องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1065 เรื่องแทรกในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19
แผ่นดินหมิงใช้กำลังทหารทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่เหมือนกับทางเหนือ ทางเหนือถูกมองโกลกดขี่มานาน ยังมีการค้าทำให้รู้จักออมชอมกัน แต่ตะวันตกเฉียงใต้เรียกได้ว่ารบอย่างเดียว
ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อเรื่องมานาน ขุนนางแผ่นดินหมิงทำเลอะเลือนก็เพราะกลัวยุ่งยาก อย่างไรก็เป็นพื้นที่ยากจน พวกชาวเผ่ากันเองรบกันเองก็ปล่อยเขาไป รู้จักหนักเบาบ้างก็พอ ตระกูลหยางกลับไม่รู้ ถึงกับลงมือในพื้นที่ชาวฮั่นสังหารขุนนางท้องที่ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อแล้ว
รอบเมืองปัวโจว ขุนนางต่างรู้แก่ใจ ทหารเสฉวน กุ้ยโจวกับหูกว่างสามแห่งนี้กำลังรบอ่อนแอมาก หากรวมกำลังเร่งด่วนไปปราบ ถูกทหารตระกูลหยางตีพ่ายมา ทัพใหญ่แตกกระจัดกระจาย ไม่ต้องพูดถึงการที่ตระกูลหยางได้อาวุธจากทางการ รับเชลยมาเป็นพวกขยายอิทธิพลอำนาจ คนผู้นี้คิดก่อการย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด
ตอนนี้ กบฏตระกูลหยางยังไม่ได้เป็นที่เปิดเผย ขุนนางท้องที่รายงานราชสำนักก็คิดว่ากำลังเตรียมการ แต่หากพ่ายใหญ่มา คนรับผิดชอบล้วนต้องเข้าคุก
ดังนั้นตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 เรื่องแดงขึ้น ตระกูลหยางในเวลากระชั้นชิดก็ไม่สามารถพอที่จะรบออกมานอกพื้นที่เมืองปัวโจว ที่นั่นพื้นที่ค่อนข้างมีกำบังธรรมชาติเยอะ เช่นนั้นก็เป็นการขัดขวางทางการเสฉวน กุ้ยโจวและหูกว่างรวมกำลังเช่นกัน จึงไปเคลื่อนไหวกันที่เมืองหลวงแทน
พวกสายสัมพันธ์อันดับหนึ่งจริงก็ย่อมได้ย้ายออกไปที่อื่น พวกสายสัมพันธ์อ่อน ก็ย่อมร้องทุกข์ไปแล้วก็รายงานสถานการณ์จริงไปยัง
เสฉวน กุ้ยโจว หูกว่าง ถึงกับบริเวณโดยรอบ ระบบการเมืองแผ่นดินหมิงที่นี่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกันนัก ยังคงเป็นพื้นที่ปกครองขุนนางบุ๋น กล่าวเช่นนี้จะดูแปลกไปบ้างก็ตาม
คณะเสนาบดีใหญ่และขุนนางใหญ่หกกรมกองอยู่ในศูนย์กลางการบริหารมานาน ล้วนมองกระจ่างถึงเบื้องหลังเอกสารเป็นลายลักษณ์พวกนี้ของทางการ ตามวาจาหวังซีเจวี๋ยกล่าวว่า
“…หากยังไม่ส่งคนไปอีก เกรงว่าจะเอาสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว…”
การส่งคนไป ก็ไปตามธรรมเนียมเดิม ส่งขุนนางบุ๋นไปจัดการเรื่องนี้ ครั้งนี้เป็นหลี่ฮว่าหลง เป็นผู้ตรวจการทหารเสฉวน กุ้ยโจว หูกว่าง สามมณฑล
หลี่ฮว่าหลงแม้ว่าเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ แต่ทว่าตอนนั้นดวงไม่ดี ไม่มโอกาสอยู่ทำงานเมืองหลวง ไปเป็นผู้ว่าท้องถิ่น จากนั้นค่อยๆ ก้าวขึ้นมา มายังเมืองหนานจิงได้ตำแหน่งนายกองกรมโยธา ส่งไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวตงเป็นอยู่หลายปี จึงได้กลับมายังเมืองหนานจิง
อย่างไรก็ไม่ได้เข้าประจำเมืองหลวง แต่สะสมประสบการณ์เช่นนี้นานปี ยังได้ทำงานที่ได้ทำงานจริงๆ หลายเรื่อง ขุนนางเช่นนี้หาได้ยาก เสฉวนเกิดเหตุเช่นนี้ เหมาะที่จะส่งขุนนางเช่นนี้ไป
เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชายแดนรู้การทหารไม่น้อย หลี่ฮว่าหลงนับว่ารู้มากเข้าใจมาก ไปยังเสฉวนแล้วกลับพบว่าสถานการณ์ลำบากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
เสฉวน หูกว่างกับกุ้ยโจวไม่มีทหารสามารถรบ ความจริงนั้นทหารที่รบได้มีอยู่มาก แต่คนเหล่านี้ล้วนเรียกว่าเป็นทหาร แม้ว ก็คือเป็นทหารราบที่เป็นชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าแม้วตะวันตกเฉียงใต้ ทหารเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าทหารตามค่ายทหารมาก
แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจใช้กำลังเหล่านี้ เพราะทหารแม้วเหล่านี้ถูกปกครองโดยชาวท้องถิ่นนานแล้ว และเมืองปัวโจวก็เท่ากับเมืองปกครองโดยท้องถิ่น หากเคลื่อนกำลังแม้วไปปราบ ไม่ต้องพูดถึงว่าถูกพวกตระกูลหยางเมืองปัวโจวซื้อตัวไปแล้ว อาจทำให้เกิดภัยหายนะได้ กลายเป็นกำลังฝ่ายตรงข้ามแทน
ความจริงนั้น หัวหน้าชนเผ่าไม่น้อยใกล้เมืองปัวโจวก็ขอนำกำลังออกปราบ เพราะตระกูลหยางรุกรานผลประโยชน์พวกเขา แม้ว่าร่วมชนเผ่า แต่อย่างไรก็ไม่อาจยอมรับได้
ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงรอบคอบไว้ก่อน ไม่ได้ไม่คิดใช้ แต่กำลังเสฉวน หูกว่างกับกุ้ยโจวที่ใช้ได้เรียกว่าน้อยไปจริงๆ หากเกิดปัญหาแม้เล็กน้อย คนมีใจเป็นอื่นๆ ก็ล้วนพังกันทั้งหมด แน่นอนต้องรอบคอบ ไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
หลี่ฮว่าหลงด้านหนึ่งส่งคนไปแกล้งสอบถามตระกูลหยาง ทุกคนแกล้งทำเป็นถามและขอรับผิดกันไป แต่อีกทางก็ส่งคนไปรวบรวมกำลังโดยรอบพื้นที่
เมืองปัวโจวตระกูลหยางอย่างไรก็เป็นพื้นที่แคบ กำลังเคลื่อนมาได้มากก็แค่นั้น รอบๆ เมืองปัวโจวถูกเขาปราบยึดไปได้หลายป้อมหลายหมู่บ้าน รวมแล้วเกือบร้อย แต่ก็แค่รอบๆ ออกไปด้านนอก ทหารสามมณฑลยังคงรบแพ้ชนะกับเขาอยู่ ดึงสถานการณ์ไว้ได้อยู่
หลี่ฮว่าหลงทำงานไปตามขั้นตอน รวบรวมกำลังทหารแต่ละแห่งมาไว้ที่อำเภอเหอเจียง ตุนเสบียง รับชาวบ้านมาเป็นทหาร รอกำลังได้เปรียบก่อน ค่อยโจมตีพร้อมกัน
เมืองปัวโจวพื้นที่อันตราย ตระกูลหยางกับทหารแม้วที่เป็นพันธมิตรกันรวมกำลังแข็งแกร่ง ดังนั้นต้องเตรียมการให้ดีพอ ก็หมายความว่าต้องมีความมั่นใจยิ่งมากก่อน ‘ความมั่นใจ’ ยิ่งมากนี้ คนของผู้ตรวจการและผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ล้วนรู้ หากยังไม่มีทหารถึงแสน ไม่มีเสบียงสำหรับทหารแสนนายใช้หนึ่งปี ก็ไม่อาจทำการพลการ
การรวบรวมคนและเสบียงนี้ ต้องใช้ความพยายามให้มากที่สุดที่จะไม่ให้เมืองหลวงกับท้องที่รู้ ไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม อย่างน้อยก็ต้องสามปี
พูดตรงๆ เวลาสามปีไม่มาก โดยเฉพาะรับมือศัตรูเช่นนี้ ที่หลี่ฮว่าหลงทำนับว่าทำไปตามขั้นตอนกระบวนการ เป็นวิธีการที่เหมาะสมมาก
แต่เตรียมการมาถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 สหายหลี่ฮว่าหลงในเมืองหลวงก็เขียนจดหมายมา จดหมายตรงไปตรงมามาก เริ่มจากเล่าถึงเรื่องการรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิงไปจนนอกด่านหลายครั้ง ใช้เวลาไม่เกินเดือน เคลื่อนทหารไม่ถึงแสน ก็ทำลายศัตรูได้รับชัยชนะ หากเมืองปัวโจวแค่นี้ยังต้องใช้เวลาและใช้เงินมากมายเพียงนี้ วันหน้าหากมีคนเอ่ยถึง เกรงว่าจะถูกคนหาว่าไร้สามารถมายื่นฎีกาได้
พอได้รับจดหมายนี้ หลี่ฮว่าหลงท่าทีไปต่อไม่ถูก ลองนั่งนิ่งคิดตรึกดู การเตรียมการของเขาก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องกล่าวว่าทำการได้รอบคอบ แต่จดหมายกล่าวมาก็เป็นความจริง ชัยชนะกองกำลังหลวงยิ่งใหญ่เกินไป เทียบกันแล้ว ที่อื่นๆ ไม่อาจทำได้
ไม่กล่าวถึงชัยชนะใหญ่ ระยะนี้กองกำลังหลวงที่ส่านซีก็มีชัยหลายครั้ง จบศึกเร็ว ผลการรบยิ่งใหญ่ หากตนเองจบศึกเช่นนี้ วันหน้าย่อมมีภัย
กองกำลังหลวงไปทุกแห่ง ก็เท่ากับโอรสสวรรค์คุมแน่นทุกแห่งแล้ว ขุนนางบุ๋นท้องที่มีสิทธิ์กล่าวอันใดได้น้อยมาก เช่นว่า ส่านซีกับซานซี การค้าเดิมเหมือนไม่มี แต่ตั้งแต่กองกำลังหลวงไปตั้ง ในวังส่งขันทีไปเก็บภาษี ไม่ต้องใช้วิธีการขูดรีด ก็เก็บภาษีได้ตามธรรมเนียม
กองกำลังหลวงนำกำลังมาตั้งอยู่ ขุนนางท้องถิ่นล้วนไม่อาจแสดงท่าทางเป็นผู้องอาจเช่นแต่ก่อน แต่ละคนยอมจ่ายภาษีแต่โดยดี ผลของการไม่จ่ายก็คือเลือดตกยางออก ทุกคนล้วนได้เห็นแล้ว
หลี่ฮว่าหลงรู้ คณะเสนาบดีใหญ่ส่งตนมายังพื้นที่นี้ปราบโจร ก็เพื่อไม่อยากให้กองกำลังหลวงเข้าแทรกแซง แต่สถานการณ์เช่นนี้ อาศัยอะไรมาให้ตนแบกรับความผิดนี้ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ตอนเองกลายเป็นตัวตลก ดีไม่ดียังอาจทำให้ถูกเป็นข้อพิพาทโจมตีได้อีก
ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเหลียวตงแล้ว หลี่ฮว่าหลงก็คิดจะก้าวหน้า อย่างไรก็มาถึงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลแล้ว คิดจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็เป็นเรื่องปกติ
ที่ทำให้หลี่ฮว่าหลงตัดสินใจมาทำหน้าที่ที่เสฉวนกับหูกว่าง ก็เพราะบรรดาพ่อค้าเดือนสองกรูกันไปยังเมืองซงเจียง หลี่ฮว่าหลงแน่นอนรู้ ในกลุ่มนี้ยังมีพ่อค้ามีสายสัมพันธ์กับเขา เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่พ่อค้าเองล้วนไม่สนใจเรื่องถูกเก็บภาษี พากันไปเอาใจกองกำลังหลวง ตนเองไยต้องลำบากให้ตนเองแบกรับความผิดนี้เองด้วยเล่า
ขอกองกำลังหลวงมาช่วย ให้กองกำลังหลวงมาปราบ ชนะขึ้นมา ตำแหน่งตนก็มีความชอบ หากแพ้ ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบหลัก
ในวงการขุนนางมีธรรมเนียมสำคัญหนึ่งก็คือเข้าใจกันและกัน หลี่ฮว่าหลงส่งฎีกาไปยังเมืองหลวง คณะเสนาบดีใหญ่หกกรมกองไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ยอมรับ เรื่องนี้จากมุมมองส่วนรวมแล้ว อย่างไรก็เป็นการปราบจลาจลบนแผ่นดินหมิงยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ในส่วนตัวคุยกันนั้น หน่วยต่อสู้กองกำลังหลวงเหล่านี้ล้วนเคยต่อสู้บนทุ่งหญ้ากับที่ราบมา พื้นที่เมืองปัวโจวไม่เหมือนที่อื่น ยังมีแต่หมอกควันหนาและชื้น กองกำลังหลวงใช้ปืนเป็นหลัก ไปแล้วไม่แน่อาจเสียเปรียบก็ได้
ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก็แค่เมืองป่าเถื่อน ในสายตาขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่เท่าไร แต่ที่สำคัญตอนนี้ก็คือให้กองกำลังหลวงที่นับวันยิ่งขยายอิทธิพลได้เสียทีเสียบ้าง ก็เป็นเรื่องไม่เลว
ขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ไม่มีคนค้าน ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งทรงมั่นใจในกองกำลังหลวง เถียนอี้กับโจวอี้สำนักส่วนพระองค์ล้วนเข้าใจกองกำลังหลวง หากไปยังพื้นที่นี้เปิดศึกปราบกบฏนั้นหมายความว่าอย่างไร ฮ่องเต้ก็ยิ่งครองพื้นที่ยิ่งมาก อำนาจในวังก็ยิ่งขยาย สามารถส่งขันทีในวังออกไปได้อีกหนึ่งพื้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในวังมีตำแหน่งกับเส้นทางเพิ่มอีกทาง
ทุกคนล้วนเห็นพ้องกัน เช่นนั้นจากนี้ก็คือตัดสินใจว่าจะส่งผู้ใดไป กองกำลังหลวงมีหลายหน่วย พูดให้ถูกก็คือมีหลายเมือง ใกล้เสฉวนที่สุดก็ย่อมเป็นส่านซี
หนิงเซี่ยเป็นพื้นที่ปกครองส่านซี ส่านซีกินพื้นที่กว้างใหญ่ ในมือลี่เทาแม้ว่ามีทหารสี่หน่วย กอปรกับทหารเก่งกล้าอีกสามหมื่น สามารถป้องกันพื้นที่ได้กว้างใหญ่ หนิงเซี่ยเป็นพื้นที่ใกล้ลุ่มน้ำ กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธกำลังมากเพียงพอ สามารถส่งกำลังออกมาช่วยกองกำลังหลวงได้
ตามเหตุผลแล้ว ซุนซิงกองกำลังหลวงเมืองหนิงเซี่ยจึงได้รับเลือก สำหรับตระกูลลี่คิดถึงเรื่องพื้นที่เมืองปัวโจวซับซ้อน กองกำลังหลวงไปอาจเสียเปรียบ ดังนั้นจึงคิดการให้ซุนซิงไป นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดรู้
กองกำลังหลวงหนิงเซี่ยนำกำลังออกไปสองหน่วย กำลังหลวงส่านซีนำกำลังกองปืนใหญ่ 300 ยังมีทหารเก่งกล้าจากหนิงเซี่ยกับส่านซีอีก 1,000 นาย ยังมีกำลังกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธที่เรียกว่าทหารม้า ‘ผู้กล้า’ อีก 500 นาย รวมแล้วก็ 6,700 นาย เข้าสู่ส่านซี ใช้เส้นทางตอนกลางเจ้าสู่เสฉวนปราบกบฏ
สำหรับกำลังทหารหลักส่านซีกับในมณฑลนั้นไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนัก สำหรับเสฉวนแล้ว นี่คือกำลังทหารนอกพื้นที่มาช่วย ยังมีสายสัมพันธ์ลี่เทา เสบียงก็ย่อมสะดวกมาก
นับประสาอันใดกับกำลัง 6,000 กว่า เสบียงแม้ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากเกินไปนัก ในพื้นที่สามารถรวบรวมมาได้อยู่ เสฉวนเองจึงมีคนรับหน้าที่จัดเตรียมโดยเฉพาะ
กองกำลังไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่จัดหาเสบียง ที่พักและข้าวของที่ต้องใช้ก็ล้วนได้รับมาระหว่างเดินทาง กองกำลังหลวงย่อมเดินทางได้เร็ว ทหารจากที่ต่างๆ ที่ตามมาสมทบก็ไม่ช้า ตั้งแต่ยื่นฎีกาไปจนตัดสินใจราชสำนักจนมีราชโองการก็ใช้เวลาไม่นาน กลางเดือนห้า กองกำลังหลวงก็เข้าสู่เสฉวน ไปถึงเมืองปัวโจว
ไม่ใช่หวังทงเป็นแม่ทัพ ธรรมเนียมราชสำนักไม่อาจแก้ไข ตามหลักก็เป็นขุนนางบุ๋นคุม ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงรับหน้าที่นี้ สำหรับขันทีคุมกำลัง เจ้าจินเลี่ยงกำลังออกปฏิบัติงานตรวจอยู่พอดี ก็รับหน้าที่นี้ไป
ในวังดูแล้ว นี่เป็นฝ่าบาทกับโจวอี้โจวกงกงให้ความสำคัญกับเจ้ากงกงอย่างที่สุด เจ้าจินเลี่ยงเจ้ากงกงอายุเท่านี้ ก็ได้รับภารกิจสำคัญในวังหลายอย่าง นี่ยังไม่เท่าไร ยังต้องออกนอกวังไปสั่งสมประสบการณ์อีก ครั้งนี้ไปคุมกำลัง ก็ย่อมเป็นความชอบอีกอย่าง
ซุนซิงเป็นคนนิ่ง โตกว่าคนในวัยเดียวกันที่หาได้ยาก นิสัยเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ยามคับขันมักขาดแรงกระตุ้น ก็คือแรงปะทะและตัดสินใจ เช่นในเวลานี้ เขากลัวว่าตนเองจะไม่คุ้นเคยพื้นที่เมืองปัวโจว กองกำลังหลวงชนะไม่เพียงแต่เป็นบารมีทางทหาร แต่ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวพัน เขารับผิดชอบไม่ไหว แน่นอนโอรสสวรรค์เลือกขุนพลแล้ว เขาไม่อาจมีเหตุผลไม่ไป
ไม่สบายใจทำอะไรได้ ตอนก่อนออกเดินทาง ซุนซิงส่งม้าเร็วไปขอความเห็นหวังทง ขอหวังทงออกความเห็น หวังทงตอบจดหมายตอนซุนซิงเข้าสู่เขตเสฉวน จดหมายง่ายมาก แผ่นดินหมิงไม่มีศัตรูที่สามารถต่อกรกับกองกำลังหู่เวยได้ ที่เจ้าต้องทำก็คืออย่าดูแคลนศัตรู อย่าบุ่มบ่าม ต้องทำไปตามขั้นตอน ค่อยๆ เข้าทลายรังศัตรูก็พอ….
จดหมายทำให้ซุนซิงนิ่งลง หวังทงยังมีจดหมายส่วนตัวไปยังเจ้าจินเลี่ยง กล่าวไว้ง่าย ๆ ว่า แผ่นดินหมิงให้สิทธิพิเศษพวกหัวหน้าเผ่าทางตะวันตกเฉียงนานไปแล้ว ต้องให้พวกเขารู้จักเกรงกลัวบ้าง ครั้งนี้ไปไม่กลัวสังหารทิ้ง จักต้องสร้างบารมีข่มให้เพียงพอ จากนั้นค่อยแสดงพระเมตตา
หลี่ฮว่าหลงทางนั้น หวังทงไม่ได้มีจดหมายส่วนตัวไป แต่พ่อค้าเสฉวนกับหูกว่างออกไปหาหลี่ฮว่าหลงเอง ยอมให้กำลังสนับสนุน ลงแรงทุกอย่างที่ทำได้
ที่ว่าให้กำลังสนับสนุน เมื่อก่อนก็คือให้เงินและอาหาร แต่พ่อค้าเหล่านี้กลับยังให้ข่าวกองกำลังหลวง เมืองปัวโจวไม่ใช่แดนสนธยา คิดจะดำรงอยู่ก็ต้องติดต่อกับภายนอก อย่างน้อยเกลือก็ต้องซื้อจากด้านนอก พ่อค้าแถบนั้นรับซื้อและขายได้กำไรงาม
ไปเมืองซงเจียงครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ต้องแสดงความปรารถนาดีเอาใจหวังทง กองกำลังหลวงนี้เป็นการแสดงความปรารถนาดีได้ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ทุกคนจึงเอื้อเฟื้อสายสัมพันธ์ที่เคยมีมาหมด ความจริงนั้นอย่าเห็นว่าตอนนี้ทางการเริ่มเก็บเงียบ แต่แต่ไรมาก็มีพ่อค้าขายอาวุธและเกลือให้ตระกูลหยาง เบื้องหลังพ่อค้าก็มีพวกขุนนางทางทั้งนั้น ไม่เสียกำไร ทุกคนล้วนรับรู้ในเรื่องนี้ว่าเป็นจลาจลเล็กๆ กบฏเล็กๆ
กองกำลังหลวงปราบตระกูลหยางเปิดศึกแรกไม่ได้ต่อสู้กับตระกูลหยาง และไม่ใช่ทหารแม้วที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลหยาง ไม่ใช่โจรที่ร่วมวงก่อการ หากปราบพ่อค้าเกลือเถื่อนในพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดก่อน
ปริมาณเกลือที่เสฉวนมีมาก พ่อค้าเกลือเสฉวนย่อมสร้างเครือข่ายตนเอง พวกเขานอกจากพื้นที่หูกว่างแล้ว กำไรยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือขายไปยังเผ่าต่างๆ ในตะวันตกเฉียงใต้ เผ่าต่างๆในภูเขาล้วนขาดแคลนเกลือ ราคาก็ย่อมสูงลิ่ว
ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อกบฏแรกสุดก็ซื้อเกลือมาปริมาณมากก่อน จากนั้นก็ขายราคาสูงและตั้งธรรมเนียมกับพ่อค้าเกลือเถื่อน ทำให้ได้เกลือมาไม่ขาด อาศัยเรื่องนี้ทำให้มีหมู่บ้านชาวเผ่าแม้วและเผ่าเย้าไม่น้อยมายอมรับใช้พวกเขา ข่าวนี่แต่ไรทุกคนรู้กันดี แต่เพียงทำเป็นไม่รู้เท่านั้น หากเมื่อกองกำลังหลวงมาถึง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม พ่อค้าใหญ่เสฉวนรีบนำข่าวนี้ไปขาย คนของพ่อค้าเกลือเถื่อนมีกำลังถึง 3,000 ยากต่อกร แต่กองกำลังหลวงเพียงแค่เคลื่อนกำลังครึ่งหน่วยไปรบ
ทุกคนในเสฉวน ตั้งแต่หลี่ฮว่าหลงลงไปถึงบรรดาพ่อค้าเบื้องหน้า ล้วนรู้สึกว่าดูแคลนศัตรูเกินไปแล้ว…