องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1085 พูดตามเนื้อผ้า
เมืองหลวงเป็นเมืองหลวงแห่งแผ่นดินหมิง บรรดาเชื้อพระวงศ์ พ่อค้า ขุนนางใหญ่ ล้วนอาศัยกันที่นี่ สิ่งของฟุ่มเฟือยเลอค่าอันใดล้วนไม่ขาดแคลน สิ่งของสูงค่าอันใดทุกคนล้วนซื้อไหว
ร้านค้าเครื่องประดับก็เช่นกัน ร้านพวกนี้สินค้าล้วนทำด้วยเงินทองเพชรพลอยมีค่า ยังเป็นงานประณีต ทุกชิ้นล้วนราคาไม่เบา เงินทองเก็บไว้ในร้านค้า เงินทองไหลเข้าไหลออก ล้วนจำนวนไม่น้อย
หากกล่าวว่าเขตอุดรเป็นร้านค้าเครื่องประดับสำหรับบริการชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่ เช่นนั้นค้าค้าเครื่องประดับเหล่านี้ย่อมมีเงินทองเข้าออกทุกวัน เงินทองที่เก็บไว้ในร้านก็ย่อมมีจำนวนไม่น้อย
ตั้งแต่เทียนจินเปิดเมืองท่า สินค้าเครื่องประดับจากตะวันตก จากอาหรับ จากชมพูทวีป หรือแม้แต่สินค้าเครื่องประดับประเทศวัวก็เริ่มออกสู่ตลาด
สินค้าพวกนี้ดูแล้วก็ไม่แน่ว่าจะประณีตเท่ากับของแผ่นดินหมิง แต่ได้เปรียบที่มีกลิ่นอายต่างชาติ ในสายตาพวกมากอำนาจวาสนาแผ่นดินหมิง สินค้าเหล่านี้แปลกจนเรียกได้ว่าไม่รู้จักละอาย ก็คือว่าเหมาะไว้สำราญฟุ้งเฟ้ออย่างยิ่ง ดังนั้นสินค้าต่างชาติต่างๆ เหล่านี้จึงได้ออกสู่ตลาด และได้รับความนิยม
ร้านค้าเครื่องประดับเช่นนี้ไม่น้อย ใหญ่สุดก็มีสี่ร้าน สี่ร้านนี้ล้วนเป็นชาวเมืองหลวงเปิด เบื้องหลังย่อมเป็นชนชั้นสูงบ้างก็เป็นขันที อย่างไรก็มีสถานะยิ่งใหญ่ เป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้
แต่ทว่ามีแต่คนวงในเท่านั้นที่รู้ว่า ชนชั้นสูงและขันทีเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ชื่อ หากล้วนลองสืบค้นวกไวนมากหลายชั้นก็จะพบว่าพวกเขาแค่แบ่งผลกำไร ยามสำคัญออกหน้าเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคิดการไม่ซื่อกับร้านพวกนี้ เช่นว่าคิดจะอาศัยโอกาสฮุบหุ้นอีกฝ่าย แต่พอลงมือไปจึงพบว่า เบื้องหลังของอีกฝ่ายนั้นเป็นระดับยิ่งใหญ่มาก คนระดับนี้พวกเขาแม้มองไม่เห็นชัด แต่ก็พอจะลงมือเมื่อใดบี้พวกเขาตายได้ ไม่ก็เก็บพวกเขา ไม่ก็เตือนพวกเขา คนเหล่านี้ล้วนสงบสุขต่อ ไม่มีผู้ใดกล้าไปสอบถามเรื่องการค้าและบัญชีกับร้านค้าเหล่านี้อีก
องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาให้ความสนใจร้านค้าเช่นนี้ แต่ทว่าข่าวสองแห่งที่ได้มาก็ล้วนมีขุนนางสักคน ไม่ก็คนในครอบครัวของชนชั้นสูงร่วมอยู่ในนั้นด้วย
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ร้านเครื่องประดับไม่ได้ทำการค้ากับคนเหล่านี้เท่านั้น ไม่ใช่การค้าของสตรีหลังบ้านของพวกมากอำนาจวาสนา หรือจะให้ผู้ชายทำกันล่ะ? สังเกตการณ์ได้แค่นี้เท่านั้น ไม่มากไม่น้อย แต่ทว่าหากทำความเข้าใจลึกลงไปอีกนิด ก็จะพบว่าไม่ใช่ดังที่ว่า
เช่นว่าฮูหยินเจ้ากรมหนึ่งซื้อกำไลเงินสองคู่จากร้านค้านี้ กำไลเงินราคาไม่เท่าไร สองคู่ก็ไม่เท่าไร ในสายตาระดับเจ้ากรมก็แค่ภรรยาพ่อบ้านสวมใส่เท่านั้น แต่กำไลเงินสองคู่กลับบรรจุในกล่องทองคำ กล่องทองคำนี้ห้อยพู่แดง พู่นั้นมีหยกชิ้นงามห้อยอยู่
กล่องทองคำห้อยพู่หยก งดงามจับตา ผลปรากฏร้านค้านี้กลับย้อมสี ทำเหมือนเป็นกล่องไม้ ของส่งไปในจวนเจ้ากรม เจ้ากรมและฮูหยินยังโมโหมาก คืนกล่องมา แต่ทว่าตอนคืนมา ก็กลายเป็นกล่องไม้จริง เรื่องยังไม่จบ จากนั้นกล่องทองคำห้อยหยก ฮูหยินก็นำไปจำนำที่ร้าน ร้านจำนำพอเห็นก็รู้ว่าเป็นของมีค่ามาก หยกห้อยเป็นของโบราณ จึงให้ราคาสูงมาก
เข้าๆ ออกๆ ทุกอย่างล้วนเริ่มเป็นไปตามแผน เงินก้อนโตก็เข้ากระเป๋าเจ้ากรมไปอย่างง่ายดายและไร้มลทิน
แน่นอน การค้าปกติก็ทำ แต่หากลองดูบัญชี ไม่กำไรอันใดเท่าไร กำไรเกรงว่าคงไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว และก็เช่นนี้เอง ยังต้องได้รับเงินมาเพิ่มจากนอกร้านอีกด้วย
แต่ใต้หล้านี้ไม่กฎใดที่ว่าทำการค้าได้แต่กำไร ไม่อาจขาดทุน บัญชีตรงหน้า กำไลเงินสองคู่ก็ขายออกไป เงินก็รับมาสดๆ ผู้ใดจะกล่าวว่ามีปัญหาได้กัน
ร้านเครื่องประดับหลายร้าน มีร้านทำการค้าเช่นนี้ร้านสองร้าน ล้วนเป็นความลับมาก เป็นถึงระดับเจ้ากรม ทำอันใดย่อมระมัดระวังมาก พวกเขาเป็นห่วงว่าตนเองจะเผยจุดอ่อนให้ร้านเครื่องประดับเหล่านี้จับได้ ก่อนหน้าก็ต้องส่งคนไปจับตาไว้ก่อน ไม่ก็ใช้สายสัมพันธ์ส่งสายองครักษ์เสื้อแพรหรือพวกศาลซุ่นเทียน กรมอาญาไปแอบตรวจสอบก่อน ล้วนไม่มีปัญหา จึงได้ค่อยๆ วางใจ
ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่ รู้จักรับเงินแล้วก็ย่อมมีเรื่องให้ใช้งานในวันใดวันหนึ่ง ย่อมไม่มีเหตุผลที่รับแต่เงินไม่ทำงาน เงินถึงมือสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ร้านเครื่องประดับเหล่านี้มักมีคนดูแลเป็นระดับแนวหน้า ไม่ก็คอยหาการค้า ไม่ก็อยู่เฉยๆ ที่อย่างหอคณิกาอันใดก็ล้วนไปไม่น้อย คำสั่งและรายงานล้วนทำการกันในที่เช่นนี้อย่างไม่มีผู้ใดทันรู้ทันเห็น ไปถึงยังคนที่ควรรับรู้
กลางเดือนเก้า สินค้าจำนวนมากจากเทียนจินก็มาถึง คนที่ได้เห็นล้วนอุทานตกใจ น้ำหนักมากจริง รอยล้อรถกดทับพื้นดินลึกมาก ในนั้นย่อมเต็มไปด้วยเงินทองของมีค่า ต้องเป็นของสำคัญ
พอตนได้สินค้ามา ก็ย่อมทำตามธรรมเนียม ส่งเทียบเชิญไปยังชนชั้นสูง แจ้งว่าร้านได้มีสินค้าใหม่มาไม่น้อย ขอให้แต่ละฮูหยินมาเลือกชมที่พึงใจ
พอมาแล้ว แน่นอนล้วนได้กลับไปมากมาย ผ่านกระบวนการต่างๆ ก็มีเงินก้อนโตเข้ากระเป๋าอย่างเปิดเผย โรงบ้านเมืองหลวงทงโจว เดิมมีเงินสะสมไว้สามหมื่นตำลึง ใช้ทีเดียวหมด
*****************
เช้านี้ ผู้ขุนนางมีคุณสมบัติเข้าประชุมราชสำนักล้วนมารอกันที่หน้าประตูวัง เมื่อก่อนล้วนฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มากันแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ธรรมเนียมยิ่งกว่า ธรรมเนียมบรรพชนถูกเปลี่ยนแปลง กินอาหารเช้าแล้วค่อยมาก็ได้ แต่ตอนกลับก็จะสายหน่อย ก็เป็นตามความต้องการทุกคน พวกที่ยังหัวเก่าส่งเสียงไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีคนจะสนใจ
ตอนนี้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงมีภาพหนึ่ง ทูตเกาหลีมาคุกเข่าร้องไห้หน้าประตูตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขอให้แผ่นดินหมิงส่งทหารไปช่วย
ในวังทุกครั้งล้วนส่งขันทีมาปลอบใจ ถึงกับยังนำอาหารมาให้ แต่ไม่เคยรับปากอันใด เริ่มแรก ขุนนางใหญ่ยังตื่นเต้น ต่อมาก็เริ่มเบื่อหน่าย สุดท้ายไม่สนใจ พวกที่โขกศีรษะร้องไห้ไป พวกเราก็คุยกันเองไป
เนื้อหาที่สนทนากันก็เกี่ยวข้องกับเกาหลี แผ่นดินหมิงนับวันความชอบทางการทหารยิ่งมากขึ้น มีความชอบก็ย่อมมีอำนาจวาสนาไหลมาเทมา มีความชอบทางการทหาร สามารถแผ่อานิสงส์ให้คนมากมายได้ ตระกูลหลี่ทำผิดพลาดหลายครั้ง เหตุใดไม่ล้ม ยังมีสองผู้บัญชาการแลรองแม่ทัพสิบกว่าคนได้ ก็เพราะหลี่หรูซงหลายปีนี้สร้างแต่ความชอบ สำหรับหวังทงแล้ว ทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ผู้ใดกล้าขวางเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ละอิทธิพลอำนาจก็เริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้น ทุกคนในตระกูลหลี่ก็เคลื่อนไหวมาก ท่าทีนี้ทำให้ทุกคนรู้ในใจ ตระกูลหลี่ทำการตามธรรมเนียม เจ้ายอมช่วยตอนนี้ วันหน้าย่อมมีตอบแทน หวังทงไม่ทำอันใด ก็นับว่าเป็นเพราะมั่นคงแล้วไม่อยากทำอันใด แต่จะว่าไปหากหวังทงมาขอจริง พวกเขาก็ไม่อยากรับ อย่างไรก็ระหว่างตนและเขานั้นก็มีเรื่องกันมามาก
“…ทางใต้เท้ามหาอำมาตย์เหมือนจะเงียบนะ…”
“…รองอำมาตย์เสิ่นเองก็เหมือนส่งเสียง แต่เหมือนมีใครเตือนจึงได้หดหัวกลับไปอีก…”
ทุกคนคุ้นเคยกันดี พากันแอบซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ทางนี้คุยกันอยู่ ทางนั้นก็มีอีกคนกล่าวว่า
“ได้ยินว่าตระกูลหลี่ไปพบเซินสือหัง? ขอเซินสือหังออกหน้า ก็มีน้ำหนักอยู่หลายส่วน แต่ทว่าเซินสือหังตอนนี้ถ่อมตนยิ่ง ไม่ยอมให้พบ!”
“…ผุยๆ ตระกูลหลี่ก็ช่างกล้าลงทุน…”
“เจ้าคิดดู สถานการณ์ตอนนี้ ตระกูลหลี่หากไม่ออกหน้าเรื่องนี้ สถานะมั่นคงหรือไม่ เกรงว่าทรัพย์สินเงินทองคงหมดสิ้นแล้ว ไม่ร้อนใจได้หรือ?”
“เกาหลีทางนั้นจะไปเท่าไร ก็แค่โสมเกาหลี กระดาษเกาหลี ที่นั่นข้าว่าไม่ต้องไปสนใจดีกว่า”
หวังซีเจวี๋ยอีกทาง เขาไม่ลงจากเกี้ยว มีคนรับใช้ยกโสมให้เขาดื่มในเกี้ยว จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ เขาไม่ขยับ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ขยับ ไม่นานก็มีคนเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบว่า
“ใต้เท้า มีคนว่าพานจี้ซวิ่นกรมโยธาแพร่ข่าว ว่าหวังทงเหมาะเป็นแม่ทัพใหญ่ คิดจะกล่าวในการประชุมขุนนาง… ”
ได้ยินเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะปิดลงอีก กล่าวเบาๆ ว่า
“เหลวไหลสิ้นดี มีน้ำยาแค่นี้หรือ คนอื่นแค่ออกเงินค่าพิมพ์หนังสือให้ อะไรก็ล้วนลืมสิ้น เรื่องเช่นนี้ไหนเลยเป็นเรื่องขุนนางเราออกความเห็น เป็นโอรสสวรรค์ตัดสินพระทัย บอกให้เขารอบคอบหน่อย”
คนนอกเกี้ยวรีบรับคำ ก่อนจะรีบจากไป หวังซีเจวี๋ยจึงได้ลืมตาขึ้น สบถเสียงเย็นว่า
“เลอะเลือน!”
*****************
ผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมราชสำนักล้วนลงความเห็น เรื่องผู้ใดเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่พูด รอดู แต่รับผลประโยชน์ ไม่ก็วิเคราะห์ส่วนได้ส่วนเสียตนเอง ให้คนเบื้องหน้าไปโบกธงโวยวายก็พอ ตนเองไม่จำเป็นต้องโดดร่วมวงเร็วเพียงนี้
แต่การประชุมราชสำนักวันนี้กลับเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ เจ้ากรมอาญากับเจ้ากรมอากรล้วนออกมายื่นฎีกา คิดว่า แผ่นดินหมิงบุกเบิกอาณาเขตในหลายปีมานี้ สถานการณ์ยิ่งต้องการความมั่นคง ไม่อาจปล่อยปละละเลยประมาทได้ ตอนนี้เกาหลีมีทัพใหญ่โจรวัวโค่วรุกรานมา ราชสำนักแม้ว่ามั่นใจ แต่ก็ต้องใช้สิงโตจับกระต่ายรับสถานการณ์ ไม่อาจประมาทแม้แต่น้อย
ขุนนางฝ่ายสำนักตรวจสอบก็ออกมายื่นฎีกา ว่าตอนนี้แผ่นดินหมิงที่นำกำลังแข็งแกร่งเก่งกล้าได้ก็มีแต่กองกำลังหู่เวย กองกำลังหู่เวยแต่ละหน่วยผู้ใดมีความมั่นใจที่สุด เคยมีชัยชนะมาก่อน ก็มีแต่หวังทง มีตัวอย่างจากเมืองกุยฮว่าเฉิงกับเจี้ยนโจว เกาหลีไม่เท่าไร
คนผู้นี้ใช่ว่ารู้เรื่องการทหาร แต่เรื่องที่กล่าวว่าล้วนกล่าวได้มีระเบียบแบบแผนแบบคนนอก หากพวกเขาในสายตาราชสำนักสายใดไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่สายหวังทง ถึงกับการค้าที่เทียนจินกับเมืองซงเจียงล้วนไม่มีมากนัก
วาจาพวกเขา จากฎีกาแล้ว ไม่มีเอนเอียง การยกตัวอย่างก็ยกไปตามความเป็นจริง
ดังนั้นแม้คนออกมากล่าวไม่มาก แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนว่า ‘พูดตามเนื้อผ้า’ วาจาขุนนางเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลพอควร เดิมราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนเห็นกับการให้หลี่หรูซงเป็นแม่ทัพ ตอนนี้อยู่ๆ ก็เริ่มเสียงแตก
แต่ประเด็นปัญหาก็คือ โอรสสวรรค์ยังไม่ตัดสินใจ แน่นอนไม่มีคนสังเกตเห็นว่าใต้เท่าที่ออกมากล่าวเหล่านี้ ฮูหยินล้วนเคยไปยังร้านเครื่องประดับ…