้างชื่อแน่ ดีไม่ดี อาจหัวหลุดจากบ่าสิ้นชื่อก็เป็นได้ เรื่องนี้เบื้องหลังย่อมมีคนจัดการ
เดิมในวังเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่งิ้วฉากนี้ถูกเปิดโปง หากเป็นไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงกลับมา ไทเฮาฉือเซิ่งเป็นผู้มีอุปนิสัยยึดมั่น เรื่องต่างๆ เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่มีเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว พระนางคงไม่กลัวอันใดแล้ว
แต่คนเราอายุมาแล้ว หลายเรื่องก็ย่อมคิดตก ขันทีฝ่ายในไปยังจวนอู่ชิงโหว ติดต่อกับจวนอู่ชิงโหวได้ราบรื่นมาก จากนั้นก็เป็นฮ่องเต้ว่านลี่รับกลับเข้าวัง
ต้นฤดูหนาว ขุนนางราชสำนักเริ่มรู้สึกได้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์ดีมาก ในการประชุมขุนนางก็ไม่ทรงพระพักตร์เคร่งเครียด มักแย้มสรวล ฮ่องเต้อารมณ์ดี ไม่ทรงคาดคั้นอันใดมากนั้น ขุนนางใหญ่ทำงานได้ง่ายขึ้น คนเบื้องหน้าก็ทำงานกันง่าย เมืองหลวงอยู่ ๆ ก็มีบรรยากาศยินดี
ทุกคนพากันคาดเดา การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพราะเหตุใด ตอนนี้หวังทงอยู่เมืองหลวง ยังเป็นคนไปรับเสด็จไทเฮาฉือเซิ่งกลับตำหนักฉือหนิงกง
ชนชั้นสูงเมืองหลวงที่มีสถานะพอจะเลี้ยงหวังทงเกือบทั้งหมดพากันขอเลี้ยงหวังทง ทุกคนการเมืองต่างค่ายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนมีความขัดแย้งหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การค้าทำกำไรนั้น เกี่ยวพันถึงลูกหลาน อย่างไรก็ต้องไม่พลาดโอกาสไปเพราะมัวแต่รักหน้าตา ที่ควรกล่าวก็ต้องเอ่ยปาก
เหลียวกั๋วกงก็เหมือนพูดด้วยง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก รับคำเชิญ โอกาสตอนนี้มีมาก ขอเพียงแต่ละคนคิดทำ ยอมทุ่มเงิน เช่นนั้นก็สะดวกทุกเรื่อง ยังกล่าวว่าตอนนี้แต่ละแห่งขาดคน หากทุกท่านสามารถหาคนมาได้มากพอ ย่อมมีโอกาสได้ค่าตอบแทนคืนมาก
ชนชั้นสูงไม่มีอำนาจแท้จริง หากในการค้านั้น ราชสำนักอาจเปิดทางสะดวกได้ เงินทองไม่เคยขาด กำลังคนนั้นอาจยากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับพวกเขา ช่างเป็นเรื่องง่ายดาย ล้วนง่ายมาก
หวังทงไปร่วมงานเลี้ยงสุดท้าย เมืองหลวงผู้ใดก็คาดไม่ถึง ถึงกับเป็นจวนอู่ชิงโหว ชนชั้นสูงอื่นยังดี ไทเฮาฉือเซิ่งกับอู่ชิงโหวเคยมีเรื่องปะทะกับหวังทงไม่น้อย บางเรื่องแทบเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว ถึงกับจัดเลี้ยง และหวังทงก็ยังไป
หรือว่าเป็นการแสดงให้เห็นให้ได้ว่าเมืองหลวงเกิดกระแสใหม่ คนที่สนใจเรื่องพวกนี้ก็สามารถสืบข่าวมาได้ จวนอู่ชิงโหวเหมือนว่าไม่ได้ต้องการปิดบังข่าวอันใด ข่าวก็สืบง่ายดายมาก
กล่าวว่าในงานเลี้ยง อู่ชิงโหวคำนับหวังทงสามครั้ง และยังคารวะสุรา เรื่องการค้าอย่างเป็นรูปธรรมนั้นไม่ได้กล่าวถึงอันใด
ตระกูลอู่ชิงโหวแม้ว่าจบสิ้นในเมืองหลวงราวกับเตามอดเย็นลง ด้วยถูกองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาจับตาแน่นหนา แต่สายสัมพันธ์กับราชวงศ์ยังคงอยู่ อย่างไรก็เป็นน้าแท้ๆ ฮ่องเต้ ขันทีในวังคิดว่าอู่ชิงโหวจบสิ้นแล้ว รังแกได้แล้ว หักเบี้ยเลี้ยงได้แล้ว ผลปรากฏคนในจวนมาฟ้อง ขันทีผู้นั้นถูกตัดหัวทันที จากนั้นผู้ใดก็ไม่กล้าไร้มารยาท อู่ชิงโหวเกรงใจหวังทงเช่นนี้เพื่ออะไร
ตอนทุกคนคาดเดากัน ก็มีข่าวออกมา ข่าวในวังมีคนรู้ไว แพร่ข่าวออกมาว่าครั้งนี้ไทเฮาฉือเซิ่งได้กลับวัง ก็เป็นเพราะหวังทงกราบทูล ทุกคนได้ยินแล้ว ก็พากันอึ้งสนิท ท่าทีอู่ชิงโหวเช่นนั้นที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง น้ำใจเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ นับว่าไม่เกินไปนัก
**************
หวังทงไม่คิดจะฉลองปีใหม่ในเมืองหลวง รับเลี้ยงตามมารยาทพวกนี้จบลง เจรจาการค้าเสร็จ ก็คิดรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในเมืองหลวงต่อ
ตอนเขากำลังจะออกจากเมืองหลวง ทางเทียนจินก็มีข่าวมาว่า คนเสิ่นหวั่งจับคนพวกหนึ่งมาเทียนจิน มาโบยอยู่หน้าร้านประกันภัย บอกว่าคนเหล่านี้ที่คิดแต่ประโยชน์ตน คิดจะปล้นเรือการค้าที่ซื้อประกันภัยจากร้านประกันภัย เสิ่นหวั่งรู้แล้วก็โมโหมาก บอกว่าธรรมเนียมการค้าไม่อาจทำลายได้ ดีที่ยังไม่ได้ลงมือ ไม่ได้เป็นภัยสำเร็จ ดังนั้นจึงสั่งโบยต่อหน้าทุกคน นับว่าเป็นการลงโทษ
วาจานี้จริงเท็จว่าได้ยาก แต่คนวงในล้วนรู้ว่านี่เป็นการแสดงท่าที อย่างน้อยเสิ่นหวั่งวันหน้าระยะหนึ่งนี้ก็จะไม่สมคบกับพวกโจรสลัดทำอันใดบนท้องทะเล
เรื่องนี้เป็นไปตามคาดของหวังทง เสิ่นหวั่งมีสายสัมพันธ์ประเทศวัวลึกซึ้ง ตั้งแต่หนีจากเทียนจินไป สิ่งเดียวที่ยังรับประกันอิทธิพลอำนาจและกำไรเสิ่นหวั่งได้ก็คือการค้ากับประเทศวัว หากเพราะเรื่องโจรสลัดทำให้ทุกคนโมโห การค้าสูญสิ้น เขากลัวว่าหากเหลือแค่การค้าประเทศวัวไปทะเลใต้คงไม่ได้การ เพราะเป็นเส้นทางการค้าชาวผิวขาวที่แย่งกันเป็นตาย และยังมีกองเรือหวังทงคอยกั้นกลางอีก
ดังนั้นเสิ่นหวั่งจะต้องแสดงท่าที แสดงท่าทีว่าจากนี้ไปจะทำการค้าสงบเสงี่ยม ส่งคนไปร้านประกันภัยโขกศีรษะโบยรับโทษแล้ว กองเรือเสิ่นหวั่งยังซื้อประกันร้านประกันภัย นับเป็นการแสดงท่าที การค้าเขาจะอยู่ในระบบหวังทงทำการค้าต่อไป
แต่ทว่าเรื่องนี้กลับเตือนหวังทงเรื่องหนึ่ง เขาจึงออกคำสั่งไปยังโรงเรือกับโรงต่อเรือ เรือปืนใหญ่แบบตะวันตกให้เปลี่ยนรูปแบบการขาย กองเรือส่วนตัวตอนนี้ขายให้แค่กลุ่มผู้คุ้มกัน ก็หมายความว่า พ่อค้านอกเครือข่ายสามธาราสามารถซื้อเรือปืนใหญ่ได้ แต่คนบนเรือปืนใหญ่ ล้วนต้องเป็นกองเรือสามธารา เรือปืนใหญ่นี้เป็นของกองเรือสามธารา เป็นเพียงการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พ่อค้าที่ซื้อในระยะยาว เป็นการรับรองความปลอดภัยคุ้มกันพวกเขา จำกัดขอบเขตว่า ไม่ทำการรบและปล้นชิงเพื่อพ่อค้า เพียงแค่ไว้คุ้มครองพวกเขาเท่านั้น และจะไม่ทำการที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์และคำสั่งเครือข่ายสามธารา
สำหรับพ่อค้าแล้วไม่แตกต่างมากนัก หลังซื้อเรือปืนใหญ่ พวกเขาไม่กล้าใช้เรือปืนใหญ่มาทำการค้ากับโจรสลัด และไม่กล้าใช้เรือนี้มาแย่งชิงความเป็นใหญ่อันใดบนท้องทะเลกับกองเรือสามธารา
ที่หวังทงคิดก็คือ เรือปืนใหญ่เช่นนี้จะไปยังแผ่นดินหมิงที่ต่างๆ หรือไม่ ชาวผิวขาวทะเลใต้ไม่ขาดแคลนเรือนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง ที่เหลือก็เป็นประเทศวัว อย่าเห็นว่าโรงต่อเรือไปขายเป็นแค่เรือเล็กปืนใหญ่ 15 กระบอก แต่ปืนใหญ่รับมือกับไดเมียว[2]ประเทศวัวก็นับว่าเป็นอาวุธรุนแรงที่หาได้ยาก
จัดการเช่นนี้เสร็จ หวังทงก็ออกจากเมืองหลวงกลับไปยังเมืองซงเจียง
หากกล่าวว่าการมาตอนเหนือครั้งนี้มีอันใดเสียใจ ก็ย่อมเป็นไม่ได้พบกับเจ้าจินเลี่ยง ตอนหวังทงออกจากเมืองหลวงเจ้าจินเลี่ยงน่าจะตรวจงานอยู่ที่หนิงเซี่ย
ก่อนจาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังเรียกหวังทงเข้าเฝ้าหลายครั้ง ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงทุกอย่างเข้าระบบแล้ว ในวังส่งขันทีไปไม่ต้องใช้ความสามารถบุกเบิกและตัดสินใจอะไรมาก ก็สามารถทำได้ดี และยังเป็นการดำเนินไปอย่างปกติ ที่แท้เมิ่งตั๋วเมืองกุยฮว่าเฉิงถูกฮ่องเต้ว่านลี่เตรียมส่งไปเมืองซงเจียง
ส่งเมิ่งตั๋วไปเมืองซงเจียง หวังทงรับรู้แล้ว โจวอี้ก็มาเยือน นำเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ตรัสกระจ่างนักมา ไม่ใช่เมืองซงเจียงทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างมั่นคงแล้วจึงทำเช่นนี้ แต่ที่ต้องส่งคนในวังไปรับหน้าที่ต่อ เพราะครั้งนี้หวังทงมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่าหวังทงอยู่เมืองหลวงจำเป็นกว่า จึงส่งคนไปทำหน้าที่แทนหวังทง ให้รูปแบบทุกอย่างเหมือนเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนั้น
ได้กลับมาเมืองหลวงเป็นเรื่องดี แต่ทว่าไม่กลับมาก็ไม่ได้ไม่ดีอันใด ท่าทีหวังทงต่อเรื่องนี้นั้นเรียกว่ามีหรือไม่มีก็ได้ ยิ้มรับคำกับโจวอี้ไปตามเรื่อง
หวังทงตอนไปถึงเขตซานตง มีคนหนึ่งไล่ตามหลังมา คนผู้นี้หวังทงคิดไม่ถึง ถึงกับเป็นซุนเผิงจวี่จากเหลียวหนิง ซุนโส่วเหลียนเป็นผู้บัญชาการเหลียวหนานแล้ว ครองพื้นที่ส่วนหนึ่ง ซุนเผิงจวี่ก็จากหวังทงกลับบ้านไป
เรื่องนี้ทุกคนก็ล้วนรู้กันเงียบๆ ซุนโส่วเหลียนเป็นผู้บัญชาการแล้ว การเป็นบุตรชายผู้บัญชาการย่อมมีผลประโยชน์หลายด้าน นี่เป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่อง หวังทงสถานการณ์ตอนนั้นกำลังไม่แน่นอน ติดตามเขาไม่มีผลประโยชน์ใด กลับทำให้ยุ่งยาก เดิมก็เป็นสายสัมพันธ์ผลประโยชน์กันและกัน ดังนั้นจึงได้จากไป
แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการให้หวังทงไปจัดพิธีศพจางเฉิง ในเมืองหลวงยังได้รับพระเมตตาเช่นนี้ อำนาจและสถานะหวังทงวันหน้านั้น ทำให้คนเริ่มวิเคราะห์ไปอีก ซุนโส่วเหลียนพอได้ข่าวก็ให้ซุนเผิงจวี่รีบตามมาขอเป็นทหารติดตามต่อ ก็เป็นเรื่องสมเหตุผล
การกลับมาของซุนเผิงจวี่ หวังทงไม่ได้รู้สึกอันใด ซุนเผิงจวี่ติดตามเขาได้ไม่นาน ไม่อาจเรียกได้ว่ามีน้ำใจต่อกัน แต่ทว่าสายสัมพันธ์ซุนโส่วเหลียนยังอยู่ ก็ย่อมรักษาเอาไว้
กลางเดือนสิบสอง หวังทงกลับถึงเมืองซงเจียง ทำให้ภรรยาทั้งหลายของเขาตกใจและยินดีปรีดามาก ทุกปีใกล้ปีใหม่ หวังทงมักมีงานต่างๆ ให้ต้องไปจัดการ ทำให้เริ่มชินกับบรรยากาศปีใหม่เช่นนั้นแล้ว
ภรรยาทั้งหลายของเขาตกใจและยินดีปรีดาเป็นเรื่องหนึ่ง หวังทงในเมืองซงเจียงยิ่งขยายอิทธิพล สิ่งที่ได้รับพระเมตตาในการไปเมืองหลวงครั้งนี้ แน่นอนข่าวย่อมส่งกลับมายังเมืองหนานจิงกับหลายแห่งในแดนใต้ หวังทงสถานะใดกันนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว อย่างไรก็ต้องมาประจบเอาใจสร้างสัมพันธ์ใหม่สักหน่อย
อยู่เมืองหลวงยุ่งไม่ได้หยุด กลับมาเมืองซงเจียงก็ไม่ต่าง ตอนนี้เมืองซงเจียงค่อยๆ กลายเป็นศูนย์กลางการค้าแดนใต้ ใกล้ปีใหม่ แม่น้ำฉินไหวเหอกำลังคึกคัก แต่ทว่าตอนนี้สตรีมีชื่อและเรือสำราญ ล้วนมาจากเมืองซงเจียง
เพราะการค้ามากมายต้องตัดสินใจกันที่เมืองซงเจียง คหบดีใหญ่เจรจาการค้ากัน มักล้วนต้องอาศัยงานเลี้ยงสำราญ ในสถานที่หรูหราอลังการ ดังนั้นจึงมีกระแสเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมซูโจว หยางโจว หนานจิง อาหารรสเลิศสามแห่งนี้และบรรดาสถานที่หรูหราไว้สำหรับคหบดีร่ำรวย ตอนนี้ล้วนพากันย้ายมายังเมืองซงเจียง
***************
เมืองฮิราโดะบนเกาะคิวชู ประเทศวัว ที่นี่เป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุดของประเทศวัวแห่งหนึ่ง แต่ทว่าที่ฮิราโดะนี่ จะบอกว่าเป็นชาวประเทศวัว ไม่สู้ว่าเป็นพ่อค้าทะเล
พ่อค้าทะเลพวกนี้ไม่เพียงแค่เจ้าทะเลแผ่นดินหมิง ยังมีพวกฮอลันดากับโปรตุเกส แน่นอนอิทธิพลอำนาจใหญ่สุดเป็นเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง
มีเรือหลายพันลำ คนหลายหมื่นคนเช่นเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง สำหรับบรรดาไดเมียวประเทศวัวแล้ว เป็นการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัว ประเทศวัวเองก็มีโจรสลัดกับกำลังกองเรือ แต่ทว่าเรือเหล่านี้ใช้เคลื่อนไหวแค่ใกล้ชายฝั่ง ไม่อาจสู้เรือแผ่นดินหมิงของบรรดาเจ้าทะเลที่ลำใหญ่และแข็งแกร่งได้
กองเรือประเทศวัวโจรสลัดแต่ไรไม่อาจสู้กองกำลังบรรดาไดเมียว แต่กองกำลังบรรดาไดเมียวประเทศวัวเหล่านี้เทียบกับบรรดาเจ้าทะเลแล้วยังห่างไกล สำหรับอิทธิพลการค้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรดาไดเมียวส่วนใหญ่ล้วนได้แต่อาศัยขูดรีดชาวนาในพื้นที่ โชคดีที่มีเหมืองภูเขากับการค้าเมืองท่า แต่สิ่งเหล่านี้ เทียบกับบรรดาเจ้าทะเลแผ่นดินหมิงที่คุมการค้ามหาสมุทรไม่ได้ พูดให้ตรงก็คือ บรรดาไดเมียวผลิตได้และเก็บรายได้ ส่วนใหญ่ล้วนถูกบรรดาเจ้าทะเลแผ่นดินหมิงแย่งไปผ่านทางการค้า
ฮิราโดะเป็นขุมเงินขุมทอง ตามชื่อเป็นของตระกูลริวโซจิ และยังเป็นของตระกูลโคบายากาว่า และทุกคนรอบๆ ฮิราโดะล้วนรู้ว่าตระกูลมัตสึราชิทรงอิทธิพลอำนาจในฮิราโดะ และแน่นอนตอนนี้ทุกคนล้วนอยู่ใต้อำนาจคัมปะกุ[3]โทโยโตมิ ฮิเดโยชิแห่งโอซาก้า
ประเทศวัวไม่ว่าเป็นเอกสารทางการหรือว่าส่วนตัว ทุกคนไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มักจะลืมการมีอยู่ของเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง ตอนนั้นหวังจื๋อเป็นใหญ่ที่ฮิราโดะ ตั้งว่า ‘เมืองซ่ง’ จัดตั้งตำแหน่งขุนนางควบคุมการค้าที่ฮิราโดะ ถึงกับเก็บภาษีที่นารอบๆ เรื่องนี้ทุกคนในประเทศวัวทำเหมือนว่าไม่เคยมีมาก่อน
เช่นกัน เมื่อก่อนเสิ่นหวั่ง ซาต้าเฉิง กู้เหล่าหู่อยู่ที่ฮิราโดะก็ถูกทุกคนลืมเลือนไป พวกเขาเองรู้ หากว่ากันตามกำลังแล้ว บรรดาเจ้าทะเลอาจเป็นใหญ่ตัวจริงในเกาะคิวชูนี้ ไม่ใช่ตระกูลโอโตโมะหรือตระกลูชิมัสสึ
เคยมีช่วงเวลาหนึ่ง บรรดาเจ้าทะเลอยู่ๆ กลับคิดหันเหไปสนใจที่จะกลับไปยังแผ่นดินหมิงพวกเขา ไม่ได้สนใจฮิราโดะอีก กำลังคนและเรือก็ถูกนำกลับไปทั้งหมด
รู้สึกได้ว่าที่นี่อิทธิพลอำนาจเปลี่ยนแปลง กำลังแทรกซึมเข้าฮิราโดะอย่างระมัดระวัง คุมการค้าเมืองท่า แม้ว่าแค่การค้าส่วนหนึ่งเมืองท่า ก็เรียกว่าผลประโยชน์ยิ่งใหญ่แล้ว ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่นำเข้าปืนใหญ่กับดินปืน ก็สามารถทำให้ตนเองเป็นใหญ่ ได้เปรียบไม่น้อยแล้ว
การแทรกซึมเช่นนี้ไม่กี่ปี เสิ่นหวั่งกลับมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมองออกว่า กำลังคนและเงินทองเสิ่นหวั่งเทียบกับตอนจากไปแล้วเหมือนจะขยายตัวอยู่มาก ทุกคนจึงพากันถอยอย่างระมัดระวัง หลายตระกูลทำกันจนเป็นที่สังเกตเห็นได้ ยังส่งคนมาขออภัยเสิ่นหวั่งด้วยตนเอง
การเปลี่ยนแปลงอิทธิพลอำนาจของเสิ่นหวั่งทำให้คิวชูกับไดเมียวละแวกใกล้กันพากันตกใจไม่น้อย ในสายตาพวกเขา กำลังเสิ่นหวั่งตอนนั้นยิ่งใหญ่นึกไม่ถึง ถึงระดับสูงสุดแล้ว เหตุใดเวลาไม่นานขยายเช่นนี้ได้ ทะเลแผ่นดินหมิงต้องสะสมเงินทองไว้มหาศาลเท่าใดกัน เป็นเรื่องไม่อาจคาดคิดได้จริง ๆ……
[1] จากตอนนี้ไปจะไม่ใช้ชื่อ ผิงฮู่ แต่เปลี่ยนเป็น ฮิราโดะ ซึ่งเป็นเมืองในจังหวัดนางาซากิของญี่ปุ่น เพื่อให้เข้ากับบริบทจากนี้ที่ดำเนินเรื่องในประเทศญี่ปุ่น มีคำศัพท์ถอดด้วยเสียงญี่ปุ่นอยู่มาก
[2] เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุน และไดเมียวจากหลายตระกูลก็ได้เป็นโชกุนในเวลาต่อมา
[3] ผู้สำเร็จราชการแทนพระจักรพรรดิ ฮิเดโยชิได้รับการแต่งตั้งใน ค.ศ. 1586