องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1086 สายลมเริ่มกระหน่ำรุนแรง
ชอลซานดง เมืองพยองอัน เกาหลี (“ดง” เป็นระดับหมู่บ้านในแผ่นดินหมิง) มีเส้นทางตัดตะวันออกไปตะวันตกสายหนึ่ง ไปยังแผ่นดินหมิงได้ เมื่อก่อนยามเทศกาลล้วนมีงานให้ทำกันมาก ล้วนไปหางานทำที่แม่น้ำยาลูและค้าขายกัน ชาวนาละแวกใกล้ก็ย่อมมาทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ
แต่ทว่าปีนี้เส้นทางนี้เงียบเหงามาก สองข้างทางล้วนไร้ควันไฟปรุงอาหารของบ้านเรือน มีแต่หนีเข้าไปในป่าลึก บ้างก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลยทัพใหญ่โจรวัวโค่ว
ชอลซานดงอยู่ติดเขาชอลซาน เดิมเป็นเนินเขาที่ป่าไม้เขียวชอุ่ม ไม่มีควันไฟหุงอาหารชาวบ้าน มีสัตว์ป่าถึงกับเดินไปมาบนท้องถนน
แม้ยามนี้เป็นปลายเดือนเก้า เกาหลีหลายแห่งล้วนหิมะตกระลอกแรกแล้ว บนเส้นทางเหมือนเห็นสัตว์จำพวกกวางโร สัตว์ตัวนี้เหมือนเป็นจำพวกกวาง แต่ถูกเรียกว่า กวางโรจอมโง่ ความจริงนั้นระวังตัวมาก พอมีลมพัดก็จะหนีทันที
มีกวางโรตัวหนึ่งกำลังจะวิ่งผ่านมา พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าด้านหน้าก็รีบหันหลังกลับทันที รวดเร็วมาก สองข้างทางหญ้าขึ้นสูง กวางโรวิ่งไปได้สองสามก้าว ก็หันกลับมา สิ่งไปตามเส้นทาง กวางโรกำลังจะวิ่งผ่านทางสายนี้ ก็เหมือนตกใจหันหลังกลับ คอกวางถูกธนูดอกหนึ่งปัก กวางโรถูกยิงล้ม
“เยี่ยมยอด คืนนี้มีเนื้อกินแล้ว!”
นายพรานบนหลังม้าสามนายล่าสัตว์ไปหยุดหน้ากวางโร คนหนึ่งยิ้มพูดขึ้น อีกคนก็ยิ้มตาม
“น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาสุราเกาเหลียงร้อนมาด้วย มีสุราและเนื้อ นี่มันอุดมยิ่ง!”
คนเหล่านี้คลุมด้วยเสื้อหนัง น้าวธนู บนอานม้ายังมีดาบและขวาน นายพรานยังมีอาวุธเช่นนี้ได้ ธนูเห็นชัดว่าเป็นอาวุธทางทหาร ดาบและขวานไม่ใช่เครื่องมือยังชีพราษฎร หลายคนล้วนพูดสำเนียงเหลียวตง หากคนพอฟังออกก็ย่อมแยกออกได้ว่า นี่ก็คือที่เรียกว่า ‘หน่วยลาดตระเวนโต้รุ่ง’ ทหารม้าเก่งกล้า ใช้เป็นสายสืบ มักปฏิบัติการลำพัง
สองคนคุยหัวเราะกันเสียงดัง คนหนึ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า
“พวกเจ้าเบาหน่อย ข้างหน้าหลายวันก่อนมีโจรวัวโค่วนับหมื่นอยู่ ผู้ใดจะรู้มีสายโจรวัวโค่วหรือไม่……”
“พวกเรามาได้จะสามวันแล้ว แม้แต่คนเกาหลีก็เห็นไม่กี่คน ไหนเลยมีโจรวัวโค่ว ไม่แน่ว่าล้วนหดตัวอยู่ในรังผิงไฟกันอยู่!”
อีกคนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ คนที่เหลือสองคนล้วนส่ายหน้ายิ้ม อยู่ ๆ ก็มีเสียงลมดังแว่วมา สองข้างทางต้นหญ้าสั่นไหว ความจริงนั้นบอกว่าเป็นทาง ตอนนี้บนทางล้วนมีกองหญ้าแห้ง เทียบไม่ได้กับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ชอุ่ม
ตอนนี้เป็นยามปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมพัดเป็นปกติ คนที่แสยะยิ้มขึ้นก่อนก็หันไปน้าวธนูใส่ โมโหตวาดว่า
“ในพุ่มไม้มีคน!”
‘ฉึก’ ลูกธนูพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ ที่เหลือสองคนก็เตรียมน้าว ในพุ่มไม้มีเสียงร้องดังโหยหวนจริง มีคนสามคนรีบพากันลุกขึ้นยืน เห็นพวกเขาสามคนแต่งตัวเป็นชาวนาเกาหลีทั่วไป กำลังโบกมือไหวๆ ตะโกนตื่นตกใจ
พวกเหลียวหนิงเข้าเกาหลีมารู้ภาษาเกาหลีอยู่บ้าง ฟังออกว่าตะโกนว่า ‘พวกเราเป็นราษฎร’ สีหน้าชาวนาแตกตื่นตกใจมาก แต่ทหารแผ่นดินหมิงสองคนไม่สนใจ ธนูในมือยังคงยิงไป
ชาวนาเกาหลีสองคนส่งเสียงร้องโหยหวนล้มลง อีกคนอึ้งไป จากนั้นได้สติ ลูบหน้าอก ไม่มีธนูปัก
คนแรกที่ยิงธนูไปส่งเสียงร้องดัง มือหนึ่งทิ้งลง ส่งเสียงด่า
“อาวุธลับ เป็นสายโจรวัวโค่วจริงๆ รีบจับตัวไว้ บัดซบจริงมาหลบในพุ่มไม้ได้!”
ทางนั้นหายตัวไปแล้ว เดาว่าหลบในพุ่มไม้ ทางนี้พูดไม่ได้นานนัก ก็ได้ยินพุ่มไม้ตรงหน้าเคลื่อนไหว ทางนั้น ‘ชาวนาเกาหลี’ ถือดาบยาวก้าวออกจากพุ่มไม้ คนที่ถูกอาวุธซัดใส่แขนยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกดาบยาวแทงใส่ทะลุท้องน้อย ร้องดังก่อนจะล้มลง
แต่ก่อนตายมือยังจับอีกฝ่ายไว้แน่น เพื่อนทหารอีกสองคนก็ตะโกนโมโหชักดาบและขวานฟันใส่สายลับล้มกับพื้น
ดาบแทงท้องน้อย คนไม่แน่ว่าต้องตายทันที ส่งกลับไปแม่น้ำยาลูได้ คนยังพอทนรับไหว คนที่โดนดาบแทงเริ่มคำรามบ้าคลั่ง เพื่อนทหารเข้าใจว่าควรทำอย่างไร ย่อมช่วยให้เขาได้ไปสบายในทันที
ค้นตัว ‘ชาวนาเกาหลี’ พบว่ามีอาวุธลับจริงๆ นี่เป็นสายลับโจรวัวโค่ว ปลอมตัวเป็นคนเกาหลีหลบซ่อนอยู่ตามแผ่นดินหมิงที่ต่างๆ เพื่อสืบข่าวการทหาร คนเหล่านี้คิดว่าปลอมตัวเป็นคนเกาหลี อย่างน้อยทหารแผ่นดินหมิงก็คงไม่สังหาร แต่หน่วยลาดตระเวนโต้รุ่งเหลียวหนิงไหนเลยจะสนใจราษฎรคิดอย่างไร ตอนอยู่แผ่นดินหมิงอาจยังคิดคำนึงบ้าง แต่ที่เกาหลีนี่ไม่ต้องคิดมาก สังหารไปเลยหมดเรื่อง
นับประสาอันใดกับกลางวันแสกๆ คนหลบซ่อนตัวในพุ่มหญ้าข้างทาง ชาวนาเกาหลีเช่นนี้น่าสงสัยอย่างมาก
สถานการณ์เช่นนี้ พื้นที่เปียงยางกับแม่น้ำยาลูทุกวันมีเรื่องเกิดขึ้น สายแผ่นดินหมิงกับสายโจรวัวโค่วมักปะทะกันอยู่เสมอ หลบกันและกัน การต่อสู้แม้ว่าไร้สำเนียง แต่ทุกวันก็ล้วนเลือดตกยางออก บาดเจ็บล้มตาย
***************
การพ่ายศึกของจู่เฉิงซวิ่นครั้งนั้นทำให้แผ่นดินหมิงกับโจรวัวโค่วสองฝ่ายล้วนเริ่มรอบคอบขึ้น มาถึงตอนนี้ อำนาจบัญชาการการต่อสู้โจรวัวโค่วล้วนอยู่ในมือแผ่นดินหมิง เกาหลีอย่างมากก็แค่นำทาง แน่นอนพวกเขาสามารถได้ข่าวจากสายสืบเกาหลีตนเองในพื้นที่เกาหลีมาได้
แต่ข่าวที่รายงานแผ่นดินหมิงไม่อาจเชื่อได้โดยง่าย เช่นว่า ตามรายงานข่าวลับเกาหลี กำลังโจรวัวโค่วในเปียงยางไม่มีเพิ่มขึ้น กลับลดลง
สองฝ่ายในช่วงเวลานี้ แผ่นดินหมิงยังคงรวมกำลังชายแดนไม่หยุด เหตุใดโจรวัวโค่วกลับลดกำลังทหารแนวหน้าลง เกาหลีให้ข่าวมายังแผ่นดินหมิง ทำให้ยิ่งงง ต่อมาจึงได้ข่าวแน่นอนจากสายแผ่นดินหมิงเอง โจรวัวโค่วในเปียงยางลดลงจริง
เพราะเปียงยางเป็นพื้นที่ยึดครองได้หลังสุด เวลาเพาะปลูกทดแทนยังไม่นานนัก ไม่มีเสบียงผลิตได้มากพอ ไม่มีทางใดจะหาเสบียงเพิ่มให้กับทหารทัพใหญ่โจรวัวโค่วหน่วยแรกได้ ดังนั้นต้องส่งทหารหลายพันไปยังเมืองโซอุลหาอาหาร และยังเกณฑ์แรงงานชาวนาเกาหลีมาซ่อมทางและเมืองท่า เพื่อให้สามารถขนเสบียงจากทางใต้เกาหลีมายังตอนเหนือได้สะดวกยิ่งขึ้น
เหลียวหนิงเองยังคงต้องรักษาความสงบ ตอนนี้สามผู้บัญชาการรวมกำลังกันอยู่ที่แม่น้ำยาลู ใช้ยุทธวิธีป้องกันรักษาความสงบ การเคลื่อนกำลังบุกเป็นการเสี่ยงภัยไปสักหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกำลังอีกฝ่ายได้เปรียบกองกำลังแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรพลการ สองฝ่ายจึงยังคงรักษาท่าทีเช่นนี้ต่อกัน
เกาหลีตั้งแต่ระดับพระราชาจนถึงขุนนางเบื้องหน้าตอนนี้ล้วนร้อนใจ ราชสำนักแผ่นดินหมิงล้วนมีท่าทีเย็นชาต่อพวกเขาลงเรื่อยๆ เดิมยังสามารถใช้วิธีไปร้องไห้ต่อราชสำนักที่ต่างๆ แสดงถึงความร้อนใจ ตอนนี้อีกฝ่ายแม้แต่หน้าก็ไม่ให้พบ ล้วนให้พวกเขาอยู่รอด้านนอก ทำให้ทุกคนไร้หนทางไปต่อ
ด้วยความเข้าใจของเกาหลีต่อการบริหารในแผ่นดินหมิง ย่อมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ รู้ว่าที่ตอนนี้ไม่เคลื่อนกำลังใด เป็นเพราะตัวเลือกแม่ทัพใหญ่ยังไม่ตัดสินใจ
พระราชาซอนโจแห่งเกาหลีเรียกประชุมขุนนางบุ๋นบู๊หารือ ตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจว พวกเขารู้เป็นเช่นไร เหิมเกริมเป็นใหญ่อย่างที่สุด แม้ว่าตระกูลหลี่ว่ากันว่าเป็นพวกมาจากเกาหลี แต่แต่ไรมาก็ไม่เคยมีท่าทีอันใดต่อเพื่อนร่วมสายเลือด หากให้พวกเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าคงเป็นภัยต่อเกาหลีไม่น้อย วันหน้าตระกูลหลี่คงขูดรีดเกาหลีต่อ คนเช่นนี้มาถึงได้ผลประโยชน์ไม่มาก ประเด็นที่สำคัญสุดก็คือ จู่เฉิงซวิ่นพ่ายศึก พวกเกาหลีล้วนตกใจ เดิมมีความหวังอยู่ หวังว่าแผ่นดินหมิงนำทัพมาถึง ก็จะสามารถขับไล่โจรวัวโค่วออกไป แต่ทหารม้าหลายพันกลับสูญสิ้นกำลังราบที่เมืองเปียงยาง และยังโยนผิดต่างๆ ให้เกาหลีทั้งหมด ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้าจะมีอันใดอีก
ชื่อเสียงหวังทงแน่นอนพวกเกาหลีก็รู้ พวกเขากับเผ่าหนี่ว์เจิน แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานไปมาหาสู่กันมาก แน่นอนรู้เรื่องหวังทงยกทัพปราบตะวันออก สำหรับการต่อสู้กองกำลังหลวงแผ่นดินหมิงเป็นที่รับรู้ ประเด็นก็คือ พวกเกาหลีล้วนรู้หวังทงค่อนข้างมีเหตุผล ทำงานมีระเบียบธรรมเนียม ไม่ใช่พวกป่าเถื่อนไร้เหตุผล
สถานการณ์เช่นนี้ พระราชาและขุนนางเกาหลีย่อมวิเคราะห์ได้ว่า หากเร่งผลักดันให้แม่ทัพใหญ่แผ่นดินหมิงเป็นหวังทง เช่นนั้นกองกำลังหมิงก็ยิ่งสามารถเร่งยกทัพปราบโจรวัวโค่วได้อย่างรวดเร็ว
พระราชาและขุนนางเกาหลีเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเป็นผู้เกี่ยวข้อง มีการเลือกเช่นนี้ย่อมมีน้ำหนักพอ และสายสัมพันธ์เกาหลีในเมืองหลวงต่างๆ เงินทองแม้ทุ่มไปไม่มาก แต่ก็ทุ่มไปตรงเป้า ได้ผลไม่เลว
เดือนสิบปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 เสียงเรียกร้องให้หวังทงนำทัพเริ่มดังมากขึ้น ไม่เพียงแต่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวขุนนางบุ๋นจากเทียนจิน ยังมีพวกที่แต่ไรวางตัวเป็นกลาง ถึงกับคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ ขุนนางล้วนคิดว่าหวังทงเหมาะสมยิ่งกว่า และการเคลื่อนไหวในวังก็เปลี่ยนไป
หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ไม่ชอบหวังทง นี่เป็นเรื่องที่ใต้หล้าล้วนรู้ แต่ผู้ช่วยสำนักสำนักส่วนพระองค์โจวอี้ และเจ้าจินเลี่ยงประจำตำหนักเฉียนชิงกง มีสายสัมพันธ์กับหวังทง ใต้กล้าก็รู้ ทิศทางในวังเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นเรื่องปกติ
เรื่องราวมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าราชสำนักหรือในวัง การถกเถียงกลับไม่ได้รุนแรงนัก เพราะทุกคนรู้ ถึงเวลา ก็ควรเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัย
***************
ณ ห้องทรงอักษรตำหนักเฉียนชิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่กับมหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยนั่งหารือกันอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปก่อนจะตรัสว่า
“ขุนนางหวัง ตอนนี้ตัวเลือกแม่ทัพใหญ่นำทัพมีสองคน หนึ่ง หวังทง สอง หลี่หรูซง หลี่หรูซงได้ยื่นฎีกาขอออกศึกแล้ว แต่หวังทงไม่รู้ท่าทีเช่นไร หากเขาไม่อยากไป บังคับให้เขาไป ก็ไม่เหมาะ”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มเบาๆ ส่ายหน้า กล่าวว่า
“ฝ่าบาท หากหวังทงไม่อยากไป เกรงว่าตอนนี้ราชสำนักคงไม่มีวาจาถกเถียงกันเช่นนี้ ตระกูลหลี่สามารถหาคนมาเชื่อมสายสัมพันธ์ออกหน้ากล่าวแทนได้ หรือว่าหวังทงไม่ทำกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงคิดถึงตรงนี้ ได้แต่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล