องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1073 ทหารเก่าถูกปลด
ต้นเดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 แผ่นดินหมิงค่อยๆ เริ่มเคร่งเครียด กองกำลังหู่เวยรอบๆ เมืองหลวงเพิ่มกำลังฝึกซ้อม ไช่หนานยังต้องไปโรงช่างกับโกดังอาวุธตรวจนับอาวุธ
ปฏิบัติการนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดี เพิ่มการฝึก ตรวจนับอาวุธ ก็เพื่อเตรียมการรบ หากยังไปติดต่อโรงช่างสามธาราซื้อหาอีก ยังมีเรื่องรถใหญ่อีก ก็ยิ่งเข้าใจ
กองกำลังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงล้วนกำลังปฏิบัติงานเงียบๆ เมืองหลวงหลายแห่งกำลังล้วนเพิ่มเติม สำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนส่งคนไปตรวจที่เหลียวหนิง ล้วนเป็นคดีผู้ว่าโกงกิน ผู้ใดไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจวเองก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักส่วนพระองค์ สำนักอาชาหลวงกับกรมทหารพากันส่งคนไปยังเหลียวหนิงตรวจนับทหาร สามผู้บัญชาการเหลียวหนิงล้วนยุ่งกันหัวหมุน
แม้ว่าโจรสลัดวัวโค่วที่อยู่เกาหลีมีแค่สี่หมื่น แต่ก็นับเป็นภัย อย่างไรก็เกาหลีมายังเมืองหลวงก็ไม่ไกล ตอนนั้นโจรสลัดหลายพันก่อเกิดแรงสั่นสะเทือนทั่วตะวันออกเฉียงใต้ สี่หมื่นนี่แน่นอนต้องให้ความสำคัญ
เกาหลีทางนั้นอย่าเห็นว่าไม่มีความสามารถในการรบ แต่การขอความช่วยเหลือนั้นทำได้ดี ทุกวันมาไม่หยุด จากข่าวแต่ละวันสามารถวิเคราะห์ได้เช่นนี้ ทัพใหญ่ประเทศวัวเริ่มเข้าใกล้เขตแดนแผ่นดินหมิงขึ้นทุกวัน
กับพื้นที่ใต้อาณัติอื่นไม่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกาหลีเริ่มมอบบรรณาการแก่แผ่นดินหมิง ก็อ่านเรื่องราวคนมีสถานะแผ่นดินหมิงกันมาก หนึ่งเพื่อจะได้มาขอความช่วยเหลือทางการได้ถูก สองสามารถนำเงินทองมาเข้าหาขันทีในวัง ไปถึงขุนนางราชสำนัก และไปถึงพวกสำนักตรวจสอบ แม้แต่ตระกูลเจิ้งก็มี เรียกได้ว่าคนที่มีสิทธิ์ออกความเห็นล้วนได้รับการขอร้องหมด
การประชุมราชสำนักตอนนี้ล้วนหารือเรื่องพวกนี้ พวกเซวียนเว่ยสื่อเดิมในพื้นที่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวจำนวนมากไม่ถูกปราบก็ส่งมอบคืนอำนาจ มีขุนนางใหม่ได้รับแต่งตั้งไปจำนวนมาก การจัดการคนไปก็เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องคิดมาก แต่ตอนนี้ส่วนกลางไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ทุกวันเอาแต่หารือเรื่องเกาหลีกับญี่ปุ่น
เทียบกับเมืองหลวงที่เคร่งเครียดแล้ว แดนใต้ผ่อนคลายกว่ามาก ทุกคนที่ไปเมืองท่าซงเจียงเห็นกองเรือสามธารา ล้วนมั่นใจในความสงบสุขพื้นที่นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูซอน กองเรือแข็งแกร่งเช่นนี้ โจรสลัดวัวโค่วจะสักเท่าไรกัน
เมืองหลวงกำลังจัดทัพ เมืองซงเจียงกำลังผ่อนคลาย หวังทงเริ่มออกคำสั่งกับบรรดาเจ้าทะเลที่เป็นพันธมิตร ให้ทิ้งลูกเรือมีฝีมือและเรือดีไว้ที่เมืองซงเจียง แต่ละกลุ่มไม่ได้ขอกำลังมาก แต่ต้องส่งมา พวกเขาที่เมืองซงเจียงก็ไม่ได้ปล่อยว่าง แต่ไม่ให้วิ่งการค้าไกล
เดือนหก เรือการค้าโปรตุเกสสามลำมาถึงเมืองซงเจียง เรือเหล่านี้เป็นเรือมาจากอาหรับ พวกเขานำสินค้ามานอกจากของจากที่นั่นแล้ว ยังมีทาสสาวเปอร์เซีย ทำให้แดนใต้เกิดแรงกระเพื่อม ตามคำของลูกน้องชาวผิวขาวหวังทง ชาวผิวขาวนำทาสสาวเหล่านี้มาไม่แน่ว่าล้วนเป็นชาวเปอร์เซีย อาจเป็นชาวยุโรปก็ได้
อาณาจักรออตโตมันในยูเรเซียยิ่งใหญ่เกรียงไกร วังหลังออสมานลี[1] ล้วนเป็นฮาเร็มทาสสาว พวกขุนนางชนชั้นสูงมีความเคยชินเช่นกัน ดังนั้นการค้ามนุษย์ในออตโตมันจึงรุ่งเรืองมาก คนมากมายถึงจำมาขายที่นี่
แน่นอน ไม่ใช่สตรีทุกคนล้วนสามารถเข้าวังหรือเข้าจวนชั้นสูง หลายคนนำพวกนางไปขายที่ต่างๆ คนมีเงินขอบอะไรที่เหมือนๆ กัน ไม่เพียงแต่สุราเงินทอง เมืองซงเจียงกับเทียนจินร่ำรวยเช่นนี้ คนโปรตุเกสแน่นอนรู้ จึงคิดจะนำมาขายเช่นกัน
ซื้อมาจากตลาดค้ามนุษย์แล้ว ก็ต้องส่งไปพักที่มาเก๊าให้ฟื้นตัวก่อน จากนั้นบรรดาทาสสาวก็จะยิ่งงดงาม จากนั้นค่อยส่งมายังเมืองซงเจียง
ทาสสาวเหล่านี้มาถึงก็เกิดกระแสทันที พวกเสเพลต่างเมืองก็ชอบของแปลกใหม่ มีไว้ที่บ้านอวดบารมีสักคนก็ดี พวกการค้าบนแม่น้ำฉินไหวเหอที่หยางโจวซูโจวหังโจวก็ล้วนมีหัวทางการค้า รีบเร่งไปซื้อตัวมา เพื่อเสริมการค้าตน ยังมีพวกบัณฑิตพากันเขียนบทกวีวาดรูป ทุกคนล้วนสำราญกัน แดนใต้ยามนี้ราวแดนสวรรค์ ผู้ใดจะไปสนใจเหตุการณ์วิกฤตเกาหลีกัน
***************
หวังทงทางนี้นอกจากจัดการการข่าวแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีก ตอนนี้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ใกล้คลอดแล้ว เรื่องต่างๆ ในจวนก็ล้วนมุ่งกันแต่เรื่องนี้ ยุ่งกันมาก ความยุ่งนี้หวังทงไม่อาจข้องเกี่ยว หวังทงเองก็ไม่อยากกลับไปว่างอีก ทุกวันจึงไปอยู่ห้องหนังสือกับสนามฝึกยุทธเป็นส่วนใหญ่
เช้าวันที่ 5 เดือนหก หวังทงมาเป็นเพื่อนหวังเซี่ยออกกำลังกาย หวังเซี่ยตัวเท่าเด็กอายุ 7-8 ขวบ ร่างกายกำยำมาก หวังทงเห็นแล้วดีใจมาก
อย่างไรก็เป็นคุณชายชนชั้นสูง แต่เล็กกินดีอยู่ดี กอปรกับหวังทงแข็งแรง หานเสียก็เป็นลูกหลานทหาร ร่างกายก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าแข็งแรงเพียงใด เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นพวกฝึกยุทธ
“เจ้าเด็กน้อย ฝึกยุทธล่ะชอบ เรียนหนังสือไม่ยอมเรียน หากหนีไปเล่นอีก ระวังข้าจะเอาไม้ตีเจ้า!”
หวังทงหน้าเข้มสั่งสอน ในมือหวังเซี่ยมีไม้พลองยาว วางกระบวนท่าให้มาตรฐานแทงไปด้านหน้า เด็กน้อยสามารถฝึกได้ดี แต่ไม่อาจเรียนหนังสือได้ หวังทงสั่งสอนเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแล้ว
ขณะกำลังสอนอยู่นั้น ด้านนอกทหารติดตามเข้ามารายงานว่ามีคนมาจากหนิงเซี่ย
หวังทงว่างได้ก็เมื่อสองปีนี้ มีโอกาสอยู่เป็นเพื่อนภรรยาและลูก แน่นอนการกระทำของเขาเป็นที่ซุบซิบกันในบรรดาคหบดีร่ำรวยแดนใต้ ในบรรดาภรรยาและบุตรของตระกูลใหญ่ ทุกวันล้วนมีธรรมเนียมในการอยู่ร่วมกัน แต่หวังทงไม่สนใจธรรมเนียมเช่นนี้ ทว่าหวังทงไม่สนใจ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้ามากล่าวอันใด
สภาพการณ์เช่นนี้ ทหารติดตามหวังทงล้วนเห็นด้วย กั๋วกงกำลังมีความสุขกับครอบครัว เรื่องงานไม่จำเป็นก็เอาไว้ค่อยทำทีหลัง เหลียวกั๋วกงแต่ไรไม่เคยชักช้าในการงาน ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียการงาน
ทหารติดตามทำเช่นนี้ หวังทงเองก็ปิดตาข้างหนึ่ง ดังนั้นการมารายงานนี้ทำให้เขาแปลกใจอยู่ หนิงเซี่ยไปมาหาสู่กับเมืองซงเจียงไม่น้อย แต่ก็แค่ราวสิบวันมีรายงานมาครั้ง จดหมายไปมา คนส่งไม่ต้องพบ ตอนนี้กลับมีคนมาพบ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องใดกัน?
“เป็นทหารที่ขุนพลซุนไล่ออก ส่งพวกเขามาให้กั๋วกงหางานให้ทำ!”
ทหารติดตามรายงานอย่างระมัดระวัง เขาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อ หวังทงขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถามขึ้น
“ชื่ออะไรบ้าง?”
“เรียนกั๋วกง หนึ่ง กวนเฉิง อีกหนึ่ง ไป๋ต้าอู่”
ได้ยินชื่อแล้วหวังทงก็อึ้งไป สองคนนี้เขารู้จัก ตอนเป็นนายกองธงใหญ่เมืองหลวงซื้อตัวมา 50 คน นับว่าเป็นคนในสายงานตรง ทำไมสองคนถูกซุนซิงขับไล่ส่งมา
แม้ตอนนี้กองกำลังหู่เวยแต่ละกองหัวหน้ากองล้วนประจำคนละแห่ง แต่ละคนล้วนมีเครือข่ายตน แต่ทหารเบื้องหน้าถูกปลด ความจริงนั้นหัวหน้าแต่ละกอง โดยเฉพาะคนที่หวังทงส่งเสริมขึ้นมา หัวหน้ากองกับรองหัวหน้ากองไม่อาจแตะต้องได้ หากมีความผิดจริง ก็ย่อมลงโทษทางวินัยได้ไม่มีผู้ใดว่า แต่จัดการเช่นนี้ก็ต้องแจ้งหวังทงก่อน หากไม่เช่นนั้น ก็ย่อมไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม แน่นอนหากทำอย่างไร้หลักการ ก็ย่อมยิ่งไม่ได้
หัวหน้ากองเป็นผู้ใดส่งเสริมมา เจ้าเป็นใหญ่ได้ไม่กี่วันก็คิดจะไม่เห็นแม่ทัพใหญ่ในสายตา เจ้ายังเป็นคนกองกำลังหู่เวยหรือไม่กัน เรื่องนี้หากไปถึงฮ่องเต้ว่านลี่ก็ล้วนไม่อาจไกล่เกลี่ย เรื่องไร้น้ำใจให้กันเช่นนี้ จงรักภักดีอย่างไร ก็น่าสงสัย
เรื่องพวกนี้จะไปถึงฮ่องเต้ได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง ตั้งแต่ไช่หนาน เจ้าจินเลี่ยงไปถึงโจวอี้ ขันทีใหญ่แต่ละคน เจ้าเห็นว่าตั้งโชว์เฉยๆ หรือไร?
อย่างไรก็อยู่ในวงการขุนนางที่ต้องไว้หน้ากัน หัวหน้ากองกำลังแต่ละคนล้วนรู้ดี เข้าใจสถานะตนเองตอนนี้ดีว่ามาจากไหน เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่มี ลี่เทามาจากตระกูลใหญ่ย่อมเข้าใจมากกว่าคนอื่น ไม่ต้องพูดถึง
หากเป็นลี่เทาไล่ออก หวังทงก็พอเตรียมใจไว้หลายส่วน คิดไม่ถึงเป็นซุนซิง ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจ สองคนนี้ก่อนถูกปลดก็ไม่แจ้งสักคำ หวังทงลุกขึ้นมาตบท้ายทอยหวังเซี่ยสองที่ ตะโกนให้ทหารติดตามพาหวังเซี่ยไปส่งที่หยางซือเฉินเรียนหนังสือ ตนเองเดินเข้าไปยังโถงกลาง
พอเข้าไปถึง ก็เห็นชายแต่งกายสามัญชนคุกเข่าโขกศีรษะนอบน้อม ด้านหลังมีทหารหกนายคุกเข่าอยู่ด้วย
“ข้าน้อยคารวะแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่สบายดี”
ได้ยินคำเรียกขาน ในใจหวังทงที่เดิมทีโมโหอยู่ก็สงบลงไม่น้อย โบกมือกล่าวว่า
“ไม่ได้กุมอำนาจทหารแล้ว เรียกแม่ทัพใหญ่อันใดกัน พวกเจ้าสองคนทำผิดอันใด ถึงกับถูกสั่งปลดได้?”
สองคนดูสภาพจิตใจไม่เลว สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ดูภาพรวมก็ยังเหมือนหน้าดำไม่ได้พักผ่อนมา ได้ยินก็หันไปมอง ทหารหกคนโขกศีรษะอีก คนเป็นหัวหน้ากล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ขุนพลซุนสั่งข้าน้อยมา คุมสองคนมาส่งที่แม่ทัพใหญ่ สองคนนี้หากกล่าวอันใด ข้าน้อยไม่อาจได้ยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
ได้ยินเขากล่าวอย่างหนักแน่น หวังทงยิ่งแปลกใจ พยักหน้าให้พวกเขาออกไป เงียบไปครู่หนึ่ง โบกมือกล่าวว่า
“ล้วนถอยออกไปก่อน เรื่องที่นี่ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยิน”
ทหารติดตามรอบๆ ล้วนถอยออกไป คำสั่งก็คือทุกคนที่ได้ยินต้องออกจากห้องไปไกลสักระยะหนึ่ง ทหารติดตามแน่นอนเข้าใจ คำนับรับคำสั่ง
“ว่ามาได้!”
ถึงขั้นนี้แล้ว หวังทงเองย่อมเข้าใจว่ามีเรื่องลับปิดบัง พอถามขึ้น สองคนเบื้องหน้าสบตากัน ถอนหายใจจากใจ กล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยติดตามขุนพลซุนรบเสฉวนสะใจ มีหน้ามีตากลับมายังหนิงเซี่ย ทุกคนดีใจ ข้ากับเหล่าไป๋ก็ร่วมดื่มกันไปหลายแก้ว…”
“อยู่เมืองหลวงนี่พวกเจ้าวาจาไร้สาระไม่น้อยนะ พูดมาตรงๆ!”
หวังทงรำคาญตบโต๊ะ วาจาเร่งของเขา ทำเอาบรรยากาศผ่อนลงไม่น้อย รีบโขกศีรษะกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่โปรดอภัย พวกข้าน้อยรบที่เสฉวนไม่น้อย พวกทหารแม้วทหารเย้าถูกทหารพื้นที่สามมณฑลพูดราวกับปีศาจ แต่สู้กับพวกเราแล้ว ก็พวกว่าแค่สุนัข ไม่ควรแก่การสู้เลย ข้าน้อยกับเหล่าไป๋ดื่มไปก็พูดไปเช่นนี้ ทหารสามมณฑลนั่นราวกับเศษสวะ…”
[1] พระนามของสุลต่านผู้สถาปนาอาณาจักรออตโตมัน