องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1080 บอกเหตุพ่ายอย่างละเอียด
“รีบหนี รีบหนี!”
“ท่านแม่ทัพ พวกเราวิ่งมาวันหนึ่งแล้ว หากยังไม่พักม้าคงเหนื่อยตายแล้ว!”
จู่เฉิงซวิ่นใบหน้ามอมแมมไปด้วยฝุ่น บนหลังม้าท่าทางอิดโรยคำรามดัง เสียงแหบอย่างมาก ทหารในสังกัดเองก็ตะโกนรั้งเขาไว้ ม้าตายไป ทุกคนแม้แต่จะหนีก็ไม่มีทางหนีได้แล้ว
ดีที่มีทหารรั้งไว้ ทุกคนไปหาที่ซ่อนได้ก็พากันลงจากม้าพักผ่อน มีทหารม้ายังไม่ลงจากม้า ม้าก็ส่งเสียงเฮือก จากนั้นก็ล้มลง ม้าเหนื่อยตายแล้ว
จู่เฉิงซวิ่นนั่งอึ้งบนพื้น ทหารในสังกัดเขาหลายคนเตรียมออกไปล่าสัตว์รอบๆ ทุกคนพากันนำเสบียงแห้งออกมากิน จู่เฉิงซวิ่นมองไปรอบๆ รอบกายมากสุดก็ 200 คน
ที่หนีออกมาได้ ล้วนเป็นขุนพลทหารและทหารติดตามที่ถืออาวุธและสวมเกราะหู่เวยคิดถึงตอนตนเข้าเมืองมีทหารม้าห้าพัน ตอนออกมามีแค่ไม่ถึง 200 จะกลับไปเจอหน้าใครได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ จู่เฉิงซวิ่นก็รู้สึกเศร้าสลดในใจ เบะปากส่งเสียงร้องไห้ดัง
พอเขาร้องไห้ออกมาเช่นนี้ ทหารรอบๆ ก็คิดเข้าไปปลอบใจ แต่ก็เศร้าเหมือนกัน ล้วนพากันร้องไห้ตาม สภาพตอนนี้อนาถยิ่งนัก
จู่เฉิงซวิ่นร้องไห้เสร็จก็ใช้มือปาดน้ำตาทิ้ง มองไปรอบๆ ตะโกนดังว่า
“ทุกคนอย่าได้เสียใจไป มาๆ พวกเรามีเรื่องต้องพูดให้เหมือนกันก่อน ไม่เช่นนั้นกลับไปย่อมโดนโทษวินัย!”
…จู่เฉิงซวิ่นกลับแม่น้ำยาลูเข้าสู่แผ่นดินหมิง ยังไม่ทันได้ติดต่อกั[ทหารแผ่นดินหมิงทางนั้น ก็ส่งคนของตนไปรายงานข่าวด่วนที่เหลียวหยาง ตามหลักควรรายงานด่วนผู้ว่าการมณฑลเสิ่นหยาง แต่จู่เฉิงซวิ่นไม่สนใจ รีบรายงานไปยังที่นั่นก่อนรายงานผู้ว่าการมณฑลเหลียวหยาง แจ้งกองกำลังตระกูลหลี่ก่อน…
****************
แม่น้ำยาลูกั้นเขตแดนกับแผ่นดินหมิง ด้านหนึ่งมีที่เหมือนว่าเป็นเมือง เป็นที่ตั้งทัพใหญ่ สะสมเสบียง ยังมีพ่อค้ากับแรงงานรับหน้าที่จัดการดูแล ล้วนอยู่กันเต็มพื้นที่ ในนี้ยังมีขุนนางเกาหลีสีหน้าเจียมตัวและราษฎรเกาหลีใช้แรงงานอยู่
องครักษ์เสื้อแพรหลายคนแต่งกายแบบขุนพลทหารมากับชายวัยกลางคนแต่งกายแบบบัณฑิต เดินมายังบ้านไม้พร้อมกัน บัณฑิตนั่นต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพรก็มิได้มีท่าทีด้อยกว่าแต่อย่างใด คนสายตาแหลมคมย่อมมองออก บัณฑิตผู้นี้มีทหารติดตามหลายคน ดูแล้วน่าเป็นทหารผู้ว่าการมณฑล
“เมื่อครู่พระราชาเกาหลียังส่งคนมาว่า ขอให้จู่เฉิงซวิ่นตั้งฐานที่ริมฝั่งแม่น้ำยาลูเกาหลีได้ต่ออีกหรือไม่ อย่าได้รีบกลับไปเช่นนี้ เดาว่าเขาคิดไม่ถึงว่าแม่ทัพจู่จะพ่ายแพ้เช่นนี้ได้ หลายวันก่อนตอนบ่ายก็กลับมาแล้ว!”
นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหนึ่งกล่าววาจาเสียดสีเช่นนี้ บัณฑิตผู้นั้นส่ายหน้ากล่าวว่า
“ใต้เท้าบอกว่า ถามสถานการณ์ให้เข้าใจก่อนค่อยตัดสินใจ ถึงตอนนั้นส่งกลับเหลียวซีไปจัดการ ถือว่าให้หน้าผู้บัญชาการหลี่สักหน่อย”
“ไม่ได้รีบร้อนใด ท่านไฉลำบากมาตลอดทาง ไม่สู้พักผ่อนก่อนสักครู่ แล้วค่อยมาสอบถามดีไหม?”
“เรื่องงานสำคัญ ขอบคุณนายกองร้อยโหวที่หวังดีแล้ว!”
สองฝ่ายกล่าวกันตามมารยาท พากันเดินเข้าบ้านไม้ รอบบ้านไม้ป้องกันแน่นหนา ด้านนอกล้วนมีทหารผู้คุ้มกันจำนวนไม่น้อย
นายกองร้อยโหวกับท่านไฉเกรงใจกันและกันอยู่มาก พอเข้ามาในบ้านไม้ สีหน้าล้วนเคร่งเครียด ในห้องจู่เฉิงซวิ่นสวมชุดธรรมดานั่งอยู่กลางห้องสีหน้าเจียมตัว พอเห็นเขาสองคนเข้ามา ก็รีบลนลานลุกขึ้นยืน ถึงกับใช้ท่าทีแบบผู้น้อยคารวะ กล่าวว่า
“คารวะใต้เท้าทั้งสอง จู่เฉิงซวิ่นมีความผิดแล้ว!”
“แม่ทัพจู่ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ตำแหน่งท่านสูงกว่าเราสองคน ใช่ว่าผิดธรรมเนียมหรือ ขอท่านนั่งเถิด!”
ท่านไฉกล่าวเช่นนี้ จู่เฉิงซวิ่นยิ่งลำบากใจ ยืนไม่กล้านั่ง รีบกล่าวว่า
“จู่เฉิงซวิ่นเป็นแม่ทัพพ่ายศึก ไหนเลยกล้าเหิมเกริมต่อหน้าใต้เท้าทั้งสองได้อีก ยืนก็พอ ยืนก็พอ”
นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรโหว สบตากับท่านไฉ ล้วนนั่งลง ท่านไฉเปิดประเด็นตรงไปตรงมาว่า
“แม่ทัพจู่ ครั้งนี้ข้าน้อยมา ก็เพราะผู้ว่าการมณฑลใต้เท้าสวีฝากมา ถามแม่ทัพจู่ว่าแพ้อย่างไร เหตุใดแพ้ยับเยินเช่นนี้ นายกองร้อยโหวนี่ก็มาสอบถามเช่นกัน ใต้เท้าสวีมีวาจากล่าวกับท่านว่า มีอันใดให้กล่าวมาตรงๆ ทัพใหญ่ปะทะศึก แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา นับประสาอันใดกับเป็นการรบกับโจรวัวโค่วนอกพื้นที่แผ่นดินเรา ย่อมใจกว้างในเรื่องนี้ ไม่เอาผิดท่าน แต่ทว่า อย่าได้ปิดบัง”
‘โครม’ จู่เฉิงซวิ่นคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่า
“ใต้เท้าเมตตา ข้าน้อยซาบซึ้งยิ่งๆ หากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะต้องออกศึกสละชีพอย่างแน่นอน!”
“พูดมา แท้จริงแล้วเหตุใดจึงพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ได้ เกาหลีทางนั้นเป็นอย่างไร โจรวัวโค่วทางนั้นจริงหรือเท็จเช่นไร พูดมา หากมีประโยชน์ อาจมีความชอบก็ได้!”
ในห้องเตรียมกระดาษพู่กันไว้พร้อมแล้ว ท่านไฉคลี่กระดาษออก เตรียมจด
“ใต้เท้าทั้งสอง เกาหลีทางนั้นปากก็ขอให้พวกเรานำทัพไปช่วย แต่เสบียงใดก็ล้วนไม่พร้อม ทหารข้าไปถึง เสบียงมีไม่ถึงสามวัน ข้าพักผ่อนไม่พอ ก็ได้แต่เข้าตีเปียงยาง หวังว่าในเมืองจะมีเสบียงให้บ้าง เตรียมไม่ดี เสบียงไม่พอ ทำให้พ่ายแพ้”
แม้ว่าท่าทีนอบน้อมถ่อมตน แต่พูดถึงสาเหตุพ่ายศึกแล้วก็ยังเหมือนไม่แท้จริง เห็นชัดว่ามีการเตรียมการมาก่อน นายกองร้อยโหวไม่ไว้หน้าอีก เอ่ยขึ้นยิ้ม กล่าวว่า
“ได้ยินเมืองหลวงกล่าวกันมานานแล้วว่าขุนพลเมืองเหลียวโจว รบอาจไม่เท่าไร แต่ความสามารถขุนนางนั้นอันดับหนึ่ง เป็นเช่นนี้จริง!”
จู่เฉิงซวิ่นใบหน้าร้อนเห่อ แต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรต่อหน้าขุนพลท้องที่ยังต้องตัวตรงรอคำสั่ง ตอนนี้เขายังเป็นขุนพลพ่ายศึก ท่านไฉฟังแล้วก็ยิ่งตั้งใจจดเสร็จพยักหน้ากล่าวว่า
“คิดว่าเหตุแห่งการพ่ายแพ้ไม่ใช่แค่นี้ แม่ทัพจู่โปรดเล่าต่อ”
“ข้าเป็นแม่ทัพแผ่นดินหมิง พวกเขาเกาหลีเป็นประเทศราษฎร์ ไหนเลยจะมีอำนาจบัญชาการทัพเราได้ แต่ข้าตั้งแต่มาตั้งฐานที่ริมแม่น้ำ บรรดาพวกเกาหลีก็มาเร่งให้ข้านำทัพตลอดไม่หยุด และยังคิดบัญชาการเอง ข้าคิดก็รู้ แต่ทหารทั่วไปยากจะเข้าใจ อำนาจนี้ไม่เป็นหนึ่ง ทำให้เกิดการบัญชาการสับสนได้ง่ายที่สุด ถึงตอนนั้นทหารไม่ได้เป็นหนึ่ง เป็นเหตุพ่าย”
ท่านไฉจดบันทึกรวดเร็ว ได้ยินจู่เฉิงซวิ่นก็พยักหน้า ไม่ว่าจริงเท็จเช่นไร ที่จู่เฉิงซวิ่นกล่าวมาก็มีเหตุมีผล คิดแล้วก็พอเข้าใจ ท่านไฉเงยหน้าขึ้นบอให้จู่เฉิงซวิ่นพูดต่อ จู่เฉิงซวิ่นก่อนหน้าได้ยินที่ท่านไฉว่ามา หากมีข้อมูลดีพอ อาจไม่มีความผิด มองท่าทีท่านไฉ คิดแล้ว ‘หากมีประโยชน์’ ประเด็นก็คือการเล่าถึงเหตุแห่งการพ่ายศึกนี้ ตอนนี้จึงเริ่มรวบรวมสติ พยายามนึกเค้นออกมาให้หมด พูดถึงเรื่องพวกนี้ก็เริ่มคิดถึงยามนั้นได้หลายอย่าง มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งผุดขึ้นมามาก อย่างไรจู่เฉิงซวิ่นก็เป็นขุนพลทหาร อย่างไรก็ผ่านสมรภูมิการต่อสู้มามาก
“หลังข้ามแม่น้ำไปยังเปียงยาง ไม่ว่าที่นี่หรือที่นั่น พวกเกาหลีก็เอาแต่ว่าโจรวัวโค่วที่เปียงยางมีแค่ไม่กี่พัน แต่พอข้านำทัพเข้าเมืองเปียงยางก็ปะทะศัตรูดุเดือด จึงได้บาดเจ็บล้มตายกันอนาถเช่นนี้ ศัตรูหากไม่มีข้อได้เปรียบกำลังทหาร จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร เมืองใหญ่เพียงนั้นแอบซุ่มป้องกัน ปิดล้อมโจมตี ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวเกินจริง กำลังโจรวัวโค่วในเมืองอย่างน้อยก็หมื่นกว่า จะว่าไป ก่อนข้ามแม่น้ำมา ข้าก็ได้ยินมาว่าโจรวัวโค่วมาเกาหลีสี่หมื่น แต่จากคำพวกเปียงยาง พวกที่หนีทัพกลับมาล้วนเคยเห็นร่องรอยโจรวัวโค่วว่าไม่เพียงแค่สี่หมื่น อาจยังถึงแสนก็ได้”
จู่เฉิงซวิ่นไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคนแท้จริงเท่าไร แต่ตนเองพ่ายศึกมา ก็ต้องคุยว่าจำนวนศัตรูยิ่งมาก ย่อมไม่มีผิดพลาด นี่เป็นความคิดที่คิดเอาเองแต่ก็ได้ผลดี
“ใต้เท้าทั้งสอง พวกเกาหลีไม่แน่ว่าเป็นหนึ่งกับแผ่นดินหมิง อย่าเห็นว่าคนเหล่านี้มาขอร้องน่าสงสารเช่นนี้ พวกทหารเกาหลีที่ติดตามเข้าไปยังเปียงยางร่วม 700 ระหว่างทางหนีหายไปไม่น้อย พอเข้าเมืองได้ โจรวัวโค่วเปิดศึก ทหารเกาหลีเหล่านี้กลับร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับทัพศัตรูในเมือง ถึงกับโจมตีทัพเรา นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เพราะทัพเราเข้าสู่เกาหลี ก็ได้แต่อาศัยพวกเกาหลีนี่นำทาง”
ได้ยินเช่นนี้ นายกองร้อยโหวกับท่านไฉสีหน้าล้วนหนักใจ นายกองร้อยโหวอยู่ๆ ถามขึ้น
“แม่ทัพจู่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ท่านกล้ารับรองไหม วาจาเหลวไหลอาจมีโทษได้นะ!”
“ขอใต้เท้าทั้งสองวางใจ ข้าขอใช้หัวเป็นประกัน หากมีวาจาเหลวไหลเพียงนี้ ตัดไปได้เลย”
ท่านไฉสีหน้าหนักใจเขียนบันทึกลงไป ราวกับว่าเน้นประเด็นหลัก วงกลมใจความสำคัญ จากนั้นก็ส่งสายตาให้จู่เฉิงซวิ่น จู่เฉิงซวิ่นกล่าวมามากเช่นนี้ตอนนี้ไม่รู้จะกล่าวอันใดต่อ ได้แต่คิดนาน ก่อนจะกล่าวว่า
“ก่อนหน้ากองทัพเกาหลีปากบอกว่าโจรวัวโค่วมีแต่ปืนใหญ่เล็กกับดาบ ไม่มีอาวุธอื่น แต่ครั้งนี้ไปเปียงยาง กลับพบว่าโจรวัวโค่วก็มีธนู ข้าตรวจดูแล้ว ถึงกับเป็นธนูแบบกองทัพเกาหลี ทหารโจรวัวโค่วใช้ทวนยาวเป็นหลัก มียุทธวิธี ไม่ใช่แค่ปืนใหญ่และดาบดังว่า”
ท่านไฉจดไปเช่นนี้ รออยู่นานจู่เฉิงซวิ่นยังคงเงียบ รู้อีกฝ่ายหมดวาจาแล้ว จึงได้กล่าวว่า
“แม่ทัพจู่อย่าเพิ่งกลับเหลียวซี ค่ายทหารริมน้ำสำคัญเช่นกัน ทหารกองหนุนย่อมตามมา ถึงตอนนั้นแม่ทัพจู่กับทหารเหลียวซีร่วมกำลังก็พอ ตอนนี้ ให้นำทหารท่านไปสมทบกับผู้บัญชาการซุนรอคำสั่ง ทำงานที่พอทำได้ก่อน”
จู่เฉิงซวิ่นรีบลุกขึ้นคำนับ อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้กลับทำให้เขาเบาใจไม่น้อย หากไล่เขากลับเหลียวซี ดีไม่ดีเหลียวซีจะเอาเขาเป็นแพะรับบาปแทน จู่เฉิงซวิ่นถึงกับคิดว่าระหว่างทางจะหลบหนีไปหาทางในด่านเอาต่อ แต่อีกฝ่ายจัดการเช่นนี้ ในใจเขาจึงเริ่มสงบลง
อย่าเห็นว่าท่านไฉเป็นแค่ที่ปรึกษาผู้ว่าการมณฑล แต่ในทางลับนั้น ท่านไฉผู้นี้สามารถสั่งการแทนผู้ว่าการมณฑลได้ จู่เฉิงซวิ่นกำลังจะขอบคุณ นายกองร้อยก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“แม่ทัพจู่เมื่อครู่กล่าววาจาเหล่านี้ อย่าได้บอกแก่ผู้ใด มีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอนนี้เช่นนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก ใช่หรือไม่?”
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้ารู้หนักเบา ไม่กล้าขออันใด ขอเพียงให้โอกาสข้า ให้ข้าได้ออกศึก……”
“มีโอกาส”
ท่านไฉกล่าวน้ำเสียงเรียบ กับนายกองร้อยออกไปด้วยกัน จู่เฉิงซวิ่นในบ้านไม้แอบได้ยินเสียงด้านนอกแว่วๆ ว่า
“ต้องส่งข่าวไปให้เร็วที่สุด…”