องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1072 เหลียวกั๋วกงนั่งสนทนา
ตอนนี้หลานเส้นทางรอบนอกจวนเหลียวกั๋วกงล้วนเจริญ คหบดีร่ำรวยแดนใต้ต่างมากันที่นี่ ล้วนมาเยี่ยมเยือนโดยเฉพาะ นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์
ที่พักคหบดีแดนใต้ไม่ค่อยได้เห็นถนนสายกว้างเช่นนี้นัก ถนนเป็นระเบียบเรียบร้อย เทียบกับซอยเล็กที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลายแล้ว สีถนนเส้นนี้เรียกได้ว่าเป็นสีใกล้เคียงกัน ถนนล้วนปูลาดด้วยก้อนหิน ไม่มีการแกะสลักและลวดลายใด แต่เช่นนี้ทำให้ดูยิ่งใหญ่เคร่งขรึมไม่น้อย เป็นความงามอีกแบบหนึ่ง
สองข้างทางไม่มีการตกแต่งหน้าประตู มีแต่ประตูใหญ่ดำสนิท ประตูใหญ่ด้านบนล้วนแขวนป้าย เขียนเลขที่ เขียนชื่อร้าน หน้าประตูยังมีคนงานกับผู้คุ้มกันยืนเฝ้าเข้มงวด สองข้างมีที่จอดรถม้ากับที่ผูกม้าเฉพาะ
ร้านค้าเหล่านี้หากอยู่ที่อื่น ล้วนเป็นร้านใหญ่มีชื่อ ป้ายชื่อก็ต้องเขียนให้ตัวใหญ่ให้คนเห็นแล้วน่าเกรงขาม แต่คนงานที่นี่สีหน้าล้วนไร้รอยยิ้ม มีความนิ่งเงียบหลายส่วน หากมีแขกมาถึง พวกเขาจึงจะต้อนรับอย่างไม่เย่อหยิ่งไปและไม่ถ่อมตัวไป
เดินบนถนนสายนี้ คนที่เหิมเกริมอย่างไรก็ล้วนต้องรู้สึกกดดัน เดินถนนสายนี้ล้วนย่อมเปลี่ยนเป็นย่องเบาๆ กลัวว่าจะทำให้คนข้างๆ ตกใจ แสดงถึงตนไร้ธรรมเนียม
มีคนจากเมืองหลวงเป็นขุนนางมาก่อน เห็นอะไรมามาก แอบคุยกันในงานเลี้ยงว่าถนนเหล่านี้มีบรรยากาศเหมือนกับประตูเมืองหลวงแผ่นดินหมิง คนนั้นยังบอกว่าไม่เกินเลย คิดแล้วร้านค้าบนถนนหลายสายพวกนี้ทุกปีย่อมทำกำไรไม่น้อย เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ มีบรรยากาศเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปนัก
ความจริงนั้นตอนเริ่มแรกไม่ใช่เช่นนี้ แต่หวังทงเคยเห็นภาพการค้าในยุคนั้นมาก่อน ประตูร้านเครือข่ายสามธาราจึงให้ตกแต่งเช่นนี้ คนนอกที่มาทำการค้าบนถนนหลายสายพวกนี้ได้ย่อมเป็นบุคคลระดับแนวหน้าสุดในแผ่นดินหมิง เห็นบรรยากาศนี้แล้วก็ย่อมเลียนแบบสักหน่อย
นอกถนนสายหลักเหล่านี้จึงจะพอมีร้านสุราร้านอาหารหลากหลาย ถึงกับมีหอคณิกาชั้นสูง ล้วนไว้คุยการค้าสร้างไม่ตรีกัน ทุกคนมักอยู่ในที่เหล่านี้เพื่อเจรจาการค้า
หวังทงมักจะไปนั่งสบายๆ ที่ร้านน้ำชา ร้านน้ำชานี้เครือข่ายสามธาราแทบจะสร้างเพื่อหวังทง มีสวนดอกไม้ขนาดกำลังดีอยู่ด้านหน้า ภาพงดงามไม่เลว หวังทงส่วนใหญ่นั่งอยู่ห้องเดี่ยวจิบชาชมทิวทัศน์
ร้านน้ำชานี้ตั้งในเขตพื้นที่ที่ระดับหรูหราที่สุด ส่วนใหญ่มีแต่พ่อค้าส่งคนระดับเบอร์หนึ่งเบอร์สองมา จึงจะสามารถมาจิบชาสนทนาที่นี่ได้ ทุกคนล้วนคุยกันเบาๆ บอกอีกสักคำว่า ร้านน้ำชานี้ต้องมีบัตรสมาชิก จ่ายเงินเข้าไม่ได้ ต้องมีป้ายจึงได้ ป้ายนี้ดูแลโดยธนาคารสามธาราสาขาหลัก องครักษ์เสื้อแพรรับหน้าที่ตรวจสอบ มีป้ายนี้ ก็แสดงถึงสถานะในเมืองซงเจียง
ปลายเดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 หวังทงเกือบทุกวันต้องใช้เวลาสองชั่วยามที่นี่ พบปะกับบรรดาแขก คุยสนทนากันอยู่นาน
แขกที่เชิญเหล่านี้กลับไม่ใช่พวกเชี่ยวชาญทางการค้าหรือว่าขุนนาง ล้วนเป็นพวกพ่อค้าทะเลที่เข้าเทียบท่าเมืองท่าซงเจียง โดยเฉพาะที่เคยไปประเทศวัวกับเกาหลีมามากที่สุด พ่อค้าทะเลเหล่านี้ถูกหวังทงเชิญมาสอบถาม สำหรับพวกเขาแล้ว ล้วนมีเกียรติอย่างมาก
เนื้อหาที่ถามง่ายมาก ก็คือสภาพเกาหลีกับญี่ปุ่น คนและภูมิประเทศ ไปจนถึงการเมืองการปกครอง ไม่มีอันใดไม่ถาม ขอเพียงเกี่ยวข้อง หวังทงล้วนต้องการรู้
แต่เจ้าทะเลและพ่อค้าทะเลก็แค่ไปทำการค้าเท่านั้น ที่พวกเขาเข้าใจก็แค่เรื่องเมืองท่า ที่ทำให้หวังทงคาดไม่ถึงก็คือ เรือไม่น้อยล้วนมีลูกเรือเกาหลีและชาวประเทศวัวทำงาน ทำให้ยิ่งสะดวก ถามคนพื้นที่ตรงกว่า
แต่ทว่าลูกเรือเหล่านี้ รู้อะไรไม่มาก รอนแรมออกทะเลทำงานใช้แรงงาน เดิมก็เป็นคนระดับล่างในสังคมจะไม่รู้มากได้อย่างไร
“…เกาหลีทางนั้นยากจนมาก ที่เพาะปลูกได้ล้วนอยู่ในมือตระกูลลีกับตระกูลคิม เรียกว่าสองขั้วบุ๋นบู๊ เจ้าหากไม่อยู่ในสองขั้วตระกูลนี้ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจเป็นขุนนางใหญ่ได้…”
“…ชีวิตพระราชาเกาหลีก็ไม่อาจสู้พ่อค้าร่ำรวยเทียนจินได้ ที่เกาหลีการที่สามารถได้กินข้าวขาวทุกมื้อนั้น ล้วนเป็นพวกมากอำนาจวาสนาเท่านั้น…”
“…ทหารเกาหลี สู้กับทหารเพาะปลูกแผ่นดินหมิงก็ไม่ได้ ราวกับลิงทะเล ตอนนั้นที่อินชอนใช้กำลังร้อยคนก็สามารถขับไล่ทหารเกาหลีหลายพันหนีกระจายราวกับแพะน้อย มีแต่พวกบนท้องทะเลเท่านั้นที่พอจะต่อสู้เป็น ล้วนปลอมตัวเป็นโจรสลัดวัวโค่ว ทำงานให้บรรดาเจ้าทะเล…”
“…เกาหลีให้ความสำคัญกับบุ๋นมากว่าบู๊มาก บนแผ่นดินหมิง ขุนนางบู๊ยังพอมีหน้ามีตา แต่ที่เกาหลีหากพี่น้องสองคนในบ้าน คนหนึ่งเรียนบุ๋น คนหนึ่งเรียนบู๊ คนที่เรียนบุ๋นก็จะได้เรียนในห้องเรียน แต่คนที่เรียนบู๊กลับต้องทำงานราวกับทาส…”
“…ข้าน้อยเมื่อก่อนยังเคยไปทำการค้าที่เมืองโซอุลมา คุ้นเคยกับพ่อค้าใหญ่ที่นั่นหลายคน ราชสำนักเล็กเกาหลีของพวกเขาแก่งแย่งกันรุนแรงมาก มักจะมีตระกูลรุ่งเรืองได้สองสามเดือน เดือนถัดมาก็ถูกประหารทั้งตระกูล การค้าข้าน้อยไม่น้อยต้องขาดทุนตามไปด้วย…”
“…พูดถึงเกาหลีกับโจรสลัดวัวโค่ว เกาหลีทางใต้พูดไม่น่าฟังก็คือแหล่งเสบียงของไดเมียวคิวชูกับไซโกกุ พูดให้เกียรติหน่อยก็ว่าเอาเงินไปซื้อ หน้าไม่อายก็ไปปล้นเลยตรงๆ…”
ข่าวแต่ละแหล่งรวบรวมมาได้ หวังทงพอจะเข้าใจเกาหลีแล้วว่าเป็นพื้นที่เช่นไร เป็นประเทศยากจนจริง และยังเรียกได้ว่าเละเทะดูไม่ได้เลยทีเดียว ประเทศเช่นนี้ไม่ควรโจมตีแม้แต่น้อย
แต่ทว่าต่อไปนี้ไม่เหมือนที่กล่าวไว้เดิม ที่นั่นไม่เหมือนกับเกาหลี หวังทงรู้สึกตนเองได้เปิดโลกทัศน์ เริ่มแรกเชิญคนมาเพื่อสอบถามงานเพื่อทางการ สุดท้ายหวังทงพบว่าตนเองเริ่มสนใจที่นี่มาก
“…โจรสลัดวัวโค่ว หากบอกว่าไม่เคยเห็นโลกกว้างก็คงเช่นนั้น กระเบื้องหยาบๆ แผ่นดินหมิงขนไปก็ขายได้ราคาสูงมาก แต่ทว่าพื้นที่นั้นพวกเขากับพวกฟะรังคียังมีพวกฮอลันดามากันมาก เห็นโลกภายนอกไม่น้อย…”
“…ล้วนว่าเป็นบัญชาสวรรค์ ข้าน้อยว่า โทโยโตมิ ฮิเดโยชิก็คือฟ้าของประเทศวัว ค่อยๆ ก้าวมาสู่สถานะนี้ เป็นคนโชคดีจริง!”
“…ชาวประเทศวัวทางนั้นใช้เงินก้อนหย่งเล่อ แต่ทว่า ข้าน้อยกล้าบอกได้เลย กั๋วกงเองก็รู้ว่าเป็นเช่นไรกระมัง…”
“…ชาวประเทศวัวมีเงิน เรียกว่าภูเขาเงินทะเลทองคำเลย ประเทศวัวมีที่เช่นนี้จริง พื้นที่อำเภอหนึ่งถึงกับเป็นเหมืองทองและเหมืองเงิน และไม่ใช่แค่เขาลูกเดียว พวกเขายังทำเหรียญทองแดง ผุยๆ สมบัติกับเหรียญทองแดง พวกเขามีหมด…”
“…ต่อหน้ากั๋วกงคุยก็เหมือนเอาเรื่องเก่ามาเล่าให้ขายหน้า ข้าน้อยรู้ไม่มาก แต่การขนน้ำตาลผ้าไหมกับไหมดิบไป หลายอย่างล้วนราคางามมาก ค่าเงินประเทศวัวก็ถูกมาก ไปๆ มาๆ กำไรยิ่งมาก…”
“…ทหารชาวประเทศวัว ข้าน้อยก็เคยเห็นอยู่ ปืนและปืนใหญ่ล้วนมี แต่ล้วนติดตั้งบนกำแพงเมือง พวกเขายังมีปืนที่เรียกว่า ‘กระบอกใหญ่’ สองคนอุ้มไว้แล้วจุดยิง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นปืนใหญ่เหล็ก ชื่อก็ว่าใหญ่ ความจริงนั้นเป็นแค่ปืนไฟ ข้าน้อยความรู้น้อย ไม่กล้ากล่าวอันใดมาก ชาวประเทศวัวใช้ปืนใหญ่แบบนี้มาเทียบกับปืนไฟกั๋วกงพอได้ ขนาดไม่ต่างกันมากนัก…”
“…ชาวประเทศวัวตรงไปตรงมา แผ่นดินหมิงเคลื่อนกำลังทหารว่าเจ็ดหมื่น แต่ความจริงนั้นแสนกว่า จากนั้นตอนรบก็ใช้แค่หมื่นสองหมื่น ประเทศวัวก็ชอบคุยโว พวกเขาหากเคลื่อนกำลังแสนจริง จะบอกว่าแสน ก็มีแต่ตามนั้น…”
“…ชาวประเทศวัวไม่มีเรือ แม้แต่ตะปูยังใช้ของไม่ดี เรือพวกเขา ข้าน้อยเดาว่าเหมือนที่แล่นกันในทะเลสาบไท่หูเรา ท่านเมี่ยวถล่มพวกเขาได้เลย ไม่ต้องอาศัยเรือรบหมิง กั๋วกง แม้แต่เจ้าเสิ่นหวั่ง ว่ากันว่าไปเป็นใหญ่ที่ชิเซ็นอะไรนั่นแล้ว…”
เทียบกับเกาหลีแล้ว ข่าวจากญี่ปุ่นยังมากกว่ามาก หวังทงรู้สึกได้ความรู้ไม่น้อย แต่ทว่าวาจาต่างๆ ของบรรดาเจ้าทะเลและพ่อค้าทะเล ทำให้หวังทงวิเคราะห์ข้อสรุปได้ เช่นว่า เกาหลีน่าจะรับมือญี่ปุ่นได้ไม่นาน
ข่าวเหล่านี้ บวกกับการวิเคราะห์ของหวังทงเอง หยางซือเฉินรวบรวมเขียนฎีกาม้าเร็วไปยังเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีม้าเร็วไปเทียนจินในเวลาเดียวกัน เอกสารทางการไปถึง ไม่ว่าพ่อค้าใดล้วนห้ามติดต่อการค้ากับเสิ่นหวั่ง ไม่เช่นนั้นมีโทษสมคบคิดโจรสลัดวัวโค่ว
ตอนนี้เมืองท่าที่มีการค้ากับประเทศวัวมากมีสองแห่ง เทียนจินกับเมืองซงเจียง สินค้าส่วนใหญ่เข้าออกที่นี่ สองแห่งนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของหวังทง คิดจะตัดเส้นทางการค้าก็ย่อมง่ายมาก
และทหารนำข่าวไปยังนำวาจาหวังทงไปด้วย ก็คือให้จัดการคนของเสิ่นหวั่งที่เทียนจิน ให้พวกเขาหนีและให้แอบซื้อตัวไว้
นี่ไม่ใช่เพื่อทำการค้า แต่เพื่อใช้สายเสิ่นหวั่งสืบข่าวประเทศวัว หวังทงรู้เรื่องนี้อ่อนไหว ดังนั้นในจดหมายลับก็แจ้งไปทางเมืองหลวง
การตัดสินใจของหวังทง ในวังไม่ได้มีเหตุคัดค้าน ความผิด ‘สมคบคิดโจรสลัด’ เป็นความผิดร้ายแรงบนแผ่นดินหมิงที่ไม่อาจอภัยโทษได้เด็ดขาด ลงโทษอย่างไรล้วนไม่เกินไป
พอพลส่งข่าวกลับมาก็ต้นเดือนห้า นำข่าวใหม่สุดของเมืองหลวงมาด้วย เกาหลีแต่ละเมืองล้วนตกในภาวะคับขันแล้ว พระราชาเกาหลีหนีไปเปียงยางแล้ว แม้แต่ทูตเกาหลีที่ขอความช่วยเหลือก็มีท่าทีเศร้าสลดมาก คิดว่าเปียงยางต้านทานไว้ได้อีกไม่นานแล้ว
สถานะทูตเกาหลี สถานะพระราชาเกาหลี เรื่องพวกนี้เป็นที่รับรองแล้ว จากนั้นกองทัพญี่ปุ่นโจมตีก็พอคาดเดาได้…
อ่านจดหมายจากเมืองหลวงแล้ว หวังทงอึ้งไป ทูตเกาหลีบอกว่าทหารญี่ปุ่นไม่ถึงสี่หมื่น หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ หวังทงเองยังคิดว่าคนเกาหลีสมคบคิดโจรสลัดวัวโค่วเตรียมบุกแผ่นดินหมิง แค่สี่หมื่นไม่ถึง สี่หมื่นรุกจากปูซานไปยังเปียงยาง เจ้าอย่างไรก็ประเทศ ทำไมไม่รู้จักรักหน้าตาบ้าง
ในใจหวังทงพอเดาได้ ก็เพราะการกล่าวว่าโจรสลัดวัวโค่วอ่อนแอ จะทำให้ทหารแผ่นดินหมิงนำทัพไป หากบอกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง อาจทำให้กองกำลังหมิงลังเล
“ประเทศวัวบัดซบจริง ตระกูลลีเกาหลีเองก็ไม่ใช่คนดีอันใด!”
หวังทงให้ข้อสรุป