องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1084 อย่างไรก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้
ต้นเดือนเก้า เมืองซงเจียงเริ่มเย็นแล้ว ลูกคนที่ห้าหวังทงคลอดแล้ว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คลอดลูกสาว ชื่อไม่ต่างอันใดกับหวังหลัน หวังทงตั้งชื่อว่า หวังหง
สำหรับว่าเป็นชายหรือหญิงนั้น ความจริงนั้นบรรดาภรรยาหวังทงไม่ใส่ใจ บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกหานเสียก็คือผู้ที่จะได้ครองทุกอย่างไป สถานะคนอื่นๆ วันหน้าก็ล้วนต้องพึ่งพาตัวเอง สถานะบุตรีกั๋วกงนี้วันหน้าย่อมได้คู่แต่งงานที่ดี ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เทียบกับทางเหนือที่เริ่มวุ่นวาย ทางใต้เงียบกว่ามาก ที่กำลังยุ่งกับงานยังคงเป็นเครือข่ายสามธารา ใกล้ศึกใหญ่แล้ว และยังเป็นศึกระดับชาติ ระดมเสบียง การค้าต่างๆ ราคาสินค้าและตั๋วเงิน ต่างๆ นานา เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ผลประโยชน์กำไรสูง ก็มีความเสี่ยงมาก ดังนั้นการขนส่งความเร็วสูงย่อมเป็นเครือข่ายการค้า
ที่หวังทงพยายามทำอยู่ทุกวันก็คือการรวบรวมการข่าวให้มากที่สุด จากนั้นก็ส่งข่าวรายงานด่วนไปยังเมืองหลวงแสดงความคิดเห็นตนเอง
เรื่องพวกนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ยากมาก ใช้เวลาไม่มาก แต่ทว่านอกจากส่งจดหมายกลับวังไปแล้ว ทางหวังทงยังมีจดหมายลับจากเมืองหลวงและเทียนจิน เป็นหน้าที่รับผิดชอบของสื่อชีกับซ่งฉานฉาน
ซ่งฉานฉานคลอดลูกแล้ว สุขภาพก็ฟื้นคืนมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เริ่มรับงานรวบรวมการข่าวกลับมาดูแลอีกครั้ง อย่างไรก็เป็นงานสำคัญ ทำเองย่อมวางใจได้มากกว่า
ความจริงนอกจากตัวงานนี้เป็นงานสำคัญแล้ว ซ่งฉานฉานยังคิดถึงเรื่องอื่นอีก หวังทงทุกวันมาอยู่กับนางเพื่ออ่านเอกสารลับ ทำการวิเคราะห์ข่าว แม้ว่าเป็นเรื่องงาน แต่อย่างไรก็มาใช้เวลาอยู่มากขึ้นอีก สตรีในจวนหวังทงได้เวลาหวังทงไปมากอีกหน่อยก็ย่อมเป็นเรื่องดี
ซ่งฉานฉานผ่านอะไรมามาก ความสามารถในการสังเกตสีหน้าท่าทางในจวนก็ย่อมเก่งกาจที่สุด ซ่งฉานฉานสังเกตได้นานแล้วว่า หวังทงแม้ว่าทุกวันอ่านข่าวท่าทางผ่อนคลาย จัดการการค้าเครือข่ายสามธารา มีสีหน้ายิ้มแย้มกับบรรดาบุตรและภรรยา เสียงหัวเราะไม่ขาด แต่ในความผ่อนคลายเหล่านี้ เหมือนว่าในใจมีความไม่ยินยอมและหงอยเหงาลึกๆ
เป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาสื่อสาร จากสีหน้า จากชีวิตประจำวัน สังเกตก็พอจะกระจ่างได้
ตั้งแต่ข่าวสงครามจากทางเหนือมา หวังทงใช้เวลาในห้องหนังสือนับวันยิ่งมาก ความสามารถในความรอบรู้และจดจำแม่นยำของหวังทงนับว่ามี เมื่อก่อนจดหมายส่วนใหญ่เพียงแค่อ่านรอบเดียวผ่าน แต่ตอนนี้ต้องอ่านหลายรอบ ตั้งแต่จดหมายจากเมืองหลวงกับเหลียวหนิงมาถึง หวังทงเริ่มเงียบมากขึ้น
มักอ่านจดหมายในหนึ่งวันจบ ก็จะตอบฎีกากลับไป จากนั้นหวังทงยังไปหาที่เงียบๆ อยู่คนเดียว
บางครั้ง สตรีในจวนหลายคนแอบคุยกันว่า หวังทงระยะนี้เหมือนนอนไม่ค่อยหลับ มักจะพลิกตัวไปมา ดึกดื่นก็นอนไม่หลับ ตื่นก็เช้ากว่าเมื่อก่อน ฝึกยุทธในจวนกั๋วกงยังมักสวมเกราะ
หวังทงสุขภาพแข็งแรง จิตใจกระปรี้กระเปร่าดี เมื่อก่อนพอถึงหมอนก็หลับได้ ตอนนี้ทีท่าเช่นนี้ย่อมมีเรื่องในใจ ซ่งฉานฉานเองก็เคยเห็นมาก่อน
ตอนนี้ในเมืองซงเจียงอากาศหนาวยามดึก ผ้าห่มต้องหนาสักหน่อย คืนนี้หวังทงอยู่ในห้องนอนกับซ่งฉานฉาน ซ่งฉานฉานให้แม่นมนำหวังอี้ไปนอนแล้ว ตอนเองนั่งหวีผมอยู่
พอตอนเข้านอน ซ่งฉานฉานเหนื่อยแล้ว ก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้หลับไปนานเท่าไรจึงรู้ว่าข้างกายไม่มีคน มองออกไปด้านนอกยังคงมืดสนิท ในใจคิดหรือว่าตอนนี้ก็ออกไปแล้ว
ซ่งฉานฉานหันหน้ากลับเข้ามา พลิกตัวก็ต้องตกใจ ที่แท้หวังทงนั่งอยู่บนเตียง พิงหมอนเหม่อลอย สาวใช้ด้านนอกถือโคมไฟเดินเวรยามสาดแสงเข้ามา อาศัยแสงริบหรี่นี่มองสีหน้าหวังทง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
“นายท่าน เหตุจึงไม่นอนแล้ว!”
ซ่งฉานฉานขยี้ตา ถามเสียงอู้อี้ หวังทงเอื้อมมือไปปัดผมยาวที่ปรกใบหน้าซ่งฉานฉานออก กล่าวเบาๆ ว่า
“นอนไม่หลับ เจ้าไม่ต้องสนใจข้า”
“ข้าจะไปชงน้ำชาใจสงบให้นายท่านสักกา…”
ซ่งฉานฉานพูดไปก็ลุกไป หวังทงกลับเอื้อมมือไปโอบกอดนางแนบกาย กล่าวเบาๆ ว่า
“ไม่ต้องยุ่งยาก นั่งเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
แม้เป็นสามีภรรยา แต่สถานะสูงส่ง งานยุ่งรัดตัว เวลาได้โอบกอดเช่นนี้จึงหาได้ยากยิ่ง ซ่งฉานฉานไม่ได้ดิ้นรนหากยอมนิ่งในอ้อมกอดอบอุ่นโดยดี ความคิดค่อยๆ แจ่มชัด เริ่มคิดเรื่องต่างๆ มากมาย คิดถึงตอนนั้นที่ตนได้พบกับหวังทงที่หอฉินก่วนได้อย่างไร เรื่องเกิดขึ้นมากมายตอนนั้น มีวาสนาใดให้ได้แต่กับหวังทง มาถึงตอนนี้กลายเป็นสตรีที่โชคดี มือหวังทงลูบผมซ่งฉานฉาน การกระทำแสนอ่อนโยนทำให้ซ่งฉานฉานค่อยๆ สลึมสลือ เริ่มจะหลับ ก็ได้ยินหวังทงพูดว่า
“วันเวลาตอนนี้ดีหรือไม่?”
ในยามไม่ได้สติดีนั้น ซ่งฉานฉานยังไม่แน่ใจว่าหวังทงถถามตนเองหรือพึมพำคนเดียวกันแน่ แต่ทว่าก็ได้สติตอบไปเบาๆ ว่า
“ตอนนี้สงบสุข เราทั้งครอบครัวมีความสุขสงบดี แน่นอนเป็นเรื่องดี”
คำตอบนางทำให้หวังทงเงียบไปนาน ความเงียบยามค่ำคืน ซ่งฉานฉานล้วนคิดไปเองว่า เมื่อครู่หวังทงไม่ได้ถาม
แต่ทว่าหวังทงนั่งตัวตรงขึ้น ถอนหายใจกล่าวว่า
“ทางเหนือมีคนเขียนจดหมายถึงข้า บอกว่าใต้หล้ามีคนพึ่งพาบารมีข้ามาก หากข้าบารมีอ่อนลง เช่นนั้นพวกเขาก็จะพลอยอันตรายไปด้วย จวนเหลียวกั๋วกงมีกิจการมากมายก็จะพลอยโดยผู้อื่นมองเป็นเนื้อก้อนโต ยังว่า อำนาจนี้ก็เหมือนกับพายเรือทวนน้ำ หาไม่พายไปข้างหน้าก็ย่อมถอยหลัง”
หากเป็นภรรยาคนอื่น ก็คงคงกล่าวว่า ‘นายท่านคิดเช่นไรก็เช่นนั้น’ ทว่าซ่งฉานฉานอยู่ข้างกายหวังทงแต่ไรก็มักออกความเห็น หลายเรื่องล้วนให้ความเห็น
ซ่งฉานฉานเงียบไปครู่หนึ่ง ก็แนบกายชิดใกล้หวังทง กล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน เกาหลีทางนั้นหากไม่เกิดเรื่อง จดหมายขุนนางเมืองหลวงมาเมืองซงเจียงนับวันยิ่งน้อยลง เมืองหลวงเริ่มเอ่ยถึงชื่อนายท่านน้อยลง…”
“ใช่ ไม่มีคนกล่าวถึง ไม่มีการติดต่อ พระเมตตาเพียงใดก็ย่อมจืดจาง นี่เป็นหลักการ…”
หวังทงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ เงียบลงอีกครั้ง ซ่งฉานฉานคิดแล้วก็กล่าวเบาๆ ว่า
“ตอนแรกที่ได้รู้เกาหลีเกิดความวุ่นวาย นายท่านเริ่มฝึกกำลังทหาร ยังแสดงการซ้อมรบกับทหารติดตาม นายท่านทำเช่นนี้ ในใจก็คงตัดสินได้แล้ว ไม่ใช่หรือ?”
ซ่งฉานฉานกล่าวเช่นนี้ หวังทงอึ้งไปสนิท เงียบไปนาน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมา โอบกอดนางแรงขึ้นอีก กล่าวว่า
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง คิดอยากทำอย่างไร ก็ควรทำเช่นนั้น ที่จริงในใจข้าก็ตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่ข้าเองไม่รู้ตัวเอง และคิดไม่ถึง ไม่ก็ไม่อยากคิดถึงก็เท่านั้น”
“นายท่านในเมื่อตัดสินในแล้ว เช่นนั้นก็ทำไปตามที่ใจคิดเถิด แต่ขอนายท่านจดจำไว้ว่า นายท่านออกศึก ข้าและน้องๆ ทั้งหลายล้วนตกในความหวาดกลัว นายท่านจะต้องดูแลตนเองให้ดี”
“อืม…”
หวังทงรับคำ สามีภรรยาคุยกันถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็ไม่จำต้องกล่าวอีกแล้ว ทั้งสองอิงแอบเงียบๆ รู้สึกสบายมาก เงียบไปนาน หวังทงจึงได้กล่าวว่า
“แต่ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมืองหลวงทางนั้นไม่รู้มีคนเท่าไรไม่อยากให้ข้ากลับคืนตำแหนงอีก ฉานฉาน ทางเราในเมืองหลวงยังมีสายสัมพันธ์ที่ไม่เปิดเผยตัวอีกกระมัง?”
“มีอยู่ราวสิบกว่าคน คนเหล่านี้ถึงกับไม่รู้เป็นนายท่านให้ผลประโยชน์พวกเขา แต่เราก็ย่อมใช้งานได้หมด”
“รีบจัดการได้แล้ว ส่งคนมีจดหมายไปยังซานเปียว ส่งคนนำจดหมายไปเมืองหลวง ยามนี้ แค่พวกเราพูด น่าจะไม่ได้เกิดผลอันใด แต่หลายคนที่เป็นกลางออกมาพูด ความมั่นใจน่าจะมีหลายส่วน”
สามีภรรยาพูดถึงตรงนี้ บรรยากาศอบอุ่นก่อนหน้าลดลงไม่น้อย เหลือเพียงแค่เรื่องงาน ซ่งฉานฉานรับคำ หยิบดินสอถ่านและกระดาษหัวเตียงมาจดอย่างรวดเร็ว จดเสร็จก็เงียบไปกล่าวว่า
“นายท่าน ข้าคิดว่าสถานการณ์เมืองหลวงตอนนี้ แม้ว่าพวกเราทำได้เกินสิบส่วน สุดท้ายก็ยังคงเป็นฝ่าบาทตัดสินพระทัย เรื่องนี้ก็ไม่แน่…”
“ข้ารู้ เราทำที่เราควรทำ หากสุดท้ายไม่สำเร็จ ก็ย่อมเป็นลิขิตสวรรค์แล้ว ลิขิตสวรรค์ยากฝืน เช่นนี้ก็กล่าวอันใดไม่ได้แล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น หวังทงกินอาหารเช้าเสร็จ เรื่องแรกที่ทำก็คือให้ทหารติดตามกับกองกำลังตนเองในเมืองซงเจียงในบังคับโดยตรงของตนมารวมกัน พูดถึงการรบเกาหลี เราเป็นทหารราชสำนัก ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในยามคับขัน ไม่อาจไม่พร้อมได้ จากนี้ไป ทุกคนทุกวันต้องอยู่ในสภาวะพร้อมออกศึก ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้แม้แต่น้อย ทุกวันต้องเร่งฝึกซ้อมกำลัง
คำสั่งนี้สำหรับทหารติดตามจวนเหลียวกั๋วกงไม่มีอันใด พวกเด็กหนุ่มที่ฮึกเหิมต่างก็ต้องการเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หวังทงแสดงแผนรบกับพวกเขา ล้วนทำให้พวกเขาแต่ละคนคันไม้คันมือแทบทนไม่ไหว ตอนนี้เร่งฝึกซ้อม พอดีได้ระบายกำลังที่อัดแน่นออกเสียบ้าง เช่นนี้ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกว่าทำไม่ตนเองไม่ได้ออกสนามรบ ถึงกับมีคนไปขอร้องหวังทง ขอแม่ทัพใหญ่เมตตา เขียนสาร ส่งตนไปสนามรบ ล้วนถูกหวังทงด่ากลับไป
ทหารราบฝึกกันเช่นนี้ แต่ที่กองเรือต้องทำนั้นไม่เหมือนกัน ลูกเรือจากฮกเกี้ยนแต่ละลำให้ลงจากเรือเดิม ไปยังเรือลำใหม่หลายลำ ออกทะเลปะปนไปพร้อมกับคนบนเรือโปรตุเกส เพราะเรือไปยังประเทศวัวส่วนใหญ่เป็นเรือฮกเกี้ยนกับเจ้อเจียงทางใต้ พวกเขามองไม่ออก สืบข่าวได้
สำหรับเรือที่เหลือนอกจากไว้แล่นเพื่อการค้าแล้ว ที่เหลือก็จอดรอที่ท่าเรือได้เกินสามวันแล้ว ล้วนถูกส่งไปร่วมฝึกซ้อม บ้างก็ร่วมออกทะละกับกองเรือสามธารา บ้างก็ออกทะเลร่วมกับกองกำลังทางน้ำในพื้นที่ แต่ละรูปแบบและการจัดการ ทำให้หลายคนเริ่มตื่นตัวขึ้น ไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวตามสบายอีก
เช่นนี้ถึงกับทำให้บรรยากาศสนุกสนานในเมืองซงเจียงกับแดนใต้ลดลงไม่น้อย จะรบกันแล้ว ย่อมมีสินค้าราคาสู.ขึ้น ทุกคนต้องเตรียมการจัดการหรือไม่? และยังมีพวกลูกหลานตระกูลใหญ่และชนชั้นสูงคิดจะมาร่วมออกศึกด้วย บางทีอาจจะมีโอกาสออกศึก