องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1077 วีรุบุรุษบุกตะลุย
จู่เฉิงซวิ่นคิดไม่ถึง เดิมคิดว่ามาถึงเกาหลี อีกฝ่ายจะนอบน้อมเชื่อฟัง คิดไม่ถึงเกาหลีถึงกับจะมาขอรับอำนาจบัญชาการต่อจากเขา แม้เงินทองให้มาไม่น้อย แต่จู่เฉิงซวิ่นไม่โง่ มอบทหารให้เกาหลีบัญชาการ เกรงว่าไม่ต้องคนเหลียวซีมาจัดการ ก็คงมีคนตัดหัวเขาไปก่อนแล้ว จึงได้ด่าทอออกไปทันที
ทหารเหลียวซีเป็นทหารสังกัดนาย เห็นนายโมโหหนัก ทุกคนก็พากันชักดาบออกมา ทำเอาขุนนางเกาหลีหวาดกลัวสีหน้าซีดเผือด ทหารเมืองเหลียวโจวระดับไหน พวกเขารู้ดี เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเสนอ ก็รีบหยุด ไม่กล้าเข้าไปต่อกรอีก
ทัพใหญ่ประเทศวัวรุกเข้าเกาหลีได้ราวสองสามเดือน พื้นที่เกาหลีทั้งหมดเหลือแค่พื้นที่เล็กๆ ตรงละแวกแม่น้ำยาลูเท่านั้น ทหารเกาหลีทั้งหมดล้วนหนีกันกระจาย ไม่เคยรบชนะแม้สักครั้ง เห็นแผ่นดินตนเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมไม่อาจทำใจยอมรับได้
หากไม่อาจได้อำนาจบัญชาการ เช่นนั้นถอยมาขอร้องต่อ เร่งเร้าให้จู่เฉิงซวิ่นนำทหารออกศึก
ในเรื่องเร่งนำทหารออกศึกนี้ จู่เฉิงซวิ่นเริ่มโมโหมากขึ้น รับคำก็ยังไม่อยากรับคำ ข้ามาที่นี่ทำอะไรกัน ยังตัองให้พวกเจ้ามาสั่งหรือ
แต่ทว่าก็แค่สองวัน ขุนนางเกาหลีนำเงินทองมามอบให้ไม่น้อย ยังมอบสตรีที่ว่ากันว่าเป็นชนชั้นพระญาติ ทำให้จู่เฉิงซวิ่นพอใจมาก วาจาก็เริ่มอ่อนลง
ไม่เพียงได้ผลประโยชน์ จู่เฉิงซวิ่นอายุเพิ่งพ้น 30 หมาดๆ ออกรบตั้งแต่ 15 หลายเรื่องก็ไม่ลังเล ทหารห้าพันเดิมทีให้ทหารเกาหลีรับหน้าที่ดูแล ตามความต้องการของกองกำลัง เกาหลีไม่อาจมีเสบียงมากพอสำหรับคนและม้า อย่างมากสุดก็ได้แค่ห้าวัน ตามรายงานคนเกาหลี เปียงยางตอนนี้มีโจรวัวโค่วราวสามพัน ทหารม้าห้าพันต่อสู้กับโจรวัวโค่วสามพัน มองอย่างไรก็ล้วนชัยชนะแน่นอน ยึดครองเมืองใหญ่นี้ได้ ทัพใหญ่ที่ตามมาย่อมมีฐานที่ตั้ง ความชอบตนเองอย่างไรก็ไม่อาจไม่มี
อีกเรื่องก็คือ เกาหลีคุ้นเคยกับแผ่นดินหมิงมาก มีคนไปเคลื่อนไหวเมืองหลวงไม่ว่า ยังมีคนเคลื่อนไหวในเหลียวหยางกับเสิ่นหยาง หากตนเองดึงดันยื้อเวลาออกไปมากไป ยากที่จะทำให้คนอื่นไม่กล่าววาจาให้ร้าย ถึงตอนนั้นคงจบไม่สวยงาม
หลังตัดสินใจแล้ว จู่เฉิงซวิ่นทำทีลำบากใจก่อนจะรับคำออกศึก ขุนนางเกาหลีได้ข่าวนี้แล้วก็ดีใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่มอบของขวัญสูงค่า ยังมอบทหารเกาหลีให้อีก 700
พอเห็นสภาพทหารเกาหลี 700 แล้ว จู่เฉิงซวิ่นก็ยิ่งดูแคลนโจรวัวโค่ว นี่มันเล่นอะไรกัน เทียบกับทหารราบทำงานกองบริการในทัพของแผ่นดินหมิงยังอ่อนแอกว่าอีก โจรวัวโค่ว มารบกับพวกนี้ทำได้แค่ตีราวกระบอกไม้ไผ่แตกเองงั้นหรือ หากมาปะทะกับกองกำลังม้าเหล็กเรา เช่นนั้นก็รอความตายหายนะเสียเถอะ!
สวรรค์ก็เป็นใจ เหลียวหนิงเดิมฝนตกไม่หยุด พอเข้าเขตเกาหลีมา ท้องฟ้าก็สดใส แสงอาทิตย์แรงสาดส่องพื้นที่เป็นโคลนแห้งสนิทรวดเร็ว เป็นผลดีต่อการเดินทัพใหญ่
ยังมีอีกข้อดีหนึ่ง ก็คือเส้นทางเปียงยางมาอี้โจว เป็นเส้นทางนำบรรณาการมาส่งของทุกปีที่ต้องผ่าน ดังนั้นในเขตแดนเกาหลีนี้จึงเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง มีคนคอยดูแลรักษา ก็ยังเรียกได้ว่าพื้นเรียบและกว้าง เหมาะแก่การเดินทางของกองทหารม้า
ตามมาตรฐานแผ่นดินหมิง เกาหลีนี่เล็กมากจริง จากที่ตั้งค่ายไปยังเมืองเปียงยาง หากเร่งม้าไปวันเดียวก็ถึงได้ แต่ทว่าจู่เฉิงซวิ่นยังจำคำว่า ‘รอบคอบ’ ได้ จึงตัดสินใจเดินทัพระมัดระวัง อย่างไรก็ควรใช้เวลาสองวันเดินทาง
‘หากยึดเมืองเปียงยางคืนได้ ตนเองหลายปีนี้ก็สะสมเงินทองไม่น้อย ความดีความชอบเป็นฐาน เช่นนี้นำเงินทองที่สะสมครึ่งหนึ่งไปเปิดทางที่กรมทหาร อย่างไรก็คงได้ตำแหน่งผู้บัญชาการไหนสักมณฑลมาได้ หรือไม่ก็ได้ไปเป็นรองแม่ทัพพื้นที่สำคัญสักแห่ง อย่างไรก็ดีกว่ามุดหัวอยู่แต่ในเหลียวซี!’
จู่เฉิงซวิ่นในใจคิดแต่เรื่องเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ
***************
ทหารม้าห้าพันเข้ามาสร้างบารมีข่มได้ไม่น้อย จู่เฉิงซวิ่นเองก็มีประสบการณ์มาก ตลอดทางไม่รอช้า จัดการส่งสายสืบทหารออกไปเรียบร้อย แต่ทว่าตลอดทางเข้ามา ไม่เห็นศัตรูอันใด มีเพียงราษฎรเกาหลีอยู่บ้าง เห็นทหารม้าทัพใหญ่ ไม่ คุกเข่าโขกศีรษะก็รีบวิ่งหนี
วันแรกผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี ตกค่ำตั้งค่ายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงได้เข้ากวาดเก็บเสบียงหมู่บ้านรอบๆ มา รวมกำลังชาวบ้านมาเพิ่ม ยังได้สอบถามสถานการณ์ตอนนี้
เหตุที่ยังมีหมู่บ้านนี้อยู่ เพราะโจรวัวโค่วหลังยึดเปียงยาง ก็ปฏิบัติการรวดเร็ว มีกลุ่มทหารวัวโค่วมาหมู่บ้านี้ แต่ไม่ได้ทำอะไรก็ถอยกลับไป
ถามว่าเมืองเปียงยางมีโจรวัวโค่วในเมืองเท่าไรล้วนไม่รู้ พวกเขาไม่หนีก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าเข้าใกล้ไปสืบข่าวโจรวัวโค่วอีก แต่ทว่าล้วนบอกว่าระยะนี้ไม่มีกองกำลังโจรวัวโค่วกองใหญ่เข้าออก
เห็นเมืองเปียงยางมีทหารโจรวัวโค่ว 3,000 เป็นข่าวน่าเชื่อถือได้แล้ว ทำให้จู่เฉิงซวิ่นยิ่งวางใจ ที่สนใจอยู่เพียงสิ่งเดียวก็คือทหารเกาหลี 700 กว่า ตลอดทางมาถึงกับหนีหายไป 200 กว่า ช่างเป็นเศษสวะจริง ขุนพลทหารเกาหลีที่ติดตามมาด้วยยังเอาแต่ประจบว่ากองทัพหมิงตนเกรียงไกร หากให้เกาหลีตนนำทัพ อาจหนีไปมากกว่าครึ่งก็ได้
จู่เฉิงซวิ่นกินดีอยู่ดี นอนหลับมาตลอดคืน อยู่ๆ ก็คิดถึงบทความวิจารณ์ที่เหลียวหยาง วีรบุรุษยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งนำกำลังทหารม้าบุกเข้าไปปราบศัตรูราบคาบ ไม่ทันให้ศัตรูตั้งตัว บุกเข้าเมือง จากนั้นหัวหน้าเผ่ายอมศิโรราบ สร้างความดีความชอบใหญ่ เรื่องเช่นนี้ตอนนั้นพวกคนในตระกูลหลี่ล้วนชอบฟัง ล้วนคิดว่าตนเองก็เป็นเช่นนี้ได้
หนึ่งคืนมาอย่างราบรื่น ตื่นมาก็ทำให้รองแม่ทัพจู่ยิ่งมั่นใจมาก ตนเองนำกำลังมายิ่งใหญ่เพียงนี้ กลางคืนไม่มีการเข้าลอบโจมตีอันใด ย่อมเป็นเพราะศัตรูไม่มีกำลังแท้จริง ไม่กล้าลงมือก่อกวนพลการ หรือว่าศัตรูเองไม่รู้ว่าตนมา หากสามารถคว้าโอกาสนี้บุกเข้าไปได้ คิดถึงเรื่องนี้แล้ว จู่เฉิงซวิ่นเองก็อดไม่ได้ยิ้มกว้างเพ้อขึ้น ทหารในสังกัดก็พากันเยินยอ
ในเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้พลาดโอกาส รีบจัดการให้เรียบร้อยดีกว่า รีบนำทัพออกศึกดีกว่า ดูว่าสามารถตีข้าศึกให้แตกพ่ายได้หรือไม่
เดินทัพมาราวหนึ่งชั่วยามไม่ถึง ก็เห็นเค้าโครงกำแพงเมืองเปียงยางอยู่ไกลๆ จู่เฉิงซวิ่นถ่มน้ำลายอย่างไม่พอใจ เป็นประเทศเล็กจริงๆ พวกเขาบอกว่าเมืองใหญ่หากเป็นเหลียวหนิงก็แค่ระดับอำเภอ เมืองเช่นนี้ช่างไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงจริงๆ
เพราะหลายวันนี้ฝนเอาแต่ตก ดังนั้นทัพใหญ่เดินทัพ ฝุ่นตลบมาก ทำให้จู่เฉิงซวิ่นดีใจมาก อย่างน้อยก็มีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะปิดบังไม่ให้ศัตรูพบตนได้
ไม่นาน สายด้านหน้าก็กลับมารายงานว่า ศัตรูนอกเปียงยางมีราวร้อยกว่ากำลังลาดตระเวน มองไม่ออกว่าระวังตัวแต่อย่างใด
เห็นสภาพพื้นที่รอบๆ แล้ว หากค่อยๆ ย่องเข้าไป สภาพพื้นที่สามารถบดบังกองทัพตนไว้ได้ ยังควรเข้าใกล้ให้มากอีกหน่อย ถึงตอนนั้นก็มีโอกาสพอที่จะบุกเข้าไป เข้าสู่ศูนย์กลางเมืองไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน ถึงตอนนั้นทหารในเมืองแตกตื่น ย่อมเป็นโอกาสตีพ่าย
***************
หากเป็นซุนโส่วเหลียนนำทหารม้าบุกมา ต้องเร่งด่วนจึงจะใช้เวลาสองวัน หากเร่งด่วนไป ม้าวิ่งมาไกล กำลังม้าเสียไปมาก บนสนามรบย่อมเกิดความยุ่งยากใหญ่ แน่นอนไม่ใช่ความยุ่งยากศัตรู สามวันนับว่าเป็นการกระทำที่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนเชี่ยวชาญการศึก เดินทัพมาท่ามกลางโคลนดินในวันหน้าฝนที่เหลียวหนิงก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ทำเอาม้ากีบเท้าเน่าไปหลายตัว
ตอนนี้เริ่มมีม้าทนไม่ไหวแล้ว ที่มองไม่ออกก็เพราะอย่างไรก็มีเวลาพักผ่อน อาหารม้าเพียงพอ
ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นเข้าใกล้พอควรแล้ว สามารถมองเห็นโจรวัวโค่วร่วมร้อยกว่ากำลังหนีกลับกันอย่างแตกตื่นตกใจ บนกำแพงเมืองมีคนส่งเสียงตะโกนดัง ราวกับว่าให้เพื่อนทหารด้วยกันรีบหนี
“ทุกคน ความดีความชอบอยู่ตรงหน้าแล้ว บุกเข้าไป!!”
ชักดาบยาวออกมากวัดแกว่ง จู่เฉิงซวิ่นคำรามดังก้องฟ้า ทหารถ่ายทอดคำสั่งรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ทหารม้าพากันวิ่งทะยานออกไป มองเห็นว่าไม่ไกลนักมีโจรวัวโค่ว ทหารม้าเหลียวซีมั่นใจอย่างมาก โจรวัวโค่วพวกนี้แต่งกายไม่เหมือนกับที่ว่ากันในตำนานเมื่อก่อน ยังมีคนแบกธงไว้บนหลัง แต่ทว่ารูปร่างยังคงเล็กแคระ มองแล้วก็เหมือนหนูตัวเล็กๆ ย่อมไม่อาจทนแรงปะทะได้ ตอนนั้นแต่ละคนล้วนตะโกนดัง เร่งม้าทะยาน
ตอนนี้ทหารม้ามองไปยังเมืองเปียงยางเป็นดังเมืองที่เต็มไปด้วยหัวศัตรูและขุมทรัพย์ บุกเข้าไปได้ ไม่เพียงแต่สังหารสร้างความดีความชอบได้มาก ยังมีสิ่งของที่ได้มาหลังสงคราม ไม่แน่อาจมีสตรีให้เสพสุขอีก ทุกคนไม่รอช้า พากันกรูเข้าไปราวผึ้งแตกรัง
มีคนสังเกตเห็นว่าม้าเหมือนจะไม่ได้ดังใจเท่าไร เมื่อก่อนฟาดแส้ไปทีก็วิ่งทะยาน แต่ม้าตอนนี้ต้องใช้ขอแทง หากทหารทุกคนตอนนี้หน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว ไม่อาจปล่อยตนเอรั้งท้าย แต่ละคนเร่งม้าทะยานไปสุดกำลัง
“จัดแถวๆ อย่าได้เบียดกองกำลังเดินทัพ!!”
อาจเป็นเพราะทหารม้าเหลียวน่ากลัว โจรทหารประเทศวัว จึงได้ถอยหนีไป ราวกับตกใจกลัว ประตูเมืองล้วนไม่ได้ปิด ก็รีบหนีกันเร่งรีบ
แต่เมืองเปียงยางก็ไม่ได้ใหญ่ ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นพากันแย่งกันกรูเข้าไป คิดจะเข้าเมืองไปให้เร็วที่สุด ผลปรากฏเกิดการเบียดเสียดกันที่ประตูเมือง ทหารม้าเหลียวซีแต่ไรล้วนใหญ่โต โอกาสคว้าเงินทองเบื้องหน้า ผู้ใดก็ไม่ยอมรั้งท้าย พากันสบถด่าหยาบคายก่อนจะเบียดอัดกันแน่นไม่สนใจผู้ใด ล้วนพากันเร่งม้ากวัดแกว่งดาบทะยานเข้าไป ถึงกับมีคนถูกลากลงจากหลังม้า
จู่เฉิงซวิ่นโมโหหนักมาก ทหารในสังกัดเขาเรียงแถวใช้ไม้พลองเข้าจัดการความวุ่นวาย จึงทำให้สถานการณ์สงบลง เข้าเมืองกันได้
ขุนพลทหารเกาหลีก้มตัวต่ำยิ่งกว่าต่ำ ปากก็เอาแต่สรรเสริญไม่หยุด แต่วาจาภาษาฮั่นไม่ดีพอ ไม่รู้คำศัพท์มาก จึงพากันพ่นภาษาเกาหลีออกมาแทน จู่เฉิงซวิ่นก็ยิ่งภาคภูมิใจ ที่แท้วีรบุรุษก็คือตนเองนี่เอง กลับไปย่อมได้สารสรรเสริญยกย่อง
ด้านนอกเบียดเสียดกัน เข้าเมืองก็ยังเบียดกัน ถนนแคบมาก ม้าห้าตัวเดินพร้อมกันก็เบียดมาก ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นเบียดกันด่าทอกันขรมไปหมด สถานการณ์ตอนนี้ ผู้ใดบุกมาเข้าไปก่อน ผู้นั้นก็ย่อมเก็บเกี่ยวได้มากสุด ผู้ใดก็ไม่ยอมผู้ใด
หากผู้ใดก็ไม่พบว่า เมืองเปียงยางใหญ่เพียงนี้ นอกจากทหารม้าเหลียวส่งเสียงดังแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เงียบกริบมาก…