องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1074 รอบคอบไว้ก่อน ตระกูลหลี่แย่งความชอบ
หวังทงเดิมทีโน้มตัวไปด้านหน้า พอได้ยินกวนเฉิงพูดถึงตรงนี้ ก็พิงพนักเก้าอี้ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ฟังเขาบ่นไปมา ก็ยากจะผ่อนคลายได้
คิดไม่ถึงพูดถึงตรงนี้ กวนเฉิงกลับเงยหน้ามองรอบทิศ กระซิบกระซาบว่า
“ข้าน้อยตอนนั้นดื่มมากไปหน่อย กล่าวกับไป๋ต้าอู่ กองกำลังหู่เวยเรา แม้ทหารใต้หล้ามากันหมดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เรา จากนั้นไป๋ต้าอู่ก็ว่า แม้พวกเราแยกกันคนละทัพ แต่ก็ยังมีแม่ทัพใหญ่นำ”
พูดถึงตรงนี้ กวนเฉิงกับไป๋ต้าอู่ล้วนเงยหน้ามองสีหน้าหวังทง กวนเฉิงกล่าวต่ออย่างเศร้าสลดว่า
“เดิมทีเราสองคนคุยเล่นกันในค่าย คิดไม่ถึงถูกทหารติดตามหน้าประตูได้ยิน นำเรื่องไปรายงานขุนพลซุน…”
กองกำลังหู่เวยขุนพลทหารระดับสูงมักมีสายไว้ประจำตามขุนพลทหารระดับล่าง ระเบียบนี้ไม่เหมือนกับทหารทั่วไปในแผ่นดินหมิง ส่งคนสนิทไปเฝ้าไม่ได้เพื่อผลประโยชน์ตน หากเพื่อให้รายงานทุกเรื่อง ทำให้ขุนพลทหารระดับสูงยิ่งกุมกำลังได้มั่นคงยิ่งขึ้น ความจริงนั้นก็พอเป็นที่เปิดเผยไม่ได้ปิดบังนัก
“ขุนพลซุนรู้เรื่องนี้ ทำเอาข้ากับไป๋ต้าอู่ถูกเรียกไปโบย จากนั้นก็จับขังคุกครึ่งเดือน แล้วก็ถูกส่งมายังแม่ทัพใหญ่ที่นี่”
หวังทงสีหน้านิ่งเรียบลง พยักหน้าถามขึ้น
“พวกเจ้ากล่าววาจาพวกนี้ผู้ใดรู้บ้าง?”
“ข้าน้อยแค่สองคน ยังมีทหารติดตามนั่น ขุนพลซุนก่อนไปยังกำชับพิเศษว่า หากคนคุมตัวมาคิดกล่าวอันใดกับข้าน้อยสองคน คนนั้นจะถูกตัดหัวทันที หากข้าน้อยสองคนคุยกันผู้อื่น ก็ให้สังหารข้าน้อยสองคนทันที ตลอดทางมาไม่กล้าพูดอันใด มาถึงที่นี่จึงได้โล่งอก”
“พวกเจ้าตำแหน่งนี้ไปประจำท้องที่ก็เรียกได้ว่ามีสถานะขุนพลทหารแล้ว เหตุใดจึงปากไม่รู้กล่าวเช่นนี้ มาเป็นทหารติดตามข้าไปก่อนละกัน ที่หนิงเซี่ยพวกเจ้าเคยทำอะไร เคยพูดอะไรมา ห้ามบอกกับผู้ใด นี่เป็นคำสั่งวินัยทหาร เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
น้ำเสียงหวังทงเข้มงวดขึ้นมา สองคนรีบโขกศีรษะ วินัยทหารที่หวังทงกล่าวถึงเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายของพวกเขา เช่นนั้นย่อมยอมแต่โดยดี
เรียกคนมาพาออกไปหาที่พักให้แล้ว หวังทงถอนหายใจ ฉีกจดหมายซุนซิงออก ในจดหมาย นอกจากคำทักทายง่ายๆ แล้ว ก็ยังบอกว่าขอให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการหาที่ทางให้สองคนนี้อยู่
ซุนซิงเป็นเด็กหนุ่มนี้ซื่อตรง ระมัดระวังรอบคอบ เรื่องนี้ย่อมไม่พูดไป เขาสังเกตทุกเรื่องได้รอบด้านจริงๆ ไป๋ต้าอู่กับกวนเฉิงสองคนเห็นว่าไม่มีอะไร แต่ก็อาจมีคนคิดโยงเรื่องราว ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้ โดยเฉพาะการปราบเมืองปัวโจวเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจว กองกำลังหลวงหนิงเซี่ยในเครือกองกำลังหู่เวยสร้างความดีความชอบใหญ่ แต่การต่อสู้ที่เก่งกล้าในสายตาขุนนางบุ๋นอาจเป็นภัย
การต่อสู้นี้แม้ทำให้คนอื่นเลื่อมใส แต่ก็อาจทำให้ระแวงได้ ซุนซิงระวังรอบคอบเช่นนี้ก็ไม่ผิด โดยเฉพาะวาจาสองคนนี้ที่ถูกคนจับผิดเอาได้ง่ายๆ
ซุนซิงทำงานรอบคอบไม่ปล่อยช่องโหว่แม้แต่น้อย สองคนนี้มาได้วันที่สอง ก็ได้ยินว่าทหารติดตามสองคนก็ถูกส่งมาด้วย มาขอให้หวังทงช่วยดูแล
พอเห็นทหารติดตาม หวังทงเข้าใจความตั้งใจของซุนซิงทันที ทหารติดตามนี้เป็นคนเก่าคนแก่ เป็นสายองครักษ์เสื้อแพรที่ส่งมาจับตา องครักษ์เสื้อแพรอยู่ใต้การบังคับบัญชาหวังทง ในทางลับนั้นก็เป็นหวังทงส่งสายเข้าไป เห็นเป็นคนกันเองมาโดยตลอด
แต่มองจากความปลอดภัยไว้ก่อน ซุนซิงก็ไม่กล้ารับรองความน่าเชื่อถือขององครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ ดังนั้นจึงส่งมาหมด และไม่ให้สามคนพบหน้ากัน
หวังทงอดไม่ได้แค่นหัวเราะออกมา ทหารติดตามผู้นี้เป็นสายจริง มีสถานะองครักษ์เสื้อแพร เป็นองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเอง เป็นคนเก่าแก่ที่เทียนจิน แต่พวกซุนซิงไม่รู้สายสัมพันธ์นี้ ระวังไว้ก่อนไม่ผิด หวังทงคิดแล้วคิดอีก อย่างไรก็ต้องไปเชิญหยางซือเฉินมาเขียนจดหมายไปยังหัวหน้าขุนพลทหารแต่ละแห่ง กำชับไว้ก่อน
**************
ทหารพ่ายราวภูผาล้ม หากใช้คำนี้กับสถานการณ์เกาหลีเห็นได้ว่าชมเกินไปแล้ว ใช้คำว่า รบตีแตกราวกระบอกไม้ไผ่แตกกับกองทัพญี่ปุ่นก็เหมือนจะไม่พอ
ต้นเดือนเจ็ดเมืองหลวงมาเร็วมาแจ้งข่าวการทหารแก่หวังทง ทหารญี่ปุ่นเป็นยึดเปียงยางแล้ว ดีที่พระราชาเกาหลีหนีเข้ามาในแผ่นดินหมิงแล้ว เวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ก็ถูกทหารญี่ปุ่นยึดไปเหลือแค่เมืองเล็กๆ แล้ว
ตอนนี้มีเพียงเมืองพยองอันทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ยังเป็นของเกาหลี ที่ทหารญี่ปุ่นไม่ได้บุกเข้าไป ไม่ใช่เพราะตีไม่ได้ แต่เพราะบุกเร็วไป เสบียงเสริมยังมาไม่ถึง
พวกเขารู้เกาหลียากจน แต่คิดไม่ถึงเกาหลีถึงกับจนเพียงนี้ได้ เปียงยางนับว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลี ก็ยังถึงกับไม่อาจมีเสบียงเพียงพอได้ ไม่รู้ทำเช่นไร จึงได้แต่ยึดเปียงยางไว้ก่อน จากนั้นแบ่งกำลังทหารไปปล้นตามที่ต่างๆ จึงได้ประคองสถานการณ์ไว้ได้
แน่นอน ประเด็นสำคัญก็คือใกล้จะประชิดชายแดนแผ่นดินหมิงแล้ว ไม่ว่าตอนมามั่นใจเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังใหญ่ กองทัพญี่ปุ่นก็ต้องกังวลอยู่ ไม่กล้าบุกพลการ ล้วนรอให้ตั้งมั่นก่อน รอให้ทัพใหญ่เสริมกำลังมาก่อนค่อยเริ่มบุก
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนแผ่นดินหมิงไม่เข้าใจ ในภาพของขุนนางแผ่นดินหมิง เกาหลีก็รบเก่ง แน่นอนภาพนี้ล้วนเป็นภาพตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงจูหยวนจาง คนเกาหลีที่เหลียวตงเก่งการรบไม่น้อย และขับไล่พวกหนี่ว์เจินที่เหลียวตงขึ้นไปทางเหนือ
กำลังการต่อสู้เช่นนี้นับว่าสู้เก่ง เหตุใดทัพญี่ปุ่นมาก็ตีเละเทะเช่นนี้ได้……
ฮ่องเต้ว่านลี่ถึงกับส่งขุนนางใหญ่ไปถามว่า ‘เกาหลีพวกเจ้าก็เป็นประเทศ ทำไมจึงใช้ไม่ได้เช่นนี้ได้’
พระราชาเกาหลีตอนนี้ออกคำสั่งได้มีแค่เมืองเดียวเล็กๆ แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีหน้ามีตาอันใด จึงตอบไปตรงๆ ว่า ‘ประเทศเราอ่อนแอ พวกโจรวัวโค่วโหดร้าย’
สงครามลามมาถึงชายแดน แน่นอนไม่อาจนั่งมองเฉยเหมือนเมื่อสามสี่เดือนก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกประชุมคณะเสนาบดีใหญ่หารือแล้วก็มีราชโองการไปยังผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋ว ให้เขารับหน้าที่จัดการโจรสลัดวัวโค่วที่เกาหลี ให้ป้องกันให้แน่นหนา อย่าปล่อยให้โจรสลัดวัวโค่วหาช่องทางเข้ามาได้เด็ดขาด
หากเป็นที่อื่น ราชสำนักคงรวบกำลังทหารไปแล้ว แต่ที่เหลียวหนิงไม่เหมือนกัน ที่นี่แม้เป็นมณฑลตั้งใหม่ แต่เดิมเคยเป็นมณฑลทหารเหลียวโจวทางตะวันออก กำลังทหารมีพอ ตอนนี้ยังมีกำลังผู้บัญชาการสามคนรวมกัน พอจะมีทหารได้ราวแสนขึ้นไป หากโจรสลัดวัวโค่วเป็นดังที่เกาหลีว่า เพียงแค่สี่หมื่น เช่นนั้นทหารเหลียวตงก็ย่อมพอรับมือได้
****************
ผู้บัญชาการหลี่เฉิงเหลียงเหลียวตงคนเดิมตอนนี้ 60 กว่าแล้ว หลายปีก่อนกำลังวังชาฟื้นคืน ร่างกายแข็งแรง เห็นแล้วเหมือนราวอายุ 40 เท่านั้น แต่หลายปีนี้ก็ชราลงมา ผมหงอกขาวไม่ว่า ยังหลังค่อมลงอีกมา กลายเป็นชายชราสมบูรณ์แบบ
คนแม้ว่าชราภาพมาก แต่จิตใจยังไม่เลว หลี่หรูป๋อตอนนี้เป็นผู้บัญชาการเหลียวซี นับเป็นขุนพลตระกูลหลี่ที่ปักธงที่เหลียวตง แต่ตระกูลหลี่ที่นี่คนออกความเห็นหลักยังคงเป็นหลี่เฉิงเหลียง สถานะหลี่เฉิงเหลียงยังคงอยู่ ผู้บัญชาการเหลียวตงหม่าหลิน ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนล้วนเคยเป็นลูกน้องเขามาก่อน หน้าตาอย่างไรก็ต้องให้กันบ้าง
ราชสำนักมีราชโองการไปยังผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋ว ข่าวตระกูลหลี่ที่เหลียวหนิงไวมาก เรื่องนี้ก็รู้รวดเร็ว หลี่หรูป๋อไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
เทียบกับหลี่เฉิงเหลียงที่มีใจเพื่อการศึกแล้ว หลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ยังมีผลงานใกล้กันมากกว่า หลี่หรูป๋อคิดแต่จะเป็นผู้บัญชาการในยามสงบฝึกทหารไปเรื่อย เสวยสุขในครอบครัวกับบรรดาภรรยาหลวงน้อย ไม่ก็ออกไปล่าสัตว์ด้วยนกอินทรีและสุนัขผ่อนคลายก็พอใจ ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยาก
แต่ทว่าข่าวราชโองการมาถึงเหลียวหยาง หลี่หรูป๋อกำลังอยู่ในจวน ซื้อหาหญิงสาวมาจากเมืองหลวงนางหนึ่ง กำลังเสพสุขอาบน้ำกันอยู่ ก็มีคนมาถึงจวน บอกว่านายท่านใหญ่ขอให้ท่านไปพบ
อย่าเห็นว่าหลี่เฉิงเหลียงตอนนี้ไร้ตำแหน่ง หลี่หรูป๋อเป็นผู้บัญชาการ แต่ในตระกูลผู้ใดล้วนรู้ว่าเป็นผู้ใดพูดจามีน้ำหนัก หลี่หรูป๋อรู้สึกหมดอารมณ์ แต่ไม่กล้าช้า รีบแต่งตัวออกไปทันที
“ชาวประเทศวัวเข้าใกล้อี้โจวแล้ว ราชสำนักมีราชโองการให้สวีกว่างกั๋วเตรียมการ เจ้าคิดอย่างไร?”
แม้เป็นหน้าร้อน หลี่เฉิงเหลียงอยู่ในห้องก็ยังสวมเสื้อหนา ถามขึ้นเสียงสั่น หลี่หรูป๋อยกจอกชาร้อนขึ้นจิบ หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า
“ทางนั้นตอนนี้เป็นพื้นที่เจ้าซุนโส่วเหลียนนั่น ให้เขาไปจัดการสิ…”
กล่าวไม่ทันจบ ก็พลันเห็นสีหน้าหลี่เฉิงเหลียงเคร่งเครียด หลี่หรูป๋อรีบหยุด นั่งตัวตรงกล่าวว่า
“ท่านพ่ออายุมากแล้ว สุขภาพไม่ดี อย่าได้กังวลเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ตระกูลหลี่เรามีสายสัมพันธ์…”
“ข้าสุขภาพไม่ดี ก็เพราะเจ้าลูกเลอะเลือนทำให้โมโหอย่างเจ้านี่แหละ รักษาพื้นที่เหลียวซีเจ้าก็พอใจแล้วหรือ เจ้าเป็นผู้บัญชาการ น้องๆ เจ้ายังต้องมาตามมุดหัวในเหลียวซีกับเจ้าด้วย อนาคตวันหน้าเล่า?”
หลี่เฉิงเหลียงเสียงดัง หลี่หรูป๋อรีบลุกขึ้นยืนก้มหน้ากล่าวว่า
“ลูกคิดการไม่รอบคอบ บิดามีความคิดเห็นเช่นไร?”
“หม่าหลินต้องดูแลป้องกันบนทุ่งหญ้า ต้องจับตานอกกำแพงเมือง ทหารในมือเคลื่อนไหวไม่ได้ ซุนโส่วเหลียนมีทหารราวสี่พันกว่าที่ใช้การได้ พื้นที่เหลียวตงหากคิดใช้กำลังกับเกาหลี ผู้ใดจะเหมาะมากไปกว่าเรา ผู้ใดมีกำลังเพียงพอเช่นเรา เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ให้ลูกหลานตระกูลหลี่เราได้สร้างความดีความชอบ ให้ออกไปขยายกิ่งก้านสาขาให้มาก แม้ว่าไปเมืองเซวียนฝู่ ก็ยังมีที่พึ่งพาอาศัย”
“ขอรับๆ ไว้ไปเจรจากับสวีกว่างกั๋ว ข้าจะรีบไปจัดการตอนนี้ดีไหม?”
หลี่เฉิงเหลียงจึงได้พยักหน้า จากนั้นกำชับว่า
“ตัดใจลงเงินทองไปมากหน่อย สวีกว่างกั๋วแม้เส้นสายไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าไม่รู้จักน้ำใจ เงินเจ้าส่งไปมากพอ เขาย่อมไม่อาจไม่ทำงานให้เรา”
ชื่อเสียงสวีกว่างกั๋ว ใต้หล้าล้วนรู้ หลี่หรูป๋อยิ้ม กล่าวว่า
“เรื่องนี้แน่นอน ขอท่านพ่อวางใจ ความดีความชอบเป็นของตระกูลหลี่แล้ว โจรสลัดวัวโค่วจะสักเท่าไรกัน ชีจี้กวงรวมกำลังชาวนาหนึ่งปีก็จับสังหารราวผักปลา ตระกูลหลี่เราถืออาวุธจัดการพวกเขาใช่ว่ายิ่งง่ายหรือ!”