องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1066 จัดการเมืองปัวโจว
หนึ่งหน่วย 1,600 คน ครึ่งหน่วย 800 คนรับมือพ่อค้าเกลือเถื่อนกำลังเกือบสามพัน ทุกคนในเสฉวนพากันคิดว่ากองกำลังหลวงหลงตัวเองเกินไปแล้ว
“แม้เป็นเหลียวกั๋วกงมาเอง ทำเช่นนี้ก็นับว่าเสี่ยงเกินไป ขุนพลซุนอายุน้อยกำลังฮึกเหิม หากเจออุปสรรคนี้ วันหน้าย่อมไม่เป็นผลดี!”
หลี่ฮว่าหลงแอบคุยกับคนสนิทเช่นนี้ คนสนิทเองก็เข้าใจอย่างมาก จึงรีบส่งคนไปบอกแก่ซุนซิง คนระดับสูงพูดจากันก็ย่อมไม่กล่าวไปทั้งหมด ต้องเก็บไว้สามส่วน แต่คนสนิทไปกล่าวกลับกล่าวตรงไปตรงมามาก
“หากเป็นทหารไร้ระเบียบ 3,000 ขุนพลซุนนำทหาร 800 ไปจัดการได้ตามสบาย แต่พวกพ่อค้าเกลือเถื่อนนี่เป็นโจรในพื้นที่ โจรสามพันล้วนเป็นเครือญาติ ยากจะจับเคี้ยวเล่นได้….”
วาจานี้ช่างทำให้คนอยากยิ้มก็ไม่ออก อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ ทหาร 3,000 ให้โจมตีได้ตามสบาย แต่โจร 3,000 กลับต้องคิดให้มาก เพราะกำลังการต่อสู้ไม่เลว ความจริงนั้นก็เป็นเรื่องจริง ทหารท้องที่ล้วนราวกระสอบหญ้า ไม่อาจต่อสู้อะไรได้จริงๆ แต่พวกเกลือเถื่อนไม่เหมือนกัน
สามารถขนเกลือไปขายเมืองปัวโจวทำกำไรได้ พวกค้าเกลือเถื่อนเช่นนี้ อิทธิพลอำนาจย่อมล้นฟ้า ในวงการสายนักเลงก็ไม่อาจทำได้เช่นนี้ พวกค้าเกลือเถื่อนเป็นคนใหญ่คนโตในพื้นที่ ครอบครัวมีบัณฑิตจวี่เหรินมีความชอบสองคน สายสัมพันธ์ขุนนางก็แข็งแกร่งมาก ว่ากันว่าถึงระดับผู้ว่าการมณฑล
แต่ทว่าเมืองปัวโจววุ่นวาย ความผิดหนักมาก องครักษ์เสื้อแพรเสฉวนตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ก็รีบตัดสัมพันธ์ทันที ไม่เหลือสายสัมพันธ์อีก
พวกค้าเกลือเถื่อนคนใหญ่คนโตในท้องที่มีกำลังส่วนตัวมากเช่นนี้ ก็เพราะขนเกลือให้ชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ไม่แน่อาจมีคนมาปล้น อันตรายมาก หากพบการตรวจสอบจากทางการที่ไม่รู้จักดูให้ดี บางทียังลงมือสังหารกลับไป พวกคนเหล่านี้ หนึ่งมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน สองล้วนอาศัยเงินเลี้ยงดู สามอย่างไรก็เคยสังหารกับพวกแม้วพวกเย้ามาก่อน ล้วนมีประสบการณ์ กองกำลังเช่นนี้ก็เกือบเท่ากับระดับทหารมณฑล ย่อมต่อสู้เก่งกล้ามาก
ซุนซิงไม่สนใจคำเตือนของคนอื่น เจ้ากงกงที่อายุน้อยก็กลับไม่ฟังเช่นกัน ทุกคนได้แต่ทอดถอนใจ รวบรวมกำลังกันไป
ยังไงก็จะเอา 800 สู้ 3,000 รับมือพวกเกลือเถื่อนเช่นนี้ นิรโทษกรรมก็ได้ไม่ใช่หรือ? หากไม่ได้ ก็ขอผู้บัญชาการเสฉวนรวมกำลังมา จะสู้ไม่ได้ได้อย่างไร
ทว่าการต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายมาก กองกำลังหลวง 800 ปืนไฟ 300 ยิงสองรอบ อีกฝ่ายยิงธนูโดนกวาดเรียบ จากนั้นกองกำลังหลวงรวมกำลังกันตั้งเป็นแถวทัพบุกเข้าไปยังกองกำลังอีกฝ่าย บุกทะลุกลางกองกำลังอีกฝ่าย จากนั้นก็วนทะลุกลับมาสองรอบ
พวกค้าเกลือเถื่อนไม่อาจต้านทานได้ พริบตาก็แตกกระเจิง ผลการต่อสู้ทำให้หลายคนมองกันตาค้าง แต่พอเห็นกองกำลังหลวงท่าทางปกติคิดกันว่าเป็นเรื่องที่ควรเป็น พวกคนที่ตามมาชมการต่อสู้จึงได้รู้ความร้ายกาจที่แท้จริงของกองกำลังหลวง
พวกค้าเกลือเถื่อนเดิมทียังคิดต้านทานไว้ ให้ทางการเสียที จากนั้นค่อยเจรจาเงื่อนไขนิรโทษกรรมก็ไม่เลว เขารู้ว่าเสฉวนนั้นทหารล้วนย่ำแย่เต็มที ยังคิดว่าทหารมารับมือพวกตระกูลหยาง ตนเองอาจได้ออกแรงช่วยบ้าง คิดไม่ถึงกองกำลังหลวงจัดการได้ไวเพียงนี้ ฝีมือต่อสู้ร้ายกาจเพียงนี้ ได้แต่ยอมจำนนด้วยตนเอง ขอไว้ชีวิต
กองกำลังหลวงปราบพวกค้าเกลือเถื่อนเป็นการข่มบารมี ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการนี้ คิดไม่ถึงกองกำลังหลวงข่มบารมียิ่งใหญ่เพียงนี้ รวดเร็วเพียงนี้
พวกค้าเกลือเถื่อนกองกำลังใหญ่ล้วนถูกปราบราบคาบ คนอื่นๆ ไหนเลยยังกล้าก่อการ หลี่ฮว่าหลงกับผู้ว่าการมณฑลเสฉวนจัดการออกคำสั่งห้ามมาสองปี ยังมีคนทำการค้ากับเมืองปัวโจว แต่หลังจากครั้งนี้ คำสั่งห้ามออกไป ทุกคนล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหว
ก่อนตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อความวุ่นวาย ก็สะสมเสบียงไว้เพียงพอ เป็นเหตุให้สามารถรวมกำลังชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ มาได้ แต่ของสะสมเพียงพอไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องขนไป
ทุกคนล้วนเข้าใจดี หากไม่มีของจากภายนอกมาสมทบ ด้วยพื้นที่เช่นเมืองปัวโจว ก็ย่อมตายสถานเดียว ตอนนี้ยังมีหลายที่ยังหาทางตีฝ่าออกไปไม่ได้ หากถูกล้อมเอาไว้ จุดจบก็ย่อมเป็นว่าค่อยๆ สิ้นเปลืองของที่สะสมไว้จนหมด จากนั้นก็แตกกระเจิงรอความตาย
ตระกูลหยางเองก็เข้าใจหลักการนี้ วันที่ห้าหลังตัดเส้นทางขนเกลือ ตระกูลหยางก็รวบรวมกำลังและทหารที่อื่นมาเกือบ 15,000 นายโจมตีอำเภอเหอเจียง หากตีฝ่าไปได้ ไปยังเฉิงตูได้ ไปยังพื้นที่สมบูรณ์ที่สุดของเสฉวนได้ ได้เสบียงมาเพิ่ม อะไรก็ล้วนสะดวก
กองกำลังหลวง 6,000 นายและทหารสองหมื่นจากเสฉวนขวางหน้าพวกเขา ทหารเสฉวนก็เป็นเพียงแต่หน่วยกองบริการ รบจริงๆ ก็ต้องอาศัยกองกำลังหลวง
การต่อสู้นี้ถึงกับให้ซุนซิงไม่ได้รู้สึกพอใจอันใดนัก ในการรบนั้น ปืนใหญ่ตูมไปสองที ทัพศัตรูก็เริ่มสั่นคลอน เห็นศัตรูใกล้แตกพ่าย หากศัตรูแตกกระจัดกระจายมากไปไม่อาจปราบได้หมด จึงหยุดยิงปืนใหญ่ ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้ามา
ผลปรากฏปืนไฟยิงไม่ถึงห้ารอบ ศัตรูก็ไม่อาจรวมกำลังบุกเข้ามาได้อีก ซุนซิงออกคำสั่งบุกอย่างเสียไม่ได้
ขบวนทัพม้าตีกองกำลังศัตรูแตกพ่ายทันที ตระกูลหยางก็มีทหารม้า แต่ทว่าม้ายูนนานและเสฉวนตัวเตี้ยเล็ก ไม่อาจมีแรงบุกปะทะอันใด ทหารม้าตะวันตกเฉียงเหนือล้วนตัวสูงใหญ่ ความแตกต่างม้ามีมาก ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเกราะกับอาวุธที่แตกต่างกันอีก ทหารม้าตะวันตกเฉียงใต้กล่าวว่าเป็นทหารม้า ไม่สู้กล่าวว่ามาแค่เติมจำนวนเท่านั้น ทหารม้าตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเรียกได้ว่าวันๆ อยู่แต่บนหลังม้า
ทหารม้าเมืองปัวโจวถูกตีพ่าย จากนั้นถูกไล่ต้อนกลับไป ทหารม้าที่ตระกูลหยางคิดว่าเป็นกำลังหลักกลับมาเหยียบกองกำลังตนเอง เดิมที่กำลังแตกตื่นกันแล้วก็ยิ่งแตกกระเจิง
สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทหารม้าชอบดูที่สุด ไล่ต้อนทหารพ่ายศึก ให้พวกเขาเหยียบย่ำกันเอง ให้สังหารกันเอง สามารถขยายผลการรบไปได้ต่อเนื่อง ทหารราบก็ให้ศัตรูเก็บกวาดกันเองก็พอ ไม่ต้องใช้กำลังสิ้นเปลืองแรงมากนัก
ยังคงเป็นเสฉวนที่ไม่มีพื้นที่ราบกว้างนัก ไม่เช่นนั้นหากเปิดทางให้ทหารม้าเข้ากวาดล้างได้ล่ะก็ ผลการรบย่อมยิ่งใหญ่กว่านี้ ซุนซิงไม่พอใจผลการรบก็คือเรื่องนี้
แต่ทว่าเขาไม่พอก็ส่วนไม่พอใจ หลี่ฮว่าหลงกับขุนนางเสฉวนและกุ้ยโจวพากันลิงโลดยิ่ง หนึ่ง รวบรวมความชอบทางการทหาร สอง หาคนเขียนฎีกาสวยหรูรายงานไปยังเมืองหลวง
ตอนนี้ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ในเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวรู้แล้วว่ากองกำลังหลวงมีกำลังการต่อสู้เช่นไร เมื่อก่อนได้ยินมาก็มักจะรู้สึกว่าเกินจริง เมื่อก่อนตัดหัวพวกนอกด่านได้ชัยชนะใหญ่ เจ้าหวังทงนั่นก็แน่ พริบตาได้มาหลายพันหลายหมื่นหัวรายงานความชอบ ช่างน่าอายเสียจริง หลังการต่อสู้ที่อำเภอเหอเจียง พวกเขาจึงได้เข้าใจว่าที่แท้ไม่ได้เกินเลยไป กองกำลังหลวงถึงกับสังหารกองกำลังศัตรูเรือนพันได้อย่างผ่อนคลาย ตัดหัวทิ้งราวกับหั่นผัก
จากนี้ไปก็ไล่ล่าจับตัว ตระกูลหยางเมืองปัวโจวเดิมปักหลักมั่นที่นี่มา 800 ปีแล้ว การพ่ายแพ้ครั้งนี้เพราะยกกำลังออกไป เช่นนั้นก็รักษาพื้นที่ไว้ไม่ไปไหน ที่นี่พื้นที่ซับซ้อน อย่างไรพวกเจ้าก็เข้ามาไม่ได้ ยืนหยัดไว้ระยะหนึ่ง ก็ขอรับผิด จากนั้นก็โยนพวกลูกหลานที่สายสัมพันธ์ใกล้หน่อยออกไปรับผิด เรื่องราวก็อาจจะผ่านไป
เทียบกับก่อนหน้าการต่อสู้หวังทงไม่ได้มีจดหมาย แต่พอมีชัยแล้ว หวังทงกลับมีจดหมายมาบอกกล่าวมามาก
ในนั้นกล่าวถึง ต้องไม่เหลือรากแห่งความชั่วไว้ ต้องให้ทหารในพื้นที่ช่วยเหลือให้มาก ไม่อาจเหลือไว้ก็คือต้องไล่ล่าสังหารโจรให้หมดสิ้น ให้ทหารในพื้นที่ช่วยในเรื่องนี้ หวังทงให้คำอธิบาย แต่วาจาก็ต้องเก็บไว้สามส่วน จดหมายเมืองซงเจียงถึงเสฉวนไปมายุ่งยากมาก ย่อมเสียเวลา
ทางการท้องที่ปราบโจร ไม่สู้กล่าวว่าพวกเขาเองก็เป็นโจร พอเข้าเขตแดนมารู้สึกเหมือนมีกระแสลมพัด พื้นที่ถูกทำลายมาก แต่ที่ต้องการก็คือการถูกทำลายเช่นนี้ เมืองปัวโจวแห่งนี้ ราชสำนักแต่งตั้งตระกูลหยางแต่ละรุ่นเป็นผู้ปกครองพื้นที่ชนกลุ่มน้อยดำรงตำแหน่งเซวียนเว่ยสื่อ ความจริงนั้นตระกูลหยางก็ราวกับฮ่องเต้ท้องถิ่น ชาวพื้นเมือง หมู่บ้านบนเขา ล้วนรู้เพียงตระกูลหยาง ไม่รู้ว่ามีราชสำนัก ให้ขุนนางท้องที่ส่งทหารไป ‘จัดระเบียบ’ สักรอบ จากนั้นให้อพยพราษฎรเข้ามา ก็เป็นการทำให้พื้นที่ราชสำนักมั่นคง
ซุนซิงนำกำลังรบชำนาญมาก หลายเรื่องไม่ได้วิเคราะห์เอง แน่นอนล้วนใช้แบบหวังทงเป็นหลัก หลี่ฮว่าหลงเห็นแล้ว แม้ว่ารู้สึกอึดอัด แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ความคิดหวังทงล้วนคิดเพื่อส่วนรวมแห่งราชสำนัก จึงไม่อาจกล่าวอันใด
สำหรับขุนพลทหารเสฉวนแล้ว กองกำลังหลวงแม้ว่าเก่ง หากยังรู้จักวางตัว รู้แบ่งความชอบให้ทุกคน ทุกคนร่วมกันร่ำรวย เมืองปัวโจวไม่อาจเทียบกับเฉิงตู แต่หากปล่อยให้แย่งชิงได้ล่ะก็ ก็ย่อมมีไม่น้อย โอกาสเสพสุขก็มาก
ขุนพลทหารล้วนตั้งสติมั่น ทุกคนรับคำสั่งอย่างดี นำเสบียงอาหารมอบให้กองกำลังหลวงเป็นการรับประกันไว้ก่อน ให้พวกเขามีชัยมา จากนั้นก็จะได้ฉลองกัน
การรบลำบากแท้จริงก็คือวันที่สามในก่อนการเข้าสู่ศูนย์กลางเมืองปัวโจว ที่ตั้งค่ายกองกำลังหลวงมั่นคง ด้านหลังยังมีทหารทางการในพื้นที่อีกกองใหญ่ ถึงกับยังมีพวกชาวพื้นเมืองที่ไม่ถูกกับตระกูลหยางมาช่วย คิดจะลอบโจมตีคนมีแต่ต้องเลือดตกยางออกกลับไปแทนแล้ว แต่ทว่าเห็นการคุกคามมาถึงพื้นที่ตนเช่นนี้ ตระกูลหยางก็ไม่อาจไม่หลั่งเลือดต่อสู้
โอกาสอยู่ในวันที่สาม เดินทัพอยู่นั้นฝนก็ตกหนัก เดือนหกในเสฉวนร้อนอบอ้าว ฝนตกหนักเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ ไม่ว่าปืนไฟหรือของที่ต้องการความแห้งทำอย่างไรดี ปืนใหญ่กับปืนคาบชุด[1]ล้วนยากยิง สำหรับพวกที่กำลังรอโอกาสอย่างตระกูลหยางแล้ว นับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก
เมืองปัวโจวอย่างไรก็เป็นพื้นที่เขา กำลังตระกูลหยางอยู่ในเขาอย่างไรก็ปรับตัวได้ดีกว่าคนอื่น การรบกลางสายฝนเป็นเช่นนี้เอง ยิ่งสำคัญไปกว่าก็คือ กองกำลังหลวงค่อยๆ บีบให้เมืองปัวโจวเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตัดสินใจจะสู้ตาย อันดับแรกก็ต้องวิเคราะห์ว่ากองกำลังเมืองปัวโจวย่อมเข้าตีหน้าฝน
การต่อสู้ยามฝนตก ปืนไม่อาจยิงได้ ธนูเองยังมีอานุภาพ ท่ามกลางสายฝน ทหารทางเหนืออาจยันไม่อยู่ ลำบากใจยิ่ง
ผลการปะทะครั้งนี้ไม่น้อย กองกำลังหนุนด้านหลังเริ่มแตกพ่ายถอยร่น กองกำลังหลวงเพียงแต่ตั้งแถวเรียบร้อย ทหารหนิงเซี่ยกับส่านซีสองพันกว่าก็ได้แต่รวมตัวเป็นกลุ่ม ถึงกับไม่อาจตั้งแถวรับศึก
ปืนใหญ่กับปืนไฟล้วนไม่อาจยิงได้ ไม่มีทางยิงได้จริง ๆ พลปืนไฟไม่ก็หยิบไม้ง่ามตั้งปืน ไม่ก็คว้าดาบประจำตัวออกมาสู้
ทหารหนิงเซี่ยกับส่านซีถูกสังหารแตกกระเจิงอย่างรวดเร็ว พวกเขาถูกฝนเปียกชุ่ม ไม่สบายตัวยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงสภาพพื้นที่ดินโคลนที่กำลังปะทะกับอีกฝ่าย หลังแตกกระจัดกระจาย กองกำลังเมืองปัวโจวก็ล้อมสองหน่วยกองกำลังหลวงโจมตี
ไม่มีปืน กองกำลังหลวงยังมีวินัยทหาร ยังมีเกราะ ยังมีดาบทวน ซุนซิงเองก็อยู่แนวหน้า สวมเกราะถือทวน ตะโกนคำสั่งดัง แม้แต่เจ้าจินเลี่ยงก็ยังถือดาบสั้นนำทหารติดตามออกศึก
แม่ทัพเป็นเช่นนี้ ความมั่นใจที่รบไม่เคยแพ้ก็ยังคงอยู่ สองหน่วยกองกำลังหลวงรบยืนหยัดไม่ถอยท่ามกลางสายฝนกระหน่ำสู้กับกองกำลังเมืองปัวโจว นายทหารถือทวนขวานกับพลปืนไฟถืออาวุธสั้นบุกสังหารกองกำลังเมืองปัวโจวกลับไป
ท่ามกลางสายฝน ธนูล้วนไม่อาจยิงแม่น ทำให้กอกกำลังเมืองปัวโจวรู้สึกยุ่งยากก็คือ เครื่องป้องกันอีกฝ่ายดีเยี่ยมมาก อาวุธตนเองไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้ อาวุธอีกฝ่ายกลับไม่ใช่เช่นนั้น แทงโดนตลอด
สถานการณ์นี้ไม่อาจคงอยู่ได้นานัก ทหารจากเหนือแม้ไม่คุ้นชินกับสภาพฝนตกและดินโคลน แต่สำหรับกำลังเมืองปัวโจวแล้ว ก็เป็นการสิ้นเปลืองแรงมากเช่นกัน คิดได้ก่อนก็เป็นกำลังปัวโจวเหล่านี้ พากันแตกกระเจิง รุกนานไม่ได้สักที ตนเองบาดเจ็บล้มตายยิ่งมาก กำลังเมืองปัวโจวจิตใจเริ่มหมดสิ้นความฮึกเหิมแล้ว
ทหารเก่งกล้าจากหนิงเซี่ยกับส่านซีล้วนเป็นกำลังหลักใต้บังคับของผู้บัญชาการทหาร หลังเมืองชายแดนปรับระบบ ยังเก็บทหารชุดนี้ไว้ พวกเขาเดิมเลี้ยงดูด้วยเงิน สามารถการรบ เมื่อครู่ถูกตีพ่ายถอยร่น กลับไม่ได้สูญเสียมากนัก สองหน่วยรบกองกำลังหลวงยันไว้ได้ พวกเขาครองสตินิ่งแล้ว ก็สังหารกลับไป
สองฝ่ายประสานกำลัง กองกำลังเมืองปัวโจวต้านทานไม่อยู่ ฝนตกหลายชั่วยาม แม้กองกำลังหลวงจะเป็นทหารที่ผ่านการรบมาโชกโชนเช่นนี้ก็ล้วนรู้สึกเหนื่อยล้า นับประสาอันใดกับกองกำลังเมืองปัวโจวที่ไร้ขวัญกำลังใจ
การต่อสู้ท่ามกลางสายฝน ทำลายพลังกายได้จนน่าตกใจ คิดจะถอยก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่อำเภอเหอเจียง ก่อนฟ้ามืด ฝนก็ซาลง การต่อสู้หยุดลง กองกำลังหลวงตั้งค่ายพัก ส่งคนไปติดต่อทหารเสฉวนที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา จากนั้นก็นับศพ
จำนวนศัตรูบาดเจ็บล้มตายบริเวณดินโคลนโดยรอบเหมือนกับการต่อสู้ที่อำเภอเหอเจียง ความเสียหายใหญ่มาก เพราะศัตรูในการต่อสู้ครั้งนี้ทุ่มกำลังมาน้อยกว่าที่อำเภอเหอเจียง การเทียบอัตราส่วนนี้ทำให้รู้สึกน่าตกใจยิ่ง
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลังการต่อสู้นี้ ตระกูลหยางไม่มีกำลังสามารถออกรับศึกได้อีกแล้ว คนเมืองปัวโจวหมดสิ้นกำลังใจสิ้นเชิงแล้ว
กองกำลังหลวงครั้งนี้ตายไป 153 บาดเจ็บ 300 สำหรับกองกำลังหลวงเรียกว่าบาดเจ็บล้มตายมากแล้ว อย่างไรก็ไม่ชำนาญการต่อสู้ทางใต้เช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้ ซุนซิงโมโหมาก แต่นายกองตรวจการทัพกลับรู้งานมาก รีบกล่าวว่าทหารผู้กล้าเหล่านี้ล้วนเสียสละเพื่อความสงบของแผ่นดินตะวันตกเฉียงใต้ ท้องที่ย่อมตอบแทนอย่างมาก แน่นอนทหารเสฉวนกับหูกว่างบาดเจ็บล้มตายยิ่งมาก ไม่มีความผิดก็นับว่าไม่เลวแล้ว
การต่อสู้มาถึงตอนนี้ ใกล้ได้เวลาเก็บงานแล้ว ตระกูลหยางคิดตายไปพร้อมกันกับป้อมเมืองปัวโจว ดูว่าสามารถยืนหยัดต่อสู้จนตัวตายครั้งนี้ได้หรือไม่
ป้อมปราการแน่นหนา พื้นที่ซับซ้อน ทหารด้านในกับเสบียงก็มากพอ แต่ทว่า พอแท่นปืนใหญ่ตั้งขึ้น ทุกคนก็พากันสติแตก
…………………………………
[1] คือระบบกลไกปืนชนิดหนึ่งซึ่งใช้หลักการจุดชนวนด้วย “ชุด” ซึ่งทำมาจากเชือกชุบเชื้อไฟเพื่อให้เชือกเกิดการลุกไหม้อย่างช้า ๆ