องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1076 แต่ละคนล้วนมีอุบาย
ทัพใหญ่โจรวัวโค่วอยู่เกาหลี แต่สำหรับราษฎรเสิ่นหยางไม่มีอันใดน่าร้อนใจ ราวกับไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเขา สำหรับคนรับใช้ในจวนผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วกลับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
หลังราชสำนักมีราชโองการมา คนมามอบของขวัญถึงหน้าประตูยิ่งมาก ของขวัญราคาสูงก็มอบให้นายท่าน ตนเองก็ได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ
คนรับใช้ดีอกดีใจยินดีปรีดา สวีกว่างกั๋วเองก็หน้าบาน แต่ไม่รู้เหตุใด ส่งคนของผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนกลับไปแล้ว สวีกว่างกั๋วเหมือนว่าเจอเรื่องใดที่ทำให้คิดไม่เข้าใจ อยู่ๆ ก็เคร่งเครียดขึ้นมา ถึงกับสั่งว่าไม่รับแขก ทุกอย่างรอคำสั่งเขา
“ท่านไฉ ท่านรู้สึกว่าอำนาจวาสนาข้าล้วนมาจากผู้ใด?”
ในห้องหนังสือ สวีกว่างกั๋วเอ่ยถามที่ปรึกษาตนเอง ท่านไฉได้ยินถามขึ้นก็งงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“นายท่าน อำนาจวาสนาท่านแน่นอนมาจากฝ่าบาท”
สวีกว่างกั๋วหัวเราะเฝื่อนส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านก็กล่าวเกินไปสักหน่อย อำนาจวาสนาล้วนฝ่าบาทพระราชทาน พูดตามที่ทุกคนเข้าใจกันดีกว่า”
“นายท่านรู้แล้วยังถาม อำนาจวาสนานายท่านแน่นอนเป็นเพราะเหลียวกั๋วกง”
ที่ปรึกษาเป็นดังสหาย แน่นอนวาจาย่อมตามสบายอยู่บ้าง ที่ที่ปรึกษาว่ามาไยสวีกว่างกั๋วจะไม่รู้ เขาถามเช่นนี้มิน่าที่ปรึกษาจึงเล่นฝีปาก สวีกว่างกั๋วพยักหน้า กล่าวว่า
“เป็นใต้เท้ากั๋วกงจริงๆ! กั๋วกงท่านเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ข้าก็ได้เป็นผู้ว่า กั๋วกงเป็นท่านโหว ข้าก็ได้เป็นที่ปรึกษาการเมืองฝ่ายซ้าย กั๋วกงเป็นกั๋วกง ข้าก็ได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิง คิดถึงรองเจ้ากรมหลี่ว์ที่เมืองหลวงก็คงเช่นนี้เหมือนกัน!”
อยู่ๆ เปลี่ยนประเด็นไปกล่าวถึงหลี่ว์วั่นไฉ ที่ปรึกษาท่านนี้เป็นคนที่หลี่ว์วั่นไฉแนะนำมาให้ วาจาเมื่อครู่เหล่านี้ทำให้ที่ปรึกษาเริ่มงง ไม่รู้เจตนาของสวีกว่างกั๋ว รับมือต้องระมัดระวังให้มากอีกหลายส่วน แต่ทว่าตอนนี้อยู่ในพื้นที่ตน วาจาเหล่านี้ก็ใช่ว่าไม่ควรกล่าว
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง ไม่เพียงนายท่านกับใต้เท้าหลี่ว์ ขุนนางบุ๋นบู๊ใต้หล้าหล้ากับเส้นทางการค้าทั้งหมดล้วนมีคนไม่น้อยได้อำนาจวาสนาก็เพราะกั๋วกง กั๋วกงเลื่อนขึ้น ทุกคนก็ได้เลื่อนตาม”
ฟังที่ปรึกษาตอบตามที่คาดไว้ สวีกว่างกั๋วกลับเงียบลง เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหลียวกั๋วกงตอนนี้ตั้งมั่นที่เมืองซงเจียง อำนาจวาสนามั่นคงไม่สั่นคลอน เช่นนั้นเราทุกคนใช่ว่าจะ…สนามแห่งผลประโยชน์นี้ต้องแล่นเรือทวนนี้ ไม่เช่นนี้ก็จะถอยหลัง”
พูดถึงตรงนี้ ที่ปรึกษาไฉก็นิ่งอึ้งไป สมองไวพอ แน่นอนเข้าใจสวีกว่างกั๋วต้องการกล่าวอันใด รู้ที่สวีกว่างกั๋วว่ามานั้นล้วนเป็นจริง
ยังไม่ทันให้ที่ปรึกษาตอบ สวีกว่างกั๋วก็เปลี่ยนบทสนทนากล่าวว่า
“นำกำลังไปเกาหลี เป็นเรื่องสงครามต่างแผ่นดิน ทุกอย่างล้วนต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่อาจมีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ท่านไฉ ท่านร่างหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ผู้บัญชาการหลี่หรูป๋อทำการให้รอบคอบไว้ก่อน อย่าได้เสี่ยงภัยเด็ดขาด จะต้องใช้กำลังทหารน้อยที่สุดลองทดสอบกำลังศัตรูที่แท้จริงก่อน”
ที่ปรึกษาลุกขึ้นยืนรับคำ สวีกว่างกั๋วยังกล่าวว่า
“เรื่องการทหารเป็นเรื่องใหญ่ ร่างหนังสือนี้แล้ว ก็ร่างฎีกาอีกฉบับ ส่งไปเมืองหลวงแจ้งไว้ก่อน ข้ามีจดหมายถึงรองเจ้ากรมหลี่ว์ นำไปส่งพร้อมกัน”
****************
เรือพังยังพอแล่นได้ เปรียบดังตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวแม้ว่าล่มลงแล้ว แต่ที่เมืองหลวงยังคงมีสายสัมพันธ์ ขอเพียงยอมทุ่มเงินลงไป ยังพอสั่งการเคลื่อนไหวได้
จะว่าไปแล้ว การขอออกทัพเองเช่นนี้แต่ไรมาล้วนเป็นเรื่องได้รับการยกย่อง ตระกูลหลี่ครั้งนี้ก็นับว่าทำได้ตามแบบแผน ฎีกาผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วถึงเมืองหลวงก็ได้รับอนุมัติทันที
เช่นกัน หนังสือที่สวีกว่างกั๋วกำชับให้นำทัพรอบคอบไว้ก่อน ไม่เพียงกรมทหารเมืองหลวง แม้ตระกูลหลี่เอง ก็ยังคงคิดว่าไม่ได้มีอันใดผิดปกติ ทุกอย่างเป็นที่รับรู้ทั่วกัน
ตามที่หลี่หรูป๋อว่า ‘โจรวัวโค่วแม้เป็นแค่นกกา แต่ก็ยากเคี้ยว พวกเราไม่จำเป็นต้องไปรบพุ่งเอาโดยตรงอย่างไร้สมอง หากทำให้ทหารตระกูลหลี่เสียหายมากไป ก็ไม่อาจทนรับได้’
ฎีกาขอออกศึก กล่าววาจาคุณธรรมยิ่งใหญ่มากมายส่งไปเมืองหลวงขอออกศึก ได้รับคำสรรเสริญมากมาย ต้นเดือนเจ็ดทหารตระกูลหลี่ไปถึงชายแดนแผ่นดินหมิง ขุนนางบุ๋นท้องที่กลับพบว่าถึงกับไม่มีการมาถึงของลูกหลานตระกูลหลี่
ตระกูลหลี่มีแม่ทัพขุนพลอยู่มาก แค่หลี่หรูป๋อ หลี่หรูเหมยก็มีลูกหลานสิบกว่าคนแล้ว บุตรบุญธรรมอีกหลายสิบคน ตระกูลหลี่ขุนพลทหารหลายร้อยคนได้ ขุนพลแซ่หลี่เหล่านี้จึงจะเป็นแกนสำคัญหลักของขุนพลทหารตระกูลหลี่ หากการต่อสู้ครั้งนี้ถึงกับไม่มีคนตระกูลหลี่มา นี่เป็นท่าทีอะไรกันนี่ ทำให้หลายคนอยากยิ้มก็ไม่ออก อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วถึงการให้ความสำคัญกับการต่อสู้ครั้งนี้
วันที่ 3 เดือนเจ็ด กองกำลังทัพหมิงเริ่มนำกำลังข้ามแม่น้ำยาลู ทั้งหมดพันสองร้อยนาย แถบอี้โจวล้วนเป็นที่มั่นการทหารของผู้บัญชาการซุนโส่วเหลียนแห่งเหลียวหนาน การขนเสบียงกองหลังก็เป็นกองกำลังซุนโส่วเหลียนรับหน้าที่
เห็นๆ ว่าจะได้สร้างความชอบใหญ่ แต่ตระกูลหลี่เหลียวซีกลับแย่งไปก่อน ทุกคนล้วนไม่พอใจ รวมทั้งสายซุนโส่วเหลียนที่เป็นสายตระกูลหลี่ แต่ตอนนี้สายสัมพันธ์ไม่อาจเรียกว่าดี
เห็นตระกูลหลี่ส่งทหารม้ามาแค่พันสอง ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะ แม้แต่เจ้ากรมทหารของพระราชาเกาหลีที่อี้โจวเองก็ทนดูไม่ได้ถึงกับกล่าวว่า
“หากมีทหารแค่นี้ล่ะก็ ไม่สู้รวบรวมทหารแค่เหลียวหนานใกล้ๆ ก็พอ ไยต้องเสียเวลาดำเนินการไปมากมาย!”
วาจาเหล่านี้กล่าวได้ไม่เกรงใจ ขุนพลที่ข้ามแดนไปสอบข่าวศัตรูไม่กล้ารอช้า รีบส่งม้าเร็วไปรายงานสถานการณ์ตอนนี้
ในเมื่อส่งทหารมาเช่นนี้ ก็ย่อมควรส่งทหารตามมาเพิ่ม ตระกูลหลี่รีบส่งกำลังตามมา รองแม่ทัพจู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้า 3,700 ตามมา ข้ามแม่น้ำยาลูเข้าสู่เขตแดนเกาหลี
หนึ่งรองแม่ทัพ สามขุนพลทหาร สองทหารจู่โจม ห้าพันทหารม้า กองกำลังแผ่นดินหมิงเช่นนี้เรียกว่าทัพใหญ่แล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวเอาผิดใดกับตระกูลหลี่ได้
แต่ทว่าคนที่คุ้นเคยกับเมืองเหลียวโจวรู้ว่าไม่ถูกต้องนัก อันดับแรก ขุนพลตระกูลหลี่แห่งเหลียวซีไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นเป็นหนึ่งผู้บัญชาการ หนึ่งรองแม่ทัพ แต่พื้นที่นั้นมักมีขุนพลหลายคนสะสมความชอบได้ตำแหน่งกันมาก รองแม่ทัพก็มีสิบกว่าคนแล้ว อีกเรื่องก็คือเหลียวหนิงแต่ไรไม่ขาดม้า ทหารตระกูลหลี่ยังเป็นทหารเก่าสังกัดตระกูลหลี่เดิม หลายคนเป็นคนจากกองกำลังอื่นหรือพวกมองโกลสวามิภักดิ์ พวกเขาเองมีม้า นำม้ากันมาเอง ทหารม้าที่อื่นใช่ว่าเป็นเช่นนี้
แน่นอน ทหารม้าที่อื่นไม่อาจเทียบทหารม้าเช่นนี้ได้ เทียบกับทหารราบแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย มีความกล้าหาญอยู่หลายส่วน
จู่เฉิงซวิ่นได้รับความไว้วางใจจากทหารตระกูลหลี่มากกว่าสายเครือญาติไกลสายอื่นในตระกูลหลี่ นับว่าเป็นแซ่คนนอกที่เป็นอันดับหนึ่ง ว่ากันว่าตอนนั้นปฏิบัติงานข้างกายหลี่หรูซง นับเป็นคนของตระกูลหลี่ ต่อมาความดีความชอบไม่น้อย จึงได้รับเมตตาจากนายให้กลับไปใช้แซ่เดิมตนเองได้
เห็นจู่เฉิงซวิ่นนำทัพทหารม้าเกือบห้าพันข้ามแม่น้ำมา ขุนนางเกาหลีก็ลอบโล่งอก เกาหลีกับเหลียวหนิงติดกัน คนเกาหลีค่อนข้างเข้าใจเมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่อยู่มาก ตามความคิดพวกเขา มีกองกำลังหนึ่งเช่นนี้เข้าเกาหลี ย่อมสามารถมีชัยได้ วันเวลาฟื้นคืนของเกาหลีใกล้เข้ามาแล้ว
พระราชาซอนโจแห่งเกาหลีรรีบส่งคนนำเงินทองมามอบให้ และยังส่งทหารเกาหลีมานำทาง ขอให้จู่เฉิงซวิ่นนำทัพม้าเหลียวซีรีบเข้าปะทะศึกเกาหลีให้เร็วที่สุด
ตอนนี้เมืองพยองอันมีเพียงสองอำเภอบริเวณแม่น้ำยาลูที่ยังคงรักษาไว้ได้ เช่นนี้ยังพบว่ารอบนอกมีร่องรอยของทหารประเทศวัว ทำให้คนเกาหลีพากันสิ้นหวังอย่างที่สุด รู้สึกว่าหากยังไม่สู้อีก วันแห่งความสิ้นชาติก็คงใกล้เข้ามาแล้ว
กองกำลังหมิงอื่นรอบบริเวณแม่น้ำยาลูกลับไม่ได้รับการยอมรับจากบรรดาคนเกาหลี เช่นซุนโส่วเหลียนที่อี้โจวมีกำลังทหารจำนวนมากตั้งมั่น และยังมีคนจากร้านค้าที่ถูกจ้างมาอีกมาก ที่นี่แน่นอนย่อมมีคนจากร้านสามธารา คนเหล่านี้ก็เหมือนจะรู้เรื่องม้ามาก พอไปตรวจสอบม้าของทหารม้าตระกูลหลี่ ก็รีบไปขอพบซุนโส่วเหลียน
คนสถานะเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนย่อมให้เกียรติหลายส่วน หลังให้เข้าพบ คนที่มาขอพบก็พูดอย่างผู้รู้ว่า
“…ไม่รู้เหลียวซีนำทหารมาอย่างไร ม้าต้องดูแลให้ดี กลางคืนต้องป้อนอาหารอย่างดีจึงใช้งานได้ดี แต่รองแม่ทัพจู่นำม้ามานั้นล้วนมีแต่ม้ากีบเท้าเริ่มเน่า เห็นชัดว่าตลอดทางไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ยิ่งเหลวไหลก็คือ ถึงกับมีม้าไม่มีเกือกม้า นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำลายม้าหรือ?”
อย่างไรก็ตอนนี้ก็เป็นหน้าร้อน เหลียวหนิงกับเกาหลีฝนก็ตกชุก กีบเท้าม้าทกวันย่ำโคลน หากไม่ดูแลให้ดีอยู่เสมอก็ย่อมเป็นโรคง่าย
ได้ยินข่าวนี้ ผู้บัญชาการซุนโส่วเหลียนเหลียวหนานก็ลำบากใจ อดไม่ได้ยิ้มเฝื่อน กล่าวว่า
“หากเป็นคนอื่นข้าอาจไปเตือนได้ได้ แต่ตอนนี้หากข้าไป เกรงว่าจู่เฉิงซวิ่นจะไม่พอใจมาก!”
อันนี้ก็เป็นความจริง ขุนพลตระกูลหลี่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดกับซุนโส่วเหลียน ถึงกับคิดว่าตระกูลหลี่จากคุมพื้นที่ทั้งหมดต้องมาอัดกันในเหลียวซี ก็ล้วนเป็นเพราะซุนโส่วเหลียนทำร้าย จะไปคุยกันได้อย่างไร
“ใต้เท้า นี่เป็นเรื่องแผ่นดิน ไม่อาจละเลยได้!”
คนที่มาเตือนยังคงยืนยัน ซุนโส่วเหลียนมองแล้วก็เงียบไป ส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“ไม่รู้ใต้เท้ากั๋วกงสอนสั่งพวกเจ้ามาอย่างไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เอาเถอะ ข้าจะเสี่ยงภัยไปดูสักครา ไปบอกสักหน่อย ฟังหรือไม่ ก็ไม่อาจรับประกันได้”
แต่ก็แสนบังเอิญ ซุนโส่วเหลียนจัดการการงานเสร็จ ก็มีคนจากเสิ่นหยางนำจดหมายมาให้ซุนโส่วเหลียนฉบับหนึ่ง อ่านแล้ว ซุนโส่วเหลียนก็รีบไปยังเขาฉางไป๋ซานทันที ว่ากันว่าทางนั้นมีร่องรอยชาวประเทศวัว งานทหารสำคัญ ในเมื่อยุ่งมากเช่นนี้ ก็ไม่มีเวลาใดไปพบกับจู่เฉิงซวิ่น
***************
“ท่านแม่ทัพ ทัพใหญ่ไม่คุ้นกับพื้นที่เกาหลี ฟังไม่เข้าใจภาษา โปรดมอบให้เราบัญชาการ นำกำลังปะทะโจรวัวโค่ว จากนั้นความดีความชอบล้วนตกเป็นของท่านแม่ทัพ”
“มารดามันสิ เจ้ามีคุณสมบัติใดสั่งการ พูดมั่วซั่วอีก ข้าขอกลับแผ่นดินหมิงตอนนี้เลย!”
จู่เฉิงซวิ่นในค่ายทหารริมแม่น้ำยาลู เกาหลี ตะโกนด่าขุนนางเกาหลีที่มารอรับ