องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1063 รางวัล
ชาวประเทศวัวไปมาหาสู่ย่อมมีธรรมเนียม แต่มีบุคคลมีสถานะมาพบเสิ่นหวั่ง อย่างไรก็ต้องส่งเทียบมาก่อน เพื่อทำตามธรรมเนียมให้ดี เสิ่นหวั่งเองบนแผ่นดินหมิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่พอออกต่างแดนก็สูงศักดิ์ขึ้นมาทันที
เหตุใดคนมาขอพบเสิ่นหวั่งไม่สนใจ แต่พอพ่อบ้านในจวนเขากล่าวถึงคำประกาศว่า ‘ห้ามรบกันเอง’ จึงทำให้เขาได้สติ
ชาวประเทศวัวตอนนี้ยังคงใช้อักษรแบบจีน แต่ทว่ารายละเอียดยังคงมีความต่างๆ ตัวอักษรที่ใช้ในคำประกาศนี้ไม่มีปรากฏใช้ในแผ่นดินหมิง
หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่ารับรองให้ทุกอย่างไร้ความวุ่นวาย ห้ามไดเมียวรบกันเอง
ประเทศวัวตั้งแต่เข้าสู่ยุครบกันมา แต่ไรก็เป็นไดเมียวกับไดเมียว ไดเมียวกับท้องถิ่น ท้องถิ่นกับท้องถิ่นที่ต่อสู้กันไม่หยุด พยายามกลืนกินกันกัน สังหารกันและกัน มาถึงยุคไดเมียวโอดะ โนบูนางะ ชาวบ้านหลายพัน ทหารหลายร้อยที่เคยสามารถเรียกได้ว่าเป็นเจ้านายในพื้นที่หนึ่งนั้นไม่มีอีกแล้ว
ตระกูลโอดะ ตระกูลทาเคดะ ตระกูลอูเอซูงิ ตระกูลโฮโจ ตระกูลโมริ ไดเมียวต่างๆ ปรากฏตัวขึ้น รบชิงกัน หลายหมื่นหลายแสนคนรบกันเห็นกันไม่น้อย
ต่อมาถึงสมัยโอดะ โนบูนางะถูกผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างอาเกจิ มิตสึฮิเดะสังหารที่วัดฮอนโนจิ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิก็กลายเป็นไดเมียวที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศวัวที่มีกำลังแท้จริง หลังการรบและการรวบรวมกำลัง ไดเมียวล้วนแสดงท่าทีศิโรราบกับเขา
รบราวุ่นวายมาหลายปี โทโยโตมิ ฮิเดโยชิคิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นระบบในความควบคุมเขาแล้ว การรบกันระหว่างไดเมียวทำให้อิทธิพลอำนาจเขาเสียหาย และทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่ควรเกิด ดังนั้นโทโยโตมิ ฮิเดโยชิจึงประกาศคำสั่งนี้ กล่าวให้กระจางก็คือ ‘หยุดการรบกันเอง’ ‘ขอใช้สถานะคัมปะกุข้าออกคำสั่ง ห้ามการรบกันเอง’
แม้คำสั่งเอ่ยถึงเพียงแค่พวกไดเมียว แต่ความจริงนั้นการต่อสู้คน 500 ขึ้นไปล้วนไม่อนุญาต แน่นอนเจ้าปิดบังเรื่องได้ก็แล้วไป แต่หากถูกรายงานขึ้นมา ก็ต้องเจรจากับใต้เท้าคัมปะกุ ไม่เช่นนั้นไดเมียวพื้นที่ก็ต้องลงมือกับเจ้าก่อน หากไม่ลงมือ ก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งใต้เท้าคัมปะกุ ไม่คว้านท้องตนก็ต้องออกบวช ช่างเป็นภัยหายนะโดยแท้
ห้าปีก่อน ในสายตาเสิ่นหวั่งยังไม่มีโทโยโตมิ ฮิเดโยชิผู้นี้ ก็แค่ขุนพลทหาร แต่ตอนนี้ ไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ หลายปีก่อน ยกทัพใหญ่โจมตีตระกูลโฮโจที่ภูมิภาคภูมิภาคคันโต[1] และเป็นกำลังทัพใหญ่ที่คนมากกว่าสองแสนคนเลยทีเดียว
ประเทศวัวเป็นประเทศกำลังคนราวแสนกว่า ผู้ปกครองที่ปกครองประเทศเช่นนี้ เสิ่นหวั่งต่อหน้าคนเช่นนี้ก็ย่อมต้องก้มหัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เสิ่นหวั่งตอนนี้อาศัยการค้าระหว่างประเทศวัวกับแผ่นดินหมิงเป็นหลัก หากเพราะฝ่าฝืนกฎมีเรื่องกับพวกประเทศวัว ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่
หรือว่าการจัดการกวาดล้างโจรสลัดกลุ่มนั้นถูกพวกทางโอซาก้ารู้เข้าแล้ว คิดถึงตรงนี้ ในใจเสิ่นหวั่งก็เริ่มร้อนใจ คิดถึงตอนนั้นตนเป็นเจ้าทะเลยิ่งใหญ่บนท้องทะเลทำอะไรก็ได้ ไดเมียวประเทศวัวคิดจะได้อาวุธดีก็ต้องอาศัยเขา ราชาทะเลใต้กับชาวผิวขาวคิดอยากได้สินค้าใดก็ต้องผ่านเขา ตอนนั้นเขาเป็นดังราชาแห่งท้องทะเล แต่ตอนนี้กลับได้แต่หัวหด ทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มาก
หลายคนในห้องโถง ไม่ว่าเป็นชาวประเทศวัวหรือเป็นชาวฮั่น ล้วนรู้อารมณ์เสิ่นหวั่งดี เห็นสีหน้าเคร่งเครียดกำลังคิดอะไรก็ไม่กล้ารบกวน
“มัทซูอูระ เจ้าไปในโกดังเอาชุดน้ำชากระเบื้องจิ่งเต๋อเจิ้นออกมาชุดหนึ่ง เจ้าบ้านตระกูลโคบายากาว่าตอนนี้ เจ้าว่า…”
เรื่องถึงตอนนี้ก็ได้แต่มอบของขวัญเพื่อให้พ้นภัยแล้ว ผู้คุ้มกันที่นำเทียบเข้ามาก็ก้าวเข้ามาสองสามก้าว ก่อนจะเสียงดังขึ้นอีกนิดว่า
“เจ้าทะเล มีแขกมาขอพบ”
หันไปไหนมีแต่อุปสรรค เหตุใดลูกน้องจึงไม่รู้จักมีตามองบ้าง เสิ่นหวั่งโมโหควันลุก กำลังจะคำรามด่า ก็มองเห็นชื่อบนเทียบ
เป็นตำแหน่งยาวมาก แต่ทว่าชื่อสุดท้ายคือ ‘โทโยโตมิ ฮิเดนากะ’ เสิ่นหวั่งอึ้งไป ก่อนได้สติทันที โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นผู้ใด ตอนนี้เป็นน้องชายแท้ๆ คัมปะกุโทโยโตมิ ฮิเดโยชิประเทศวัว เขามาพบตนเองเพราะเหตุใด พอได้สติ ก็ตบหน้าคนนำเทียบเข้ามา ตวาดด่าดังว่า
“เจ้าตัวบัดซบ ทำไมไม่พูดก่อน รีบไป ไม่สิ มัทซูอูระ เจ้าให้แขกรอก่อนสักครู่ ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เดินไปสองสามก้าว เสิ่นหวั่งยังหันกลับมาอีก ตะโกนเรียกมัทซูอูระไว้ กล่าวติดๆ กันว่า
“ไม่ต้องละ ๆ ข้าไปรับเอง ๆ”
โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นผู้ใด ชาวประเทศวัวย่อมรู้ โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นน้องชายแท้ๆ ของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิอันดับหนึ่งในประเทศวัวตอนนี้ คนเช่นนี้เท่ากับระดับอ๋องในแผ่นดินหมิง แน่นอนสถานะสูงส่ง
แต่ในสายตาเสิ่นหวั่งที่คุ้นเคยกับประเทศวัวแล้ว โทโยโตมิ ฮิเดนากะผู้นี้ตอนนั้นชื่อว่า ฮาชิบะ โคอิชิโร่ ไม่ใช่แค่น้องชายฮิเดโยชิ เขายังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอันดับหนึ่งของฮิเดโยชิด้วย ขุนพลอันดับหนึ่ง โทโยโตมิ ฮิเดนากะสำหรับฮิเดโยชิแล้วเท่ากับอำมาตย์คนหนึ่งเลยทีเดียว
โทโยโตมิ ฮิเดนากะชำนาญการจัดการเงินทอง ชำนาญการบริหารการเมืองภายใน ชำนาญการจัดการระหว่างไดเมียว เทียบกับโทโยโตมิ ฮิเดโยชิที่นิสัยมุทะลุใจร้อนแล้ว ฮิเดนากะนิสัยนุ่มนวลกว่ามาก ไดเมียวหลายคนล้วนรู้สึกดีกับเขามาก ในด้านกำลังทหาร ตั้งแต่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิมีความโดดเด่นและสามารถกว่าลูกน้องใดของโอดะ โนบูนางะโทโยโตมิ ฮิเดนากะก็เป็นกำลังสำคัญคอยส่งเสริมพี่ชายเขาคนหนึ่ง ต่อมาในหลายเหตุการณ์หลายครั้งรบชนะไดเมียว
ไดเมียวประเทศวัวล้วนมองว่าฮิเดนากะเป็นดัง ‘ผู้มีความสามารถดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์’ คนระดับเช่นนี้ กล่าวว่าเป็นอันดับสองประเทศวัวตอนนี้ก็ไม่เกินไปนัก
เสิ่นหวั่งเข้าใจความเป็นไปในประเทศวัวมาก โทโยโตมิ ฮิเดนากะผู้นี้เสิ่นหวั่งแต่ไรก็รู้สึกว่าเขากับคนหนึ่งเหมือนกันมาก แม้ความคิดยังแปลก แต่คนผู้นั้นในสายตาไม่อาจยอมรับเม็ดทรายเข้าตาได้แม้สักเม็ด โทโยโตมิ ฮิเดนากะกลับใจกว้างกว่าหน่อย คนผู้นั้นทำสงครามกับการค้ามีความสามารถสูงกว่าหน่อย
ที่แท้เป็นโทโยโตมิ ฮิเดนากะมายังฮิราโดะ มิน่าตระกูลโคบายากาว่าจึงวางกำลังป้องกันรักษาการณ์แน่นหนา ยังมีกำลังซามูไร 400 แต่กำลังเหล่านี้ใช้กับโทโยโตมิ ฮิเดนากะ ถึงกับน้อยไปสักหน่อย
แต่ทว่าหลังส่งครามปราสาทโอดาวาระ[2] โทโยโตมิ ฮิเดนากะก็ล้มป่วยระหว่างเดินทางกลับ มาที่นี่ได้อย่างไรกัน คนระดับนี้เหตุใดกำลังป่วยจึงมาที่นี่ได้
เสิ่นหวั่งคิดว่าสถานะสูง แต่ในใจก็เข้าใจ เขาอยู่แผ่นดินหมิงเป็นจอมโจรท้องทะเล อยู่ประเทศวัวสถานะมากสุดก็พ่อค้าใหญ่ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอยู่แผ่นดินหมิงเท่าไร ก็แค่มีอิทธิพลอำนาจในมือก็เท่านั้น โทโยโตมิ ฮิเดนากะสูงส่งเพียงนี้ จะมาเยี่ยมเยือนเขาทำไม่กัน
**************
นักรบ ไดเมียว ขุนนางใหญ่ประเทศวัว เสิ่นหวั่งล้วนเคยพบมาหมด แม้ตอนยุครบในหลายร้อยปีจะตายไปไม่น้อย ตอนนี้นับว่าสงบแล้ว คนแต่งกายเป็นพวกชั้นสูงก็นับวันยิ่งมาก ล้วนเริ่มเลียนแบบพวกขุนนางมีความรู้กันแล้ว เสิ่นหวั่งแต่ไรก็ดูแคลนในเรื่องนี้ เห็นชัดว่าเป็นการวางตัวแบบพวกไม่ได้เรื่อง
แต่ทว่าเสิ่นหวั่งเองก็รู้มากจากทางสายสัมพันธ์เก่าของเขา ใต้หล้าตอนนี้โทโยโตมิ ฮิเดโยชิชอบแต่งกายเช่นนี้ที่สุด แอบกล่าวเยาะกับเสิ่นหวั่งว่า ชาติกำเนิดก็แค่คนเลี้ยงม้า แต่งกายเป็นเจ้านายทำไมกัน เรื่องนี้ก็แค่แอบคุยกันส่วนตัวเท่านั้น
เดิมคิดว่าโทโยโตมิ ฮิเดนากะจะเหมือนกัน คิดไม่ถึงโทโยโตมิ ฮิเดนากะแต่งกายเพียงชุดผ้าสีเขียวแบบประเทศวัว บนเนื้อผ้าก็ไม่ได้ปักลวดลายอะไร ล้วนเป็นการแต่งกายแบบคนธรรมดา ใบหน้าก็ไม่ได้ปะแป้งขาวอันใด หากยังดูซีดขาวมาก คนสนิทสองคนประคองเข้ามา
โทโยโตมิ ฮิเดนากะรูปร่างไม่สูง ผิวหน้าก็หย่อนยานสักหน่อย ดูแล้วคนผู้นี้เคยอ้วนมาก่อน แต่ผอมเร็วไป
เสิ่นหวั่งต่อหน้าคนผู้นี้ ก็ไม่อาจวางท่าทางราชาไตรธารา เขากลับเปลี่ยนท่าทีเป็นพ่อค้าใหญ่ชาวประเทศวัว
กำลังรอพบอย่างนอบน้อม
โทโยโตมิ ฮิเดนากะนำคนที่พูดภาษาจีนได้มาด้วย เสิ่นหวั่งคำนับแล้ว เขาก็เรียกเสิ่นหวั่งลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ท่านเสิ่นไม่ใช่คนญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องคำนับข้าเช่นนี้ ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นแขกที่ไม่ได้เชิญมาเยี่ยมเยือนก็พอ!”
วาจาสุภาพเช่นนี้ ยิ่งทำให้เสิ่นหวั่งลำบากใจ แต่เสิ่นหวั่งก็นับว่าผ่านอะไรมามาก สองฝ่ายเริ่มด้วยวาจาตามมารยาท
“…ตอนนี้ใต้หล้าสงบ ทุกคนล้วนสามารถมีความสุขได้ เพียงแต่ไม่รู้ข้ากับพี่ชายจะอยู่ดูได้อีกนานเท่าไร….”
“ใต้เท้ากับใต้เท้าคัมปะกุอย่างไรก็ต้องดูแลได้อีกห้าปี ไยกล่าววาจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้เล่า”
“ท่านเสิ่นช่างรู้จักพูดจา พูดไปแล้ว คนท่านเสิ่นมีเรือใหญ่มากเช่นนี้ มีกิจการบนท้องทะเลมากเช่นนี้ แต่อยู่แผ่นดินหมิงไร้สถานะ ในใจก็คงไม่อาจยอมรับได้กระมัง?”
วาจาตามมารยาทกล่าวไปสองสามคำ โทโยโตมิ ฮิเดนากะอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนบทสนทนา เสิ่นหวั่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้แต่ยิ้มแหะๆ กล่าวว่า
“บนท้องทะเลแผ่นดินแม่ไม่สนใจคนของตน ไร้รากไร้ที่มา เพียงแค่นั่งเรือออกทะเลทำมาหากินเท่านั้น ใต้เท้าฮิเดนากะไม่ใช่ไม่รู้สถานการณ์แผ่นดินหมิง ไม่มีอันใดไม่อาจไม่ยอมรับ นี่เป็นชะตากำหนด!”
เสิ่นหวั่งราวกับปล่อยวางได้ แต่น้ำเสียงคับแค้นก็ยังเผยออกมาไม่น้อย เขามาฮิราโดะแล้วก็ไม่อาจระงับอารมณ์ในใจได้ แต่ไรก็มีแต่ความคับแค้นใจที่ไม่อาจระงับได้
โทโยโตมิ ฮิเดนากะยิ้มน้อยๆ พยักหน้า กล่าวว่า
“แผ่นดินหมิงร่ำรวยกว่าญี่ปุ่นเราหมื่นเท่า แผ่นดินหมิงสงบ ญี่ปุ่นรบกันวุ่นวาย แตกต่างกันมากเหลือเกิน หากเป็นเมื่อก่อน ข้าไม่กล้ามาเตือนท่านเสิ่นให้จากเมืองแห่งอำนาจวาสนานั่นมา แต่ทว่าตอนนี้ญี่ปุ่นเราสงบแล้ว ท่านเสิ่นอยู่ที่นี่ก็จะได้เสวยความสุขแห่งความสงบ”
พูดถึงตรงนี้ โทโยโตมิ ฮิเดนากะก็หยุดไป ก่อนกล่าวว่า
“ญี่ปุ่นเราไม่ถามชาติกำเนิด วีรบุรุษล้วนมีสถานะตนได้ ท่านเสิ่นหากยอมเป็นญี่ปุ่น อำนาจวาสนาย่อมไม่น้อย ครอบครองพื้นที่ห้าแสนสือก็ย่อมได้”
ได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหวั่งก็หวั่นไหวทันที จำนวนห้าแสนสือนี้สำหรับประเทศวัวแล้วเรียกว่าเป็นดังเจ้าผู้ครองแผ่นดินผืนหนึ่งเลยทีเดียว เป็นได้ถึงไดเมียวระดับกลาง หากพื้นที่ห้าแสนสือนี้เทียบแผ่นดินหมิงก็เท่ากับหนึ่งเมืองเลยทีเดียว มีสถานะนี้ ตนเองไม่เป็นหัวหน้าโจรสลัดแล้ว หากเป็นขุนนาง อยู่ประเทศวัว มีสถานะขุนนางบู๊สามารถสืบทอดให้ลูกหลานได้ พูดให้ไม่น่าฟังนักก็คือสถานะนี้แม้ว่าไปถึงแผ่นดินหมิง ก็เป็นแขกต่างชาติมีเกียรติ…
เสิ่นหวั่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นในใจทันที แต่ทว่าเขาเองก็ไม่ใช่เด็กน้อย รู้ว่าอีกฝ่ายสถานะนี้มาพบตน ยังให้เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ ย่อมไม่ง่ายเช่นดังว่า เสิ่นหวั่งเริ่มสงบใจได้ เอ่ยถามขึ้น
“เมื่อวานเหมือนมีลางดี วันนี้ใต้เท้าฮิเดนากะมาพบข้าและมอบวาสนาใหญ่ให้เช่นนี้ แต่ทว่าไร้ความชอบไม่อาจรับไว้ ใต้เท้าฮิเดนากะต้องการให้ข้า…”
****************
ฮิเดนากะอยู่ในจวนเสิ่นหวั่งไม่นานไม่สั้น ตอนจากไป ในจวนที่สนิทกับเสิ่นหวั่งก็พบว่านายท่านตนอยู่ ๆ ผ่อนคลายลงมาก อารมณ์ดีไม่น้อย
เสิ่นหวั่งไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น แต่เขาทำให้ภรรยาที่คลอดบุตรชายมาอยู่ฮิราโดะไร้ญาติขาดมิตร ถึงกับในจวนและคนใช้ก็ไม่คุ้นเคยกัน จึงเป็นผู้ฟังที่เหมาะสม
สำหรับเสิ่นหวั่ง ไม่ต้องการให้คนมาหารือกับเขา เขาคิดหาคนๆ หนึ่งมาคุยเท่านั้น
“เราจากฮิราโดะไปเทียนจิน จากที่นั่นกลับมา มีเรือมากมาย มีคนมากมาย เหตุใดเรามักถูกคนไล่ไปไล่มา ก็เพราะไม่ได้ลงหลักปักฐาน ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งพวกนั้น เรือไม่ได้มากกว่าเรา คนไม่ได้มากกว่าเรา แต่ทำไมยิ่งนานวันก็ยิ่งร่ำรวย นั่นเป็นเพราะมีท่าเรือส่วนตัว อาศัยคนอื่นทำงาน….”
ผู้หญิงฟังแล้วก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็รู้ว่าตนเพียงฟังก็พอแล้ว เสิ่นหวั่งยิ่งเล่าก็ยิ่งตื่นเต้น
“ไม่นาน พวกเราก็จะมีเมืองท่า ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็จะไม่เป็นเช่นตอนนี้แล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่เหลียวกั๋วกงก็ต้องเกรงใจเรา ข้านำลูกหยางกับเจ้ามา จะทำให้พวกเจ้าได้กลับไปอย่างทรงเกียรติ
*****************
ใกล้ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 แล้ว เมืองซงเจียงในจวนทั้งหลายต่างมีบรรยากาศเฉลิมฉลอง บรรยากาศเห็นได้ชัดว่าอลังการกว่าแต่ก่อนมาก
เมืองซงเจียงหลายคน ไม่ว่าคนท้องที่หรือคนนอกท้องที่ หลายคนร่ำรวยจากการเปิดท่าการค้า หลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น เมืองซงเจียงในเดือนสิบสอง เมืองท่าล้วนปกติทุกอย่าง หลายคนไม่ไปทำการค้า หากคิดฉลองปีใหม่ให้ดีสักปี
เทียบกับเทียนจินแล้วดีกว่ามาก ที่นี่เรืองอำนาจวาสนามาเกือบ 15 ปี ทุกคนชินเสียแล้ว เรื่องร่ำรวยแล้วฉลองปีใหม่ให้ดีๆ กันนั้นเป็นเรื่องไม่ตื่นเต้นแล้ว แต่เมืองซงเจียงไม่เหมือนกัน แม้แดนใต้ร่ำรวย แต่คนจนอย่างไรก็มาก
สำหรับสตรีในจวนเหลียวกั๋วกงแล้ว หวังทงอยู่จวนฉลองปีใหม่ ไม่ออกไปทำสงคราม เรียกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ยิ่ง ทำให้บรรยากาศเทศกาลในจวนถึงกับคึกคักยิ่งกว่าในเมืองซงเจียงเสียอีก
สตรีในจวนดีใจไม่ว่า หวังเซี่ยยิ่งดีใจเป็นพิเศษ เขาเด็กน้อยพูดจายังไม่ชัด เพียงแค่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจเท่านั้น
หวังทงยากจะมีเวลาว่าง เขาตามช่างมาหลายคน จ่ายเงินไปมากเพื่อทำของเล่นให้ลูกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นของที่ล้ำเกินยุคสมัยอันใด หวังทงเองก็ไม่ได้จำได้มากนัก ก็แค่ทำรถเข็นให้หวังเซี่ยเข็นเล่น ใช้ไม้มาทำเป็นทหารเด็กเล่น ยังให้ช่างหนังกับช่างตุ๊กตาไม้มาแสดง แสดงเรื่องอะไรนั้นล้วนหวังทงแต่งเอง ทำให้ลูกๆ สนุกกันอย่างมาก
หวังหลันกับหวังจงก็มีของเล่น หวังทงใช้วัสดุชั้นดี วาดรูปเอง ทำเป็นของเล่นใหญ่ อย่าว่าแต่เด็กน้อยชอบมาก แม้แต่บรรดาภรรยาเขาก็ยังมองอย่างไม่เคยเห็น ทุกคนต้องการคนละหลายชิ้น
คนเย็บผ้าปิดภายนอกเครื่องกลย่อมเห็นการทำงานภายใน ขอยอมไม่เอาค่าแรง แต่ขอหวังทงอนุญาตให้พวกเขาเรียนวิธีทำได้ ทำกำไรได้แน่นอน!
เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 มาถึงอย่างรวดเร็ว…
[1] ภูมิภาคคันโต คือภูมิภาคที่อยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ มหานครโตเกียว จังหวัดอิบะระกิ จังหวัดโทชิงิ จังหวัดกุมมะ จังหวัดชิบะ จังหวัดไซตะมะ จังหวัดคะนะงะวะ และจังหวัดยะมะนะชิ
[2] ใน ค.ศ. 1590 คัมปะกุฮิเดโยชิได้ส่งทัพไปปราบปรามตระกูลโฮโจไดเมียวที่ทรงอำนาจเพียงตระกูลเดียวหลงเหลืออยู่ในภูมิภาคคันโตทางตะวันออก ใช้แผนด้วยการพังเขื่อน ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมปราสาท