องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1067 ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง ผู้ใดกล้าเป็นศัตรู
เส้นทางภูเขาเดินทางยาก กองกำลังหลวงขนปืนใหญ่ไปป้อมตระกูลหยาง เมืองปัวโจวใหญ่สุดก็เป็นปืนใหญ่กระสุนหกชั่ง จำนวนไม่มาก ทั้งหมดสิบกระบอกเท่านั้น
ป้อมตระกูลหยางเป็นป้อมปราการเมืองของตระกูลหยาง พื้นที่สำคัญที่สุดสุดท้ายของตระกูลหยาง พื้นที่อันตรายไม่ว่า หากแข็งแรงมั่นคงมาก แปดร้อยปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ต้องสร้างสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่ออกมาได้
เห็นฐานกำแพงหินขนาดใหญ่ของป้อมปราการแล้ว ยังมีหอยิงธนูในจุดสำคัญ และทหารที่คุมบนกำลังแพงหนาแน่น ทหารจากเสฉวนกุ้ยโจวพากันสูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจ
เห็นเช่นนี้แล้ว ทหารเสฉวนกุ้ยโจวล้วนรู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว ตลอดทางกองกำลังหลวงรบฝ่ายเดียว ทุกคนแบ่งสรรความชอบกัน สังหารปล้นชิงมีความสุขมาก แต่ตอนนี้เห็นป้อมปราการหนาเช่นนี้ มองอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตสุมเข้าไปจึงจะยึดได้ กองกำลังหลวงแน่นอนไม่ทำเรื่องเช่นนี้ อย่างนั้นก็มีแต่ชีวิตพวกตนที่ไร้ค่าแล้ว
ตอนนี้คิดหนีก็ไม่รู้หนีไปไหน กำลังการต่อสู้กองกำลังหลวง พวกเขาเห็นจนเข้าใจแล้ว หากคิดหนีจริง ถูกจับกลับมาได้ล้วนได้สบายแล้ว
แต่ทว่าซุนซิงไม่ได้ไล่มดเช่นพวกเขาไปตีเมือง เพียงให้พวกเขาไปเก็บไม้ ทำยุทโธปกรณ์ เตรียมการตีป้อม จากนั้นก็ให้เลือกทหารที่แข็งแรงล่ำสัน มาให้กองกำลังหลวงใช้งาน สถานการณ์ตอนนี้ ซุนซิงกล่าวอันใด พวกเขาล้วนต้องฟัง ได้แต่รับคำ
จากนั้นก็ไม่เป็นดังที่พวกเขาคิด ซุนซิงไม่ได้ตีเมือง หากยังคงจัดคนไปสร้างฐานยิงปืนใหญ่ในจุดที่ใกล้ป้อมปราการเมืองที่สุด งานชั่วคราวมีความต้องการไม่มากนัก งานไม้มากมายแต่คนเยอะไม่เหนื่อย ทำงานกันได้เร็ว ฐานยิงปืนใหญ่แปดแห่งสร้างขึ้นสำเร็จ
วันที่ 12 เดือนเจ็ด ปืนใหญ่เริ่มยิงถล่ม คนตระกูลหยางเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าปืนใหญ่ที่แท้ยิงได้ไกลเพียงนี้ เร็วเพียงนี้ ทหารบนกำแพงบาดเจ็บล้มตายน่าอนาถมาก ไม่มีคนกล้าโผล่เหนือกำแพงอีก แท่นยิงธนูถูกถล่มพังหมด ป้อมปราการที่ดูเหมือนไม่อาจทะลายก็ล้วนไร้แรงต้านทาน
ทิศทางที่ปืนใหญ่ยิงไปเสร็จ ก็เริ่มโจมตี ทหารเสฉวนกุ้ยโจวจึงได้ลอบถอนใจ ไม่ต้องถูกหินบนกำแพงหล่นทับ ไม่มีปืนไฟกับธนูยิงมา ก็แค่ใช้ก้อนหินถมคูเมืองให้เต็ม แม้ว่าเหนื่อยสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าไปตาย
ปืนใหญ่กวาดคนบนกำแพงเมือง พลปืนไฟก็หาที่กำลัง อย่างไรบนกำแพงก็ยังมีช่องยิงธนูอยู่ด้านหน้า ปืนใหญ่ไม่อาจยิงได้แม่นนัก และยังอาจถล่มใส่พวกเดียวกันอีก
ขุนพลทหารยังส่งทหารเสฉวนกุ้ยมาช่วยรบได้อีก พวกจากหนิงเซี่ยและส่านซีก็เป็นพลธนูฝีมือดี ทหารม้ากลุ่มพ่อค้าติดอาวุธก็ชำนาญการยิงธนู คนเหล่านี้ล้วนถูกนำออกมาใช้งาน ขึ้นหน้าให้การปกป้อง
เริ่มแรกช่องยิงธนูยังธนูยิงลอดออกมา แต่ก็ถูกปืนไฟยิงร่วงในเวลาไม่นาน ถึงกับมีธนูยิงรอดเข้าช่องยิงธนูได้ เรียกได้ว่าแม่นยำยิ่ง มีคนยิงเข้าไปได้ ก็ล้วนได้เสียงเชียร์ดังสนั่น
หินนำมาถม ไม้ถูกนำมาปูเสริม แม้คูน้ำตระกูลหยางลึกอยู่ แต่ก็ถูกถมอย่างรวดเร็ว
นี่ยังไม่เท่าไร ฐานปืนใหญ่ใหม่ยังสร้างเพิ่ม กองกำลังหลวงมีกำลังคนเพียงพอ ฐานปืนใหญ่ค่อยๆ สร้างขึ้นห้า กำลังคงไม่ขาดแคลน นอกจาทหารเสฉวนกุ้ยโจวใช้การได้แล้ว ชาวเมืองปัวโจวก็ถูกนำมาช่วยงานด้วย
ปืนใหญ่สิบกระบอกยิงถล่มป้อมได้ในที่สุด ถึงแกนกลาง ปืนใหญ่เปลี่ยนทิศทางยิงมาไม่หยุด กระสุนปืนใหญ่ยิงถล่มไปยังที่ต่างๆ ในป้อม คูเมืองด้านหน้าเริ่มถมเต็มแล้ว ทหารในป้อมเริ่มสติแตกกระเจิงหมดแล้ว
เห็นทหารด้านนอกมากมายทั่วพื้นที่ ทหารรักษาป้อมก็รู้ว่าไม่มีทางรอดแล้ว แต่ปืนใหญ่กองกำลังหลวงก็ยังยิงไม่หยุด
การโจมตีป้อมเสร็จเรียบร้อย ทหารเสฉวนกุ้ยโจวเริ่มประกาศรางวัลความชอบ รวมกำลังพรุ่งนี้ออกบุกด้านหน้า วันนี้เป็นวันที่ 16 เดือนเจ็ด กลางคืนดึกดื่น ทหารบนฐานปืนใหญ่ก็มองไปเห็นแสงเพลิงไหม้ในป้อมปราการ ในป้อมมีเสียงเอะอะโวยวาย มีคนด่าด้วยความโมโห ทว่าเสียงร้องไห้ดังดังกลบเสียงทุกอย่างไว้หมด
เช้าตรู่วันที่ 17 เดือนเจ็ด ฟ้าเพิ่งสว่าง ประตูหน้าป้อมตระกูลหยางก็เปิดออก ตระกูลหยางยอมจำนน ซุนซิงยังได้ข่าวมาว่า หัวหน้าตระกูลหยางกับบรรดาภรรยาคืนวานล้วนเผาตนเองตายไปแล้ว
การต่อสู้ต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด กองกำลังหลวงของซุนซิงสังหารและทำให้กำลังเมืองปัวโจวบาดเจ็บไปเกือบสองหมื่น ชายฉกรรจ์ที่ต่อสู้ได้ สำหรับเมืองปัวโจวเช่นนี้ ก็ใช้เกือบหมดเมืองแล้ว ป้อมตระกูลหยางล่มสลาย ชาวพื้นเมืองเมืองปัวโจวที่เหลือแม้จะโกรธแค้น แต่ไม่มีทางรวมกำลังออกมาต่อต้านได้ ได้แต่ยอมสยบโดยดี
ข่าวนี้ทำให้ขุนนางเสฉวน กุ้ยโจวกับหูกว่างรอบเมืองปัวโจวดีใจอย่างมาก ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงรีบส่งคนไปรายงานเมืองหลวง หลังการต่อสู้ที่อำเภอเหอเจียง ชัยชนะเป็นที่แน่นอนแล้ว หลี่ฮว่าหลงมีแผนจัดการต่อจากนี้แล้ว เมืองหลวงย่อมอนุมัติ
เมืองปัวโจวแบ่งเป็นสองเมือง หนึ่งชื่อว่า จุนอี้ สองชื่อว่า ผิงเยว่ ให้อยู่ในปกครองเสฉวนกับกุ้ยโจว ราชสำนักส่งขุน นางมาดูแล วาจาเช่นนี้ อีกสิบปียี่สิบปี พื้นที่นี้ก็ย่อมกลายเป็นพื้นที่แห่งโอรสสวรรค์แล้ว
ตีเมืองปัวโจวได้ กองกำลังหลวงไม่อาจจากไปได้ในทันที ศัตรูในพื้นที่พ่ายแพ้แล้วก็ต้องรักษาการณ์อีกหลายเดือน จึงกลับไปได้ นี่เป็นธรรมเนียม
แต่ทว่าหลังจากรบป้อมตระกูลหยางแพร่ออกไป ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงก็ได้รับจดหมายจากเมืองหนานจิง หลี่ฮว่าหลงมาจากตำแหน่งนายกองกรมโยธาเมืองหนานจิง กับขุนนางหกกรมกองเมืองหนานจิงล้วนสนิทกัน ก็ย่อมมีสหายสนิทหลายคน จดหมายเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขาเขียนมา
******************
ในจดหมายแสดงความยินดี จากนั้นก็กล่าวเปิดประเด็นตรงไปตรงมา ความชอบใหญ่ครั้งนี้ย่อมน่ายินดี แต่ยังมีเรื่องที่อาจขยายใหญ่ได้ยิ่งกว่า วาจากล่าวได้ถูกต้อง หลี่ฮว่าหลงบันทึกไว้เองว่า
“…มีแผ่นดินหมิงมาเพิ่งจะ 200 ปี นอกจากมหาปราชญ์แล้ว มีผู้ใดเกินพันปี…”
วาจานี้ก็หมายความว่า แผ่นดินหมิงสร้างชาติมาถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะ 200 ปี ใต้หล้าหลายเชื้อชาติ ลัทธิขงจื่อแต่ละยุคล้วนได้รับการยอมรับชื่นชมจากทุกราชสำนัก สืบต่อมาหลายพันปี นี่ไม่ต้องพูดถึง แต่พื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ ตระกูลหยางสืบทอดมา 800 ปีไม่เท่าไร ยังมีตระกูลอานกับตระกูลเซอที่สืบทอดมาเป็นพันปี
ตระกูลอานแห่งสุ่ยซี ตอนนี้สืบทอดมาเกินพันปีแล้ว พวกเขาเป็นเซวียนเว่ยสื่อของราชสำนักแต่งตั้ง พูดให้ถูกก็คือเป็นราชสำนักยอมรับให้พวกเขาได้ปกครองคนในพื้นที่
หัวหน้าเผ่าตะวันตกเฉียงใต้เหล่านี้ ไม่ต้องเสียภาษีให้ราชสำนัก ไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน พ่อค้าแผ่นดินหมิงกับสินค้าผ่านพื้นที่พวกเขา พวกเขากลับเก็บภาษีได้ แม้ว่าเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง แม้ว่ายอมสวามิภักดิ์ราชสำนัก แต่ขุนนางในพื้นที่ก็ยังให้พวกเขาปกครองกันเอง พวกเขาเองยังมีกองกำลัง ล้วนเป็นประเทศในประเทศ
ใต้หล้าเขตแดนแผ่นดินหมิงมีที่เช่นนี้ ใช่ว่าเป็นภัยใต้ปีกราชสำนักหรือ ปกครองแทนโอรสสวรรค์ ใช่ว่าเป็นความอัปยศในการปกครองท้องที่หรือ
ในจดหมายกล่าวได้คุณธรรมใหญ่มาก แต่จดหมายก็กล่าวได้กระจ่างเช่นกัน ต้องอาศัยขุนนางท้องที่ลงมือ ย่อมเป็นการหาภัยสู่ตัว ควรป้องกันไว้ก่อน ตอนนี้กองกำลังหลวงยังอยู่ เป็นเวลาเหมาะในการเคลื่อนกำลัง ต้องปราบพวกหัวหน้าเผ่าต่างๆ ให้อยู่ในอาณัติให้ได้
หากทำเรื่องเหล่านี้ได้เสร็จ ความชอบย่อมไม่ด้อยไปกว่าบุกเบิกแผ่นดิน ได้ความดีความชอบชอบ แม้ไม่อาจเข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ แต่ตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารก็คงหนีไม่พ้น
ยังได้ชื่อว่าทรงคุณธรรมใหญ่ ยังได้เลื่อนตำแหน่ง ข้อเสนอเช่นนี้เป็นที่ถูกใจขุนนางบุ๋นที่สุด หลี่ฮว่าหลงหวั่นไหวทันที ปัญหาเดียวก็คือเพื่อกำราบจลาจลตระกูลหยางเมืองปัวโจว เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวเสียกำลังเงินทองไปมาก ไม่อาจรวบรวมมาได้โดยง่าย
หัวหน้าเผ่าอื่นๆ ไม่ได้ทำอะไรผิด หากเสฉวนก่อเรื่องก่อนเอง ตอนนั้นไม่ใช่ความชอบ หากอาจเป็นความผิดใหญ่
หวังทงไม่เพียงผ่านสายสัมพันธ์นี้ส่งข่าวถึงเขา เจ้าจินเลี่ยงกับซุนซิงเองก็มี พ่อค้าเสฉวนเองก็มี
สำหรับซุนซิงกับเจ้าจินเลี่ยง ขอเพียงหวังทงเอ่ยมา พวกเขาย่อมไม่อาจไม่ทำ เพราะได้ขจัดภัยเหล่านี้ให้แผ่นดินหมิง ทำให้พวกป่าเถื่อนอยู่ในอาณัติโอรสสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่ทหารแผ่นดินหมิงควรกระทำ
จดหมายที่เขียนถึงบรรดาพ่อค้าไม่ใช่ที่คนทั่วไปจะเขียนได้ ต้องเอ่ยจากผลประโยชน์แบบผ่าให้เห็น ในยุคสมัยนี้ ไม่มีผู้ใดทำได้ดีไปกว่าหวังทง
แรกสุดหวังทงใช้การเอ่ยถึงเกลือเสฉวน เสฉวนก็เป็นแหล่งผลิตเกลือใหญ่ แต่ส่งให้สองแม่น้ำไปขายทั่วหล้า ส่านซีตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีบ่อเกลือฉือเหยียนรองรับ แต่เกลือเสฉวนยังคงทำกำไรมหาศาล กำไรนี้แบ่งเป็นสองส่วน หนึ่งไปทางตะวันออก ก็คือหูกว่างกับเสฉวน ที่แห่งนี้มีปริมาณต้องการมาก อีกที่ก็คือส่งให้ชนเผ่าอื่นรอบๆ เสฉวนและกุ้ยโจว พวกเขาล้วนไม่มีพื้นที่ที่เป็นแหล่งเกลือ พวกเขาต้องการเกลือ แต่เป็นคนละเผ่า ไม่ใช่ชาวฮั่น ดังนั้นพ่อค้าเกลือจึงขายให้ในราคาสูงอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด กำไรแน่นอนมหาศาลยิ่ง
การค้าคนนอกเผ่า ที่จริงไม่เพียงแค่เกลือ ยังมีผ้าและสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อีก ที่ล้วนทำกำไรมหาศาลเช่นนี้ ใต้หล้าล้วนรู้
แต่การค้าทางนี้ กำไรมหาศาลจริงๆ ไม่ใช่อยู่ในมือพ่อค้าเสฉวนกุ้ยโจว แต่กลับเป็นพวกหัวหน้าที่ได้แต่งตั้งเป็นเซวียนเว่ยสื่อ ปกครองชนเผ่า
พวกเขามีตำแหน่งในราชสำนัก เงินทองและอำนาจมาก สามารถเปิดร้านค้าตนเองในเมืองใหญ่ได้ ที่จริงพวกเขาได้กลายเป็นชาวฮั่นมากแล้ว เชี่ยวชาญหลักการค้าเหล่านี้มาก ต่อรองราคา อาศัยการซื้อมาจำนวนมากเพื่อให้ได้ราคาต่ำ จากนั้นก็ขนกลับมาขายยังพื้นที่พวกเขา
ชาวภูเขา แต่ละหมู่บ้าน ล้วนต้องซื้อจากพวกเขาในราคาสูงลิ่ว หัวหน้าเหล่านี้ถึงกับล้วนใช้ของจำเป็นมาบังคับพวกชาวหมู่บ้านต่างๆ ให้อยู่ใต้อาณัติ
วนเวียนกำไรมหาศาลที่แท้จริงอยู่ที่ก้อนนี้ แต่เส้นทางนี้กลับถูกหัวหน้าเผ่าควบคุมไว้ พ่อค้าใหญ่สุดในเสฉวนเหล่านี้ ยากจะเอื้อมมือเข้าแตะต้อง เห็นกำไรตรงหน้าแต่ไม่อาจแตะต้องได้ ทำให้หลายคนไม่อาจยอมรับได้ เมื่อก่อนพ่อค้าใหญ่พวกนี้รู้ราชสำนักไม่อาจจัดการได้ ทางเลือกพวกเขาไม่มาก ได้แต่สมาพันธ์กับหัวหน้าเผ่าเหล่านี้ไป ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีกองกำลังหลวงมาแล้ว กองกำลังหลวงต่อสู้กับตระกูลหยางแสดงให้แห่งกำลังการต่อสู้ ทำให้พวกเขายอมรับ มีกองกำลังนี้ กวาดล้างเผ่าใดล้วนไม่ใช่ปัญหา
ในเมื่อหลี่ฮว่าหลงหวั่นไหวแล้ว ซุนซิงกับเจ้าจินเลี่ยงเองก็ไม่มีปัญหา พ่อค้าใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พ่อค้าใหญ่เหล่านี้เดิมก็มีสายสัมพันธ์มากมายโยงใยกันราชสำนัก สำหรับกิจการอ๋องสู่(เสฉวน) และอ๋องเซียง (กุ้ยโจว) ก็ไม่ต้องพูดถึง คนเหล่านี้สมคบคิดกันขึ้นมา ส่งผลกระทบไม่น้อยเลยจริงๆ
สำหรับที่ว่าจะลงมือให้ยังคงคุณธรรมใหญ่ได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง วงการขุนนางมีวิธีรับมือไว้แล้ว เริ่มแรกก็ให้คนใหญ่คนโตในพื้นที่เสฉวนกุ้ยโจวไปร้องเรียนทางการ ว่ากิจการตนถูกปล้นชิงโดย ‘พวกผิดกฎหมาย’ มีคนถูกสังหารโดย ‘พวกผิดกฎหมาย’ จากนั้นให้ขุนนางท้องที่นั้นยื่นฎีกาเมืองหลวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้ราชสำนักจัดการ จากนั้นหลี่ฮว่าหลงก็ยื่นฎีกาเสนอแนวทางปราบปราม
หลังเหตุการณ์ตระกูลหยาง พูดถึงตระกูลอานกับตระกูลเซอในพื้นที่ ยังกล่าวว่าจลาจลเมืองปัวโจว สองตระกูลนี้ก็แอบสมคบคิดด้วย ถึงกับไม่ยอมส่งทหารตนเองเข้าร่วมศึกนี้ ตระกูลหยางคิดการใหญ่ก่อกบฏ ตระกูลอานกับตระกูลเซอไม่เป็นไปด้วยหรือ ไม่อาจไม่สอบ สองตระกูลนี้ก็ใช่ย่อย ไม่รู้จักสำนักผิด กลับเหิมเกริมยิ่ง ตอนนี้กองกำลังหลวงอยู่ในพื้นที่เสฉวน ไม่สู้ปราบทิ้งไปให้หมด
ก่อนหน้านี้มีคนแสดงท่าทีเป็นห่วงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ว่าพื้นที่เมืองปัวโจวซับซ้อน ไม่เหมือนทุ่งหญ้ากับนอกด่าน กองกำลังหลวงเกิดเสียทีมา ไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาท นี่นับเป็นคำเตือนที่ภักดี ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินแล้วก็ทรงเป็นห่วงอยู่หลายส่วน
ในวังถึงกับเตรียมการณ์ไว้ก่อน หากซุนซิงทางนั้นมีเหตุขึ้น ก็จะรีบส่งกำลังลี่เทากับถานปิงไปช่วย แต่ผลปรากฏกลับทำให้ทุกคนล้วนโล่งอก และยิ่งมั่นใจมากขึ้น
สำหรับเรื่องข้อเสนอว่าอย่างไรจึงจะได้รับชัยชนะ ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนไม่ปฏิเสธ หวังทงเองก็ยื่นฎีกาแสดงชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ทรงยินยอมให้อาณาเขตแผ่นดินหมิงพระองค์มีผู้ใดดำรงตนเองเป็นดังผู้ปกครอง
เมื่อก่อนขุนนางมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ใด แต่ไรล้วนไม่ปิดบัง แต่ครั้งนี้ กลับเป็นความลับยิ่ง กองกำลังหลวงจากเมืองปัวโจว ไปยังพื้นที่ตระกูลเซอ ข่าวจึงค่อยปล่อยออกมา
ตระกูลอานที่สุ่ยซีสืบทอดมาเป็นพันปี เกือบจะเป็นเจ้าผู้ครองเผ่าต่างๆ ในเสฉวนกุ้ยโจวแล้ว แน่นอนไม่ยอมให้สถานะตนต้องสั่นคลอน กองกำลังหลวงคิดลงมือกับตระกูลเซอ ตระกูลอานย่อมต้องให้การสนับสนุนตระกูลเซออย่างมาก
แต่การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว กองกำลังหลวงที่เริ่มคุ้นชินกับอากาศชื้นและป่าเขาในพื้นที่แล้ว ทหารแม้วเหล่านี้ไม่อาจได้เปรียบอีกแล้ว
ที่เรียกว่าธนูอาบยาพิษ ไม่มีผลใดต่อกองกำลังหลวงที่สวมเครื่องป้องกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระยะยิงธนูไม่อาจสู้มือธนูเมืองชายแดน ไม่ต้องพูดถึงปืนไฟอันใดแล้ว ทหารท้องถิ่นแม้เก่งกล้าแต่ต่อหน้ากองกำลังหลวงก็เป็นแค่เรื่องน่าขันเท่านั้น
ตระกูลอานกับตระกูลเซอในเมื่อเป็นตระกูลใหญ่ ศูนย์กลางพวกเขาไม่เป็นพื้นที่ราบใหญ่ก็เป็นที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่เช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่มีกำลังเสบียงและคนเพียงพอมาสนับสนุนการปกครองของพวกเขา พื้นที่เช่นนี้ ทัพใหญ่บุกเข้าไปได้ง่ายดายมาก ไม่กระทบต่อการขนย้ายปืนใหญ่
ติดตามกองกำลังหลวงรบมาหลายเดือน ทหารเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวเริ่มฮึกเหิมไม่น้อย อย่างไรกองกำลังหลวงก็ไม่แพ้ ติดตามไปเก็บผลประโยชน์ด้วยนับว่าเป็นเรื่องดี เช่นนี้อย่างไรก็ย่อมเริ่มต่อสู้เป็น การได้กำลังเสริมเช่นนี้ ได้เปรียบตระกูลเซอและตระกูลอานยิ่งมาก
ต่อหน้าความได้เปรียบสิ้นเชิงนี้ หลายคนก็แม้ว่าไม่อยากยอมรับ ก็รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ที่เรียกได้ว่าการต่อสู้แท้จริงมีเพียงครั้งเดียว ทหารตระกูลเซอหมื่นกว่าอยู่ๆ ออกมาแปดพันดักโจมตี ถูกทหารกองกำลังหลวงล้อมตีพ่ายกลับไป จากนั้นก็ไม่มีการต่อสู้ใดเกิดขึ้นอีกเลย
ตระกูลเซอถูกทำลายล้าง ตระกูลอานขอยอมจำนน ต้นเดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 หัวเหน้าเผ่าตำแหน่งเซวียนเว่ยสื่อต่างๆ ในพื้นที่เสฉวนกุ้ยโจวล้วนรู้ว่าควรทำตัวเช่นไรแล้ว