องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1087 ห้องทรงอักษรตำหนักฉือหนิงกง
“เรายังคงคิดว่าหวังทงเป็นหนุ่มน้อยใสซื่ออยู่! คิดไม่ถึงหลายปีมานี้ เขาก็เป็นขุนนางเป็นแล้ว?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นด้วยพระอิริยะบทสบายๆ ขันทีหลายคนในสำนักส่วนพระองค์ล้วนพากันก้มหน้า หวังซีเจวี๋ยก็น้อมตัวลงต่ำ ไม่กล้ากล่าวอันใด
‘ฝ่าบาทเองก็มิได้เป็นหนุ่มน้อยใสซื่อ!’
วาจานี้ไม่ได้กล่าวออกมา หวังทงตอนนี้สถานะกั๋วกง จะไม่ให้เป็นขุนนางเป็นได้อย่างไร แม้จะนิสัยซื่อเพียงใด หลายปีถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขยี้บดไม่หยุด อย่างไรก็ต้องรู้จักฉลาด ตอนนั้นจากเหลียวหนิงไปยังเมืองซงเจียง เพื่ออันใด แต่ทว่าวาจาในใจเหล่านี้รู้ก็พอ หากกล่าวออกมาแสดงว่าวางตัวไม่เป็น
“ขุนนางหวัง คิดว่าผู้ใดควรเป็นแม่ทัพใหญ่?”
ได้ยินเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็ลุกขึ้นถวายคำนับ ทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท เรื่องการรบนี้ ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย กระหม่อมไม่บังอาจทูล”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ตรัสว่า
“ขุนนางหวังในเมื่อเป็นมหาอำมาตย์ ก็มีหน้าที่ดูแลแผ่นดิน ไม่มีวาจาใดบังอาจหรือไม่บังอาจ เราตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ได้ ท่านก็เอ่ยมากหน่อย เสนอมาได้”
โอรสสวรรค์ตั้งแต่ผ่านลานฝึกมา หวังทงให้การสนับสนุนจนครองอำนาจการเมืองเบ็ดเสร็จ อำนาจใหญ่ในเมืองหลวงตกในพระหัตถ์ ยึดครองอำนาจใต้หล้าเพียงผู้เดียวแล้ว ตรัสอันใดก็ยิ่งทรงพลังและตามพระทัยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทรงสนพระทัยในธรรมเนียมอันใด แต่เจ้าไม่อาจไม่คล้อยตาม
หวังซีเจวี๋ยกระแอมไอ ไม่กล้านั่งลง กล่าวทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่นำทัพครั้งนี้ที่ยากจะเลือกก็เพราะมีความเสี่ยงอยู่ ไม่รู้กระหม่อมกล่าวถูกต้องหรือไม่?”
“ความเสี่ยง? แน่นอนมีความเสี่ยง การทหารมีความเสี่ยง การทหารไม่มีอันใดแน่นอน!”
“ฝ่าบาททรงกล่าวเพียงด้านเดียว ทัพใหญ่โจรวัวโค่วเช่นนี้รุกเข้ามาในดินแดนเกาหลี แผ่นดินหมิงควรทุ่มกำลังลงไป อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่งเข้าสู่สนามรบ ทหารเช่นนี้อยู่ในมือคนๆ เดียว หากคนผู้นี้คิดการไม่ซื่อ เมืองหลวงกับฝ่าบาทย่อมตกในความเสี่ยง ฝ่าบาท ไม่รู้กระหม่อมกล่าวได้มีเหตุผลหรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์หุบรอยแย้มสรวล ยกพระหัตถ์เคาะฎีกาหนึ่งบนโต๊ะ ตรัสเรียบๆ ว่า
“มีระบบขุนนางบุ๋นคุม ระบบขันทีคุมกำลัง การควบคุมต่างๆ เหล่านี้ จะมีอันใดให้เสี่ยงกัน อำมาตย์หวังคิดมากไปแล้ว!”
หวังซีเจวี๋ยเงยหน้ามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่ประทับ ในใจอดไม่ได้ยิ้มเฝื่อน ตั้งแต่จางจวีเจิ้งมาถึงตอนนี้ มหาอำมาตย์แต่ละคน ตำแหน่งนับวันยิ่งยากดำรง แต่พูดถึงตรงนี้ก็ไม่อาจไม่พูดต่อไป อย่างไรก็อำนาจบารมีโอรสสวรรค์ก็เป็นอำนาจบารมีคณะเสนาบดีใหญ่ ปกป้องไว้ได้ก็เท่ากับปกป้องตัวเอง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าวล่วงเกิน ตั้งแต่เหลียวกั๋วกงนำทัพออกศึก ใต้หล้าตอนนี้ล้วนรู้ ระบบขุนนางบุ๋นและขันทีควบคุมไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี คุมแน่นไป มีผลต่อการนำทัพ รบอาจได้ไม่ดี หากคุมไม่แน่น ก็จะมีธรรมเนียมนี้ไปทำไมกัน หลายปีนี้กระหม่อมเคยออกทัพ เข้าใจหลักการนี้ดี ทหารทัพใหญ่เชื่อฟังแม่ทัพใหญ่ ขุนนางบุ๋นกับขันทีจะทำอันใดได้ ถึงตอนนั้นกล่าวอันใดไร้น้ำหนัก จะมีประโยชน์อันใด?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแค่นเย็นชา แต่ทว่าสีพระพักตร์ยังคงแย้มสรวล ตรัสว่า
“เช่นนั้นอำมาตย์หวังคิดว่าผู้ใดควรเป็นแม่ทัพใหญ่กัน?”
หวังซีเจวี๋ยเริ่มเคร่งเครียดจริงจังขึ้น ตั้งแต่นั่งมาจนยืน ยามที่ต้องกล่าววาจานี้กลับคุกเข่าลง กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมทูลก่อนหน้า ฝ่าบาทล้วนยอมรับ เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอกล้าบังอาจกล่าวว่า หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่ เขาจงรักภักดีที่สุด”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบ ไม่ทรงตรัสอันใด ห้องทรงอักษรมีเพียงหวังซีเจวี๋ยที่ถามได้ โจวอี้ก็จุดยืนชัดว่าเลือกข้างแล้ว เจ้าจินเลี่ยงก็เช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปถามเถียนอี้ว่า
“เถียนอี้ เจ้าคิดว่าผู้ใดเหมาะสม?”
“ฝ่าบาทเรื่องนี้ ใต้เท้าหวังรอบคอบแล้ว กระหม่อมไม่กล้ากล่าวอันใด แต่ทว่า กระหม่อมคิดว่า เหลียวกั๋วกงตอนนี้เป็นขุนนางอันดับหนึ่งแล้ว ไม่มีรางวัลพระราชทานความชอบอีกแล้ว ผู้บัญชาการหลี่ก็มีใจคิดออกศึก เหลียวกั๋วกงฝึกกองกำลังหลวงและขุนพลกองกำลังหลวงมานั้นก็ราวพี่น้อง เรื่องนี้…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตวัดพระเนตรมอง ทำเอาเถียนอี้รีบก้มหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่มองผ่านสีหน้าโจวอี้ สุดท้ายไปจบที่เจ้าจินเลี่ยง ตรัสถามขึ้น
“เสี่ยงเลี่ยง เจ้าว่าอย่างไร?”
เจ้าจินเลี่ยงในวังมีคนเรียกว่า ‘เสี่ยวเลี่ยง’ แต่ชื่อนี้คนเรียกได้มีแค่สี่ห้าคนเท่านั้น ขันทีอื่นพบหน้าล้วนต้องทักอย่างนอบน้อมว่า ‘เจ้ากงกง’ เรียกว่า เสี่ยว (เล็ก) ตอนนี้ก็อายุ 20 ต้นๆ แล้ว ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น เจ้าจินเลี่ยงก็ก้าวออกมาทูลเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้ที่ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านกล่าวกันมาทั้งหมด ล้วนมั่นใจว่าต้องรบชนะ ฝ่าบาทเมื่อครู่กล่าวว่า การทหารไม่มีอันใดแน่นอน แพ้ชนะไม่อาจคาดเดา กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้ควรคิดก็คือ ผู้ใดสามารถรับประกันชัยชนะใหญ่ได้ ไม่ให้ผิดพลาดได้ ไม่ใช่หลังชัยชนะใหญ่จะจัดการอย่างไร”
ได้ยินเช่นนี้ ในห้องทรงอักษรก็เงียบกริบ สีหน้าเถียนอี้สีหน้าเองก็ปรากฏรอยยิ้มเฝื่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็อึ้งไปทันที อึ้งไปครู่หนึ่งจึงได้ตบหน้าผาก หัวเราะออกมาตรัสว่า
“เสี่ยงเลี่ยงกล่าวได้ดี นี่สิถือว่ามาจากใจที่เป็นกลางเพื่อแผ่นดิน!”
เถียนอี้ยิ้มเฝื่อน ทุกคนแน่นอนทำเป็นไม่เห็น วาจาเจ้าจินเลี่ยงแม้มาจากใจที่เป็นกลางเพื่อแผ่นดิน แต่ก็เป็นการไม่ลงรอยกับวาจาเถียนอี้
หากเป็นเมื่อก่อน นี่นับว่าเป็นการล่วงเกินหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ หัวหน้าสูงสุดในวัง จากนี้ไปเกรงว่าจะมีภัยมาถึงตัว แต่พอเป็นเจ้าจินเลี่ยง กลับไม่เป็นไร เจ้าจินเลี่ยงอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้ ยังดูแลตำหนักเฉียนชิงกง ทุกวันเวลาอยู่ร่วมกับฮ่องเต้ว่านลี่มากกว่าเถียนอี้และโจวอี้
ตอนนี้ในวังแอบวิจารณ์กันว่า ตอนนี้ในวังมีกลุ่มสามอิทธิพลอำนาจ หนึ่ง เถียนอี้ สอง โจวอี้ และสาม อย่าเห็นว่าอายุน้อยด้อยประสบการณ์ ‘เจ้าจินเลี่ยง’
วาจากราบทูลได้ตรงเป้า ตอนนี้ที่ต้องทำไม่ใช่พระราชทานรางวัล ไม่ใช่มาห่วงเรื่องสมดุลอำนาจ แต่เป็นชัยชนะ ทุกสิ่งของทุกอย่าง ล้วนต้องเริ่มจากหลังชัยชนะ หากไม่ชนะ ที่หารือกันทั้งหมดล้วนว่างเปล่า
ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปยังหวังซีเจวี๋ย แย้มสรวลตรัสว่า
“อำมาตย์หวังเชิญกล่าวต่อ อย่าเพิ่งไปสนใจวาจาเสี่ยวเลี่ยง”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท ที่เจ้ากงกงว่ามานั้นล้ำเลิศ ในเมื่อล้วนพูดถึงตรงนี้แล้ว กระหม่อมก็ขอกล่าวตามตรง หากเป็นหลี่หรูซงเป็นแม่ทัพใหญ่ พ่ายแพ้มาทุกอย่างไม่ต้องพูดต่อ หากชนะมา ฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับตระกูลหลี่ หลายปีนี้ เมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่ถูกตัดแบ่ง เมืองเหลียวโจวตั้งเป็นมณฑล นี่เป็นวาสนาแผนดิน หากหลี่หรูซงชนะ ตระกูลเขาย่อมได้เกียรติสูงสุด ราชสำนักจะพระราชทานอันใดให้ เกรงว่าตระกูลหลี่คงได้ฟื้นคืนที่เมืองเหลียวโจว หากไม่ใช่แค่เมืองเหลียวโจว ยังมีที่เมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจว อีกไม่กี่ปีก็จะมีภาพเหตุการณ์เหมือนเมืองเหลียวโจวเมื่อก่อน หรือว่าฝ่าบาททรงอยากเห็นเช่นนั้นกันพะยะค่ะ?”
“เราไม่เลอะเลือนเช่นนั้นแน่?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา แน่นอนไม่ทำเช่นนั้น แต่ในมือเขากุมทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว ทัพใหญ่โจรวัวโค่วยังเรียกว่าไกล เมืองเหลียวโจวเรียกได้ว่าติดเราทีเดียว ฝ่าบาทถึงตอนนั้นรับคำหรือไม่รับคำเล่า?”
วาจาหวังซีเจวี๋ยเหล่านี้ ถึงกับไม่เกี่ยวกับแพ้หรือชนะ หากที่กล่าวล้วนสถานการณ์หลังมีชัย ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ได้แก้ความผิดพลาดเขา สองคนยังคงถามตอบต่อไป
“เจ้าคิดให้หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่ก่อนจะตรัสถาม หวังซีเจวี๋ยโขกศีรษะ ลุกขึ้นทูลอย่างหนักแน่นว่า
“ฝ่าบาท หวังทงมีผลงานการรบที่มีชื่อเสียงก้องหล้า เคลื่อนกำลังแต่ละเมืองออกศึก อย่างไรก็ต้องมีกองกำลังหู่เวยแต่ละกอง ผู้ใดมาเป็นแม่ทัพได้เหมาะไปกว่าเขาเล่า?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบ ตรัสถามอีกทีสุรเสียงก็เบาลงไปมาก ว่า
“เจ้าเมื่อครู่พูดถึงหลี่หรูซง เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าจะไม่เกิดกับหวังทง”
หวังซีเจวี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม แอบทอดถอนใจในใจ ‘แล้งน้ำใจย่อมเป็นราชวงศ์’ ทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท พูดถึงตรงนี้แล้ว กระหม่อมก็ขอล่วงเกิน หากต้องการทำเรื่องเช่นนี้จริง ตอนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวของหวังทงเป็นเวลาที่ดีที่สุด หวังทงไม่ได้ทำ เขาถึงกับไม่อยากให้ราชสำนักลำบากใจ ตนเองอยู่ๆ มุ่งลงใต้ไปเอง คิดเพื่อแผ่นดินส่วนรวมเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าหวังทงผู้นี้จงรักภักดีที่สุด ไว้วางใจได้พะยะค่ะ”
พูดหมื่นแสนพัน วาจาว่างเปล่า ไม่สู้กล่าวเรื่องจริง หวังทงตอนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวมีชัยชนะใหญ่ อยู่ ๆ ก็มุ่งไปเมืองซงเจียงเก็บตัว มองแล้วเหมือนว่าเหิมเกริม ไม่ไว้หน้าราชสำนัก แต่ความจริงนั้นทำให้ใต้หล้าได้เบาใจ การกระทำเช่นนี้ก็มีแต่หวังทง คนอื่นๆ ไม่เคยกระทำ
พูดไปแล้ว หลี่หรูซงเองก็ไม่เคยประสบเหตุ ไม่อาจกล่าวได้ว่าหากเขาพบสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ทำเช่นนี้ แต่เรื่องสำคัญระดับนี้ ผู้ใดกล้าพนัน
ในที่สุดฮ่องเต้ว่านลี่ก็พยักพระพักตร์เบาๆ ตรัสถามขึ้น เหมือนว่าเปิดประเด็น
“เมื่อครู่ที่เถียนอี้ว่ามาก็เป็นหลักการสำคัญ เราไม่อาจเอาเปรียบหวังทง หากเขาสร้างความชอบยิ่งใหญ่อีก เขาตอนนี้ก็เป็นถึงกั๋วกงแล้ว เราจะพระราชทานอันใดให้อีก ใต้หล้ามองเราอยู่ หวังทงเองก็มอง!”
หวังซีเจวี๋ยโขกศีรษะทูลหนักแน่นว่า
“ฝ่าบาท หากหวังทงสร้างความชอบยิ่งใหญ่อีกจริง แต่ตั้งเป็นอ๋องเป็นอย่างไร? ถึงตอนนั้นฝ่าบาทก็ให้เขาอยู่เมืองหลวง เหมือนเมื่อก่อน ให้เขาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ได้”
“อ๋อง! เหลวไหล! มันช่าง…แต่ทว่า…”
วาจากราบทูลหวังซีเจวี๋ย ฮ่องเต้ว่านลี่ปฏิกิริยาแรกก็คือทรงกริ้วหนัก แต่ทว่าก็ตามมาด้วยคิดได้ เงียบไปก่อนตรัสว่า
“ให้อยู่ข้างกายเรา เป็นองครักษ์เสื้อแพร เหมือนเมื่อก่อน ก็แค่ชื่อที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเงียบไปนาน ตอนตรัสอีกทีก็เหมือนตัดสินพระทัยได้ว่า
“ท่านอำมาตย์อายุมากแล้ว วันนี้ก็เหนื่อยมามากแล้ว ออกจากวังให้จัดเกี้ยวแบกให้นั่งด้วย พอแค่นี้ก่อน เลิกประชุมได้!”
หวังซีเจวี๋ยรีบขอบพระทัย เจ้าจินเลี่ยงนำหวังซีเจวี๋ยออกจากห้องทรงอักษร เถียนอี้ตามคนมาจุดตะเกียง ออกไปแล้วก็หันกลับมาทูลถามขึ้น
“ไทเอาทรงถามว่า ฝ่าบาทค่ำนี้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารค่ำหรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังเหม่อมองฎีกา ลังเลครู่หนึ่ง ตรัสว่า
“นานแล้วไม่ได้ไปตำหนักฉือหนิงกง คืนนี้เราจะไปถวายพระพรเสด็จแม่ ไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่นั่นละกัน!”