องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1068 ปีที่ 19 สุขสงบ
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวพื้นที่สามมณฑลซับซ้อนนี้เกิดเรื่องราวมากมาย มีศึกใหญ่ มีปะทะย่อย มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนต่างๆ มากมาย
หลายคนครองพื้นที่อำเภอ ไม่ก็เมืองเป็นพื้นที่ตนเอง หัวหน้าเผ่าต่างๆ ไม่ยอมให้ราชสำนักแผ่นดินหมิงเข้าควบคุม ต้องการเพียงให้ตนมีตำแหน่งขุนนางปกครองร่ำรวย
ความจริงนั้นกองกำลังหลวงไล่ปราบปรามหัวหน้าเผ่าหลายคนเพียงแค่ในพื้นที่เสฉวน ไกลสุดก็แค่รอยต่อหูกว่างกับเสฉวนเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาที่ตั้ง พวกที่สามารถรวมกำลังคนมาได้ใหญ่สองสามคนเท่านั้นที่ถูกตีพ่ายกระจัดกระจาย จากนั้นก็ไม่เกิดการก่อการอีก
หัวหน้าเผ่าแต่ละแห่งก็มีความคิดเองเออเองว่า ทัพใหญ่รับมือกลุ่มใหญ่แล้ว พวกเราก็ทำตัวเป็นผู้ครองแผ่นดินแถบนี้เงียบๆ คิดว่าทางการคงไม่ใช้กำลังปราบอย่างไร้เหตุผล พวกเขาเองก็คงขี้เกียจจะสนใจทางนี้
ทางการไม่ได้คิดถึงกุ้งหอยปูปลาเล็กๆ เหล่านี้จริง แต่ชาวฮั่นผู้เป็นใหญ่ในพื้นที่กลับไม่ยอมให้พวกเขาได้ดำรงอยู่ต่อไป ชนเผ่าในเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวสามมณฑลเดิมก็น้อยอยู่แล้ว แม้แต่ละเผ่าแต่ละหมู่บ้านก็มีคนอาศัยเบาบาง แต่ได้มากได้น้อยก็เอา ทุกคนผู้ใดก็ไม่รังเกียจว่ามาก แต่ละแห่งปราบชาวบ้านก่อความวุ่นวายกันไปทั่ว ทหารทางการไปถึง ชาวบ้าน ‘ทรงคุณธรรม’ ก็ตามมากัน
สามมณฑลนี้ในช่วงระยะนี้นับว่าไม่อาจสงบสุขได้ แต่ทว่าในมุมมองระดับแผ่นดินแล้ว ไม่มีผู้ใดคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อันใด ราชสำนักรายงานก็แค่เอ่ยถึงง่ายๆ แล้วก็ปล่อยผ่านไป ชาวเสฉวนปราบความวุ่นวาย
ไม่ได้อยู่ตะวันตกเฉียงใต้มาก่อน ขุนนางบุ๋นก็ย่อมไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดนัก ก็แค่ปราบปรามหมู่บ้านสองสามแห่งในอาณาเขตแผ่นดินหมิงเท่านั้น ปราบโจรก็เท่านั้น จะไปอะไรกันนักหนา พวกเขามีท่าทีต่อเรื่องครั้งนี้ไม่อาจเรียกว่าดูแคลน แต่เรียกว่ามองข้ามไปเลยดีกว่า
แต่ชาวเสฉวน หูกว่างกับกุ้ยโจวและขุนนางท้องที่ที่เป็นขุนนางบุ๋นมาหลายปีล้วนรู้ว่าหมายความว่าอันใด บันทึกหลายคนกับรายงานหัวหน้าเผ่านั้น ล้วนแสดงข้อความอันแสนสะเทือนใจ
“…แต่นั้นมา แผ่นดินหมิงตะวันตกเฉียงใต้ก็สงบสุข…” “…หัวหน้าเผ่าต่างๆ…ตื่นจากฝัน…ตะวันตกเฉียงใต้ประสบภัยหายนะใหญ่แน่นอน…รู้สึกแต่ไม่อาจกล่าว…วันนี้ไร้กังวล เมามายสามวัน…”
อิทธิพลอำนาจตระกูลหยาง ตระกูลเซอ ตระกูลอานในแถบนี้เช่นนี้ ตอนราชสำนักกำลังแข็งแกร่งยังดี แต่ตอนทางการนับวันกำลังยิ่งอ่อนแอ กำลังที่ใช้ได้ก็นับวันยิ่งน้อย หัวหน้าเผ่าพวกนี้ย่อมมีความคิดก่อการ ไม่จำเป็นต้องให้คนฉลาดมองก็ย่อมคาดเดาวิเคราะห์ได้ วันหน้าย่อมเกิดเหตุกบฏ แต่ละคนล้วนเป็นห่วง มีคนถึงกับย้ายครอบครัวอพยพหนีลงใต้
การปรากฏตัวขึ้นของกองกำลังหลวงทำให้พวกเขาได้รู้ว่าอำนาจราชสำนักยังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรดังเดิม กวาดล้างพวกเซวียนเว่ยสื่อผู้ปกครองชนเผ่าที่ราชสำนักแต่งตั้งเป็นขุนนางปกครองที่นี่แล้ว ตะวันตกเฉียงใต้ก็สงบสุข
หัวหน้าเผ่าที่เมื่อก่อนเคยสวามิภักดิ์ภักดีแผ่นดินหมิงได้รับการปฏิบัติที่ดี เช่นตระกูลหม่าในอำเภอสือจู้ เป็นต้น
ผู้ตรวจการเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวสามมณฑลสถานะไม่ธรรมดา ปราบจลาจลวุ่นวายในตะวันตกเฉียงใต้แล้ว หลี่ฮว่าหลงย่อมต้องคืนตำแหน่งและรอรับคำสั่งแต่งตั้งต่อ
แต่ทว่าการปราบตะวันตกเฉียงใต้ครั้งนี้มีความดีความชอบใหญ่หลวง ต้องรู้ว่าหลี่ฮว่าหลงเป็นคนยื่นฎีกาขอกองกำลังหลวงเข้าสู่เสฉวนปราบกบฏ จากนั้นหลังกองกำลังหลวงมาเสฉวน เขาก็ไม่ได้ทำเหมือนขุนนางบุ๋นอื่นในแผ่นดินหมิง ที่ทำทีเย็นชาและคอยขัดขา หากให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างที่สุด ผลปรากฏจึงได้ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ เขาเองก็มีความดีความชอบที่ทุกคนล้วนยอมรับ
แม้ใกล้มอบคืนตำแหน่ง แต่ทางเมืองหลวงก็ยังมีคนสนิทส่งจดหมายมาว่าหลี่ฮว่าหลงครั้งนี้ต้องได้เป็นเสนาบดีกรมทหารแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้ การได้เข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่ใช่ว่าไม่อาจเป็นไปไม่ได้
จากผู้ว่าการเหลียวตง ไปเป็นนายกองโยธาเมืองหนานจิง ผู้ตรวจการทหารเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวสามมณฑล จากนั้นเข้าสู่เสนาบดีกรมทหาร เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ นี่เป็นเส้นทางการก้าวหน้าของขุนนางอันเป็นมาตรฐาน
****************
การศึกนี้สำหรับกองกำลังหลวงแล้ว แม้ว่ามีความเสียหายหนักหลายครั้ง แต่การฝึกฝนเป็นโอกาสที่หาได้ยาก เพราะเมื่อก่อนล้วนใช้ปืนในการต่อสู้ได้ผลดีที่สุด ครั้งนี้ที่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวอากาศชื้นฝนชุก หลายครั้งปืนยิงไม่ออก
ทหารกองกำลังหลวงส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมต้องใช้มีดดาบอาวุธปะทะกันกลางสนามรบ เทียบกับการยิงระยะไกลแล้ว เรียกว่าเป็นการใช้อาวุธเข้าปะทะเลือดเนื้อโดยตรง ยิ่งทำให้ทหารแข็งแกร่งขึ้น
สำหรับการรบในภูเขาแล้ว ก็ได้สะสมประสบการณ์ที่หาได้ยาก ซุนซิงกับขุนพลทหารเบื้องหน้าร่วมกันสรุปจุดได้เปรียบเสียเปรียบ ทำเป็นหนังสือรายงานไปยังเมืองหลวงกับเมืองซงเจียง กองกำลังหลวงแต่ละแห่งล้วนต้องเรียนรู้
ตั้งแต่กองกำลังหลวงแต่ละกองไปประจำเมืองชายแดน ทหารส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปใช้ชาวนา แต่ก็มีทหารเก่งกล้ามาตรฐานอยู่บ้าง ด้วยกำลังเลี้ยงดูของกองกำลังหลวง พวกเขาแน่นอนไม่เป็นปัญหา แต่ที่ยุ่งยากก็คือ เมื่อใดจะทำให้คนเหล่านี้ได้กลายเป็นกองกำลังวังหลวงแท้จริง แต่ละที่ล้วนมีวิธีของตนเอง ลี่เทาเป็นพวกลงมือโหด ไม่ยอมคล้อยตามไม่ขับไล่ก็ทำลายทิ้ง ซุนซิงครั้งนี้กลับไม่ได้ใช้วิธีการอันใด
ผลประโยชน์พ่อค้าใหญ่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวแน่นอนไม่ต้องกล่าวถึง ตามวาจาทันสมัยเมืองซงเจียง เรียกว่า ‘ขยายตลาด’ ได้เส้นทางการค้าที่เดิมอยู่ในกำมือของหัวหน้าเผ่า ตอนนี้ตนเองได้ไปที่นั่นเปิดร้านสาขา ทำการค้าขายแบ่งสรรกำไร เป็นเรื่องที่นำมาซึ่งผลประโยชน์มากมาย
เครือข่ายสามธารานำสิ่งใดมาให้พวกเขาบ้าง พวกเขาล้วนมองเห็น สำหรับการมีอยู่ของเครือข่ายสามธาราที่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจว พวกเขาเองก็ย่อมให้การสนับสนุนอย่างมาก
สำหรับพ่อค้าใหญ่ตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ประเด็นสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นวิธีการทำงานของเครือข่ายสามธาราทำให้รู้ได้เรื่องหนึ่ง เดิมสำหรับพวกเขาแล้ว ทำการค้าก็แค่หาสายสัมพันธ์ เทียบราคา เจรจา แต่ไรไม่เคยคิดว่ายังมีวิธีการเช่นเครือข่ายสามธาราเช่นนี้
วิธีการดังกล่าวก็ไม่ใช่วิธีการใหม่ของเครือข่ายสามธาราอันใด แต่คือหากเจ้าไม่ซื้อของข้า ข้าก็จะกำราบเจ้า บีบให้เจ้าซื้อ พื้นที่นี่ไม่ใช่ตลาดของข้า พอข้าครองได้ ก็ย่อมเป็นตลาดของข้า เสฉวนไปทางตะวันตกก็มีเผ่ามองโกลทิเบตมากมายทำการค้าไปมา ใช่ว่าไม่อาจใช้วิธีการเดียวกันหรือ?
เครือข่ายสามธารามีกองกำลังส่วนตัว พวกเรามีเงิน คนก็ไม่ขาด ทำไมไม่อาจทำตามอย่างได้เล่า พวกหัวหน้าเผ่ามองโกลทิเบตพวกนั้นมีเงินทองม้าวัวไม่น้อย…
*****************
ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่สวี๋กั๋วขอลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ราชบัณฑิตผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว ได้เวลาอำลาตำแหน่งแล้ว
ตามระเบียบแผ่นดินหมิง ฮ่องเต้ว่านลี่จะมีพระราชทานบำเหน็จ จากนั้นก็อนุญาต คนที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนนั้น เป็นผู้ใด เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างให้ความสนใจมากที่สุด แต่ทว่าตอนนี้เหมือนว่าไม่มีผู้ใดเข้าตามากกว่าหลี่ฮว่าหลง ที่เป็นม้านอกสายตาได้ครองความโชคดีไป
ศูนย์กลางขุนนางแผ่นดินหมิงก็คือมหาอำมาตย์เซินสือหังในคณะเสนาบดีใหญ่ ล้วนกล่าวว่าเซินสือหังสงบนิ่งอย่างมาก ตอนดำรงตำแหน่งไม่เคยหาเรื่องเดือดร้อน นอบน้อมอย่างมาก พอถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 ในวังปล่อยข่าวมาว่า เซินสือหังดำรงตำแหน่งนานไปแล้ว อายุมากแล้ว ควรกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้แล้ว
ความหมายของกระแสข่าวนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดียิ่ง เจ้านั่งอยู่ตำแหน่งนี้นานไปแล้ว หากรู้ความก็รีบลงจากตำแหน่งไปได้แล้ว…
แต่ทว่าคนไม่ว่านิ่งอย่างไร ไม่ว่าสงบอย่างไร ดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่มาสิบปี เป็นหัวหน้าขุนนางบุ๋นใต้หล้า และเทียบกับคนก่อนหน้า เข้าเป็นมหาอำมาตย์ที่มีอิสระยิ่ง ตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง เรื่องต่างๆ ใต้หล้าล้วนเป็นมหาอำมาตย์ดูแล ความชอบตกเป็นของเขา ความผิดก็ย่อมเป็นของเขา
การรบหลายครั้งของกองกำลังหลวงนำชัยชนะและการเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินหมิงได้เงินทองมา มหาอำมาตย์เซินสือหังอย่างไรก็ต้องได้แบ่งสรรปันส่วนเงินทองอยู่บ้าง ชัยชนะและการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนก่อน ไม่ใช่ผลประโยชน์จำกัดในกลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้น แต่กลับเป็นความยินดีของทุกคน ผู้ใดก็ไม่อยากล่วงเกินหาเรื่องสถานการณ์ตอนนี้
สถานะเป็นอยู่ช่างสุขสบาย ชายชาตรีไม่อาจไร้อำนาจแม้เพียงวัน เซินสือหังไม่อาจทิ้งตำแหน่งได้จริงๆ ดังนั้นท่าทีของเขาต่อในวังจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่กุมอำนาจ ขอเพียงเขาดำรงตำแหน่งไม่ขัดอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใช่ว่าจะเร่งขับไล่เขาลงจากตำแหน่ง
แต่สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่คิดหรือไม่คิดลงจากตำแหน่งแล้ว หากเซินสือหังเจ้าไม่หลีกทาง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยที่ต่อหลังเจ้าจะยอมไม่รับหรือ?
เดือนแปด เสฉวนยังสู้กันไม่จบ เมืองหลวงเองก็ไม่สงบ ยังคงธรรมเนียมเดิมแห่งการแย่งชิงทางการเมือง ขุนนางยื่นฎีกา เซินสือหังอย่างไรก็เป็นมหาอำมาตย์มานาน จะระวังตัวรอบคอบอย่างไร อย่างไรก็เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบใต้หล้า ความผิดอย่างไรก็ต้องหาพบได้
เริ่มแรกขุนนางบุ๋นนั่นถูกส่งคนไปตรวจสอบก่อน จากนั้นส่งเรื่องกลับมาเมืองหลวงถูกลงโทษไป ทุกคนกำลังจะหดมือกลับ ขุนนางที่ถูกลดตำแหน่งกลับถูกลดจริง แต่ลดไปเป็นผู้ว่าไท่หยวน ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนหลายปีก่อน สูงส่งในเมืองหลวงไม่ได้อันใดนัก ออกไปปฏิบัติงานนอกเมืองหลวงกลับได้ประโยชน์มากกว่า
ตอนนี้อาศัยแค่ด่าทอสร้างชื่อนั้นยากเลื่อนตำแหน่ง ตอนนี้ฝ่าบาทดูแคลนที่สุดก็คือคนเช่นนี้ แต่หากเจ้ามีความชอบใด ปฏิบัติงานใดเข้าตา ก็ย่อมเป็นที่จดจำในพระทัยฮ่องเต้ มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งอยู่มาก
ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น หวังซีเจวี๋ยทำไมได้กลายเป็นตัวเลือกอันดับแรกของตำแหน่งมหาอำมาตย์ หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นออกหน้ามารับหน้าที่ขอไปเป็นผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพทัพใหญ่ปราบตะวันออกด้วยตนเอง จึงได้รับความไว้พระทัยจากฮ่องเต้ว่านลี่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหลี่ฮว่าหลง เดิมไม่ใช่คนสายในลำดับ แต่ตอนนี้ได้เป็นตัวเลือกสำคัญในการเข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่แล้ว
การไปตำแหน่งนี้ของขุนนางนี้พริบตาก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีราชสำนักต่อเซินสือหัง ยังมีคนไปสืบมาได้ว่า ขุนนางนั่นเป็นศิษย์ของหวังซีเจวี๋ย
ตามหลัก การแก่งแย่งในราชสำนักทุกคนล้วนต้องปิดๆ บังๆ ให้คนนอกรู้ย่อมได้ผลที่ไม่อาจคาดเดา สุดท้ายอาจทำให้ต้องผิดใจกันไป แต่ครั้งนี้ทุกคนรู้กันเร็วเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าได้ที่ปะทุแล้ว
อยู่ๆ ก็มาถึงช่วงเวลาดุเดือดแล้ว ทุกคนไม่รู้จะทำอะไรในเหตุที่กะทันหันเกินไปเช่นนี้ แต่ก็เข้าใจได้ในทันที นี่เป็นเวลาแห่งการเลือกข้างแล้ว
เซินสือหังเงียบ แต่เงียบอย่างไรก็เป็นมหาอำมาตย์มาสิบปี ลูกศิษย์เขาดำรงตำแหน่งต่างๆ ก็ไม่น้อย ใต้หล้านี้มีคนมากมาย ขุนนางมากมายก็ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าคนเดียวที่ครองได้ หากเป็นเวลาของพวกที่ไม่มีหวังในตำแหน่ง พากันออกมาเคลื่อนไหวยื่นฎีกา เริ่มโจมตี
พริบตาเรื่องใหญ่น้อยเซินสือหังก็ล้วนถูกเปิดโปงออกมาหมด ตั้งแต่เรื่องแจกเสบียงช่วยภัยน้ำท่วมไม่ดี ไปจึงเลี้ยงนางดีดพิณไว้ในจวน หลงใหลนารีเหล่านี้เป็นต้น
พากันออกมากล่าวหา แต่ทุกคนสนใจนั้นยังคงเป็นท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการ ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดชัด แต่ส่วนตัวมีข่าวเล็ดรอดออกมาว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งขันทีในวังไปพบเซินสือหัง ว่ามีเรื่องพวกนี้จริงไหม หากมีก็แก้ไข ไม่มีก็แล้วไป
ความจริงนั้นส่งคนไปจริงหรือไม่ แต่ข่าวนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การโจมตีเซินสือหังรุนแรงมาก เรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ลูกศิษย์เซินสือหัง สายขุนนางของเซินสือหังก็เริ่มมีคนยืนออกมาชี้ตัว ‘เปิดโปง’ แล้ว
เซินสือหังยังคงเอาอยู่ ดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ก็ไม่ได้ทำผิดใหญ่อันใด แต่ก็ไม่อาจไร้ความผิดใดๆ คิดหาความผิดหรือข้อบกพร่องมาโจมตีก็ง่ายมาก หากถูกคนขุดรากลงลึกจริง ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก เซินสือหังอยู่ในวงการขุนนางมาหลายสิบปี หลักการยังพอเข้าใจอยู่
วันที่ 16 เดือนเก้าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 เซินสือหังอยู่ ๆ ล้มป่วย รักษาตัวหลายวันก็ทอดถอนใจกับบรรดาญาติและมิตรสหาย อายุมากแล้ว กำลังไม่ไหวแล้ว ไม่อาจรับใช้ราชสำนักแล้ว เกรงว่าทำให้แผ่นดินเสียการงาน วันที่ 23 เดือนเก้า เซินสือหังยื่นฎีกาขอลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด
เรื่องจากนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ เซินสือหังยื่นฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่รั้งไว้ ดึงกันไปถึงเดือนสิบ เซินสือหังจึงได้รับพระราชานุญาตให้กลับบ้านเกิดได้ ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานบำเหน็จให้เซินสือหังเรียกได้ว่า ดีกว่ามหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ที่เคยมีมา นับว่าเป็นพระเมตตา
จากนั้นก็ไปตามระเบียบ หวังซีเจวี๋ยมีความดีความชอบและความสามารถเหนือผู้ใด บรรดาขุนนางพากันเห็นชอบเสนอขึ้นมา ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนย่อมเห็นชอบตามนั้น
*****************
หวังทงรู้สึกว่าอายุยิ่งมาก โลกนี้ก็ยิ่งกว้างใหญ่ เพราะได้รู้ข่าวนับวันยิ่งมาก ข่าวต่างประเทศก็มี
เช่นว่าเดือนหกปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 พม่ารุกรานยูนนาน หย่งชางและเถิงชงถูกตีพ่าย คิดไม่ถึงพม่าประเทศเล็กๆ ถึงกับกล้าบุกรุกมาเช่นนี้ได้ แต่ทว่าจากความเข้าใจ หวังทงกลับต้องตกใจ รู้สึกว่าพม่าตอนนี้เป็นใหญ่ใต้พื้นที่ยูนนาน ประเทศสยามมักถูกพม่ารุกราน มีเรื่องปะทะกับแผ่นดินหมิงหลายครั้ง ล้วนถูกตีโต้กลับไป
เรื่องนี้สำหรับหวังทงเป็นแค่เรื่องแทรกรับรู้เท่านั้น ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์แล้ว ท้องซ่งฉานฉานนับวันยิ่งใหญ่ขึ้น ทำให้หวังทงต้องคอยเป็นห่วง นอกจากนี้ น้ำตาลอ้อยงวดแรกจากลูซอนก็มาถึงเมืองซงเจียง นอกจากเรื่องพวกนี้ ก็ยังมีสินค้าต่างๆ มาจากทะเลใต้ เครื่องเทศ อัญมณี ของฟุ่มเฟือยต่างๆ ถึงกับยังมีสตรีคัดมาจากทะเลใต้ ล้วนมาขายยังเมืองซงเจียง
สินค้ามากมายมายังเมืองซงเจียง ล้วนทำกำไรให้บรรดาพ่อค้ามหาศาล แค่ต้นปีก็เริ่มคุยกันถึงส่วนแบ่งกำไรแล้ว อย่างไรก็ต้องมาดูสินค้ากันสักหน่อย ได้พบปะกันเสียหน่อย
แผ่นดินหมิงสงบสุขทั่วหล้า…