องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1090 ก่อนยกทัพยิ่งเหมือนปีก่อน
เดิมตอนยังไม่มีหวังทง การยกทัพสามครั้งของสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ทำให้สิ้นเปลืองเงินท้องพระคลังแผ่นดินหมิงไปหมดสิ้น กาวก่งกับจางจวีเจิ้งพยายามที่จะพลิกสถานการณ์การคลังแผ่นดินหมิง แต่ก็ยังคงเปลี่ยนได้แค่แทบล่มละลายกับใกล้ล้มละลาย แต่ครั้งก่อนไม่ว่าเมืองปัวโจวหรือหนิงเซี่ย ล้วนไม่เกิดจลาจลใหญ่ สองที่นี้ถึงกับสงบยิ่ง ยังเพิ่มภาษีให้แผ่นดินหมิงได้อีก
ค่าใช้จ่ายเมืองชายแดนทั้งเก้าที่เคยเป็นภาระหนักหน่วงแห่งท้องพระคลังเดิมของแผ่นดินหมิง เพราะเปลี่ยนทหารไปเป็นชาวบ้าน ส่งกองกำลังหลวงไปประจำหน่วยต่างๆ ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เทียนจินเปิดท่าการค้า เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า การค้ารุ่งเรืองที่ต่างๆ นำมาซึ่งรายได้ภาษี แม้ภาษีที่ดินยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่การคลังแผ่นดินหมิงยามนี้กลับยังคงสถานะร่ำรวย
หนึ่งขึ้นหนึ่งลง หลายแห่งคำนวนดูก็ย่อมพบว่า ตอนนี้สถานการณ์การคลังแผ่นดินหมิงร่ำรวยมาก สามารถจ่ายค่าออกศึกรวมกำลังพลทัพใหญ่ครั้งนี้ได้
ความจริงนั้นปัญหาแท้จริงไม่ได้อยู่ที่รายจ่ายกองทัพกับการเกณฑ์กำลังพล แต่เพราะเดิมตั้งแต่ศูนย์กลางแผ่นดินหมิงไปยังท้องที่ ไม่มีคนชำนาญงานว่าจะจัดการเคลื่อนกำลังและจ่ายค่าใช้จ่ายกองทัพใหญ่อย่างไร ต้องให้หวังทงเสนอ ให้พ่อค้าเข้าร่วมในวงกว้าง ให้กลุ่มพ่อค้าที่หัวก้าวหน้าได้เข้าร่วม ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้
แน่นอน คนเกือบสองแสน เกือบเท่ากับกำลังพลตอนเหนือแผ่นดินหมิงทั้งหมด เสบียง คน ม้า อาวุธ ล้วนต้องการจำนวนมาก เสบียงอาหารและค่าใช้จ่ายต่างๆ เงินทองก็ไหลไปราวกับสายน้ำ ตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง คนรับผิดชอบทั้งหมดจากกรมอากรและกรมทหารแต่ไรมาไม่รู้รวยไปกันตั้งเท่าไร
ในใจหวังทงเข้าใจดี ดังนั้นในฎีกาเขาจึงกล่าวได้กระจ่าง ในเมื่อตนยังเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ก็ต้องใช้เครือข่ายองครักษ์เสื้อแพรมาจับตาดูระบบเสบียงกองหลังขนถ่ายต่างๆ ในการออกศึกครั้งนี้ ในวังก็สนับสนุนการนี้ สำนักบูรพาเตรียมดำเนินการสนับสนุน
ไม่ให้คนได้เงินเข้ากระเป๋าเลยย่อมไม่ได้ แต่เรื่องใหญ่ในการนำทัพใหญ่นี้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย หวังทงเองก็เป็นห่วง หากหลายคนลงมือโกยหนักไป ผลจะทำให้เสียการใหญ่
ในวังเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขา แม้หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ในวังยังเห็นด้วยเช่นกัน การส่งขันทีไปจับตาพวกขุนนางบุ๋นเรื่องเสบียง ล้วนมีแต่ผลดีต่อในวัง ไร้ผลเสีย
ฎีกาและจดหมายหวังทงถึงฮ่องเต้ว่านลี่ ในเส้นทางส่วนตัว ในราชสำนักและในวังหลายคนไม่อาจเข้าถึงได้
ไม่รู้พวกเขาสองคนได้หารือกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง ครั้งนี้ยกทัพใหญ่ส่งขุนนางบุ๋นใดไป ถึงกับให้เป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วรับหน้าที่
สวีกว่างกั๋วไม่ว่าตำแหน่งตอนนี้หรือประสบการณ์ล้วนไม่พอ ความจริงนั้นก่อนจะรู้ว่าหวังทงได้นำทัพใหญ่ ขุนนางบุ๋นราชสำนักที่มีคุณสมบัติล้วนออกแรงในทางลับและทางแจ้งกันหมด ในวงการขุนนาง ไม่ว่าเข้าใจการทหารหรือไม่ไม่รู้ แต่มีความเหมือนกันหนึ่งก็คือ ล้วนมั่นใจในหวังทงมาก หวังทงนำกำลังทัพใหญ่ออกศึก ย่อมมีชัยชนะใหญ่ ย่อมสร้างความชอบมาก
ก็หมายความว่า ขอเพียงตามออกศึกด้วย ย่อมมีความดีความชอบตามด้วย มีแต่ตนเองได้ตำแหน่งและผลประโยชน์ใหญ่ หวังซีเจวี๋ยนั่นก็ตามไปครั้งหนึ่ง ผลปรากฏตำแหน่งมหาอำมาตย์ก็ตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะความดีความชอบเพียงนี้ หากตนเองได้ไป อย่างน้อยก็ได้ต่ออำนาจวาสนาไปอีกสิบปี
แต่ทว่าราชสำนักจัดการครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายตกตะลึง มีข่าวว่าหวังซีเจวี๋ยเคยกราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ต่อหน้าพระพักตร์ ในเมื่อราชสำนักวางใจให้หวังทงยกทัพใหญ่ออกศึก ก็ย่อมควรให้ความไว้วางใจเต็มที่ เมื่อก่อนหวังทงข้างกายไร้ขุนนางบุ๋น ก็ยังมีชัยชนะใหญ่ ไม่ได้มีอันใดแปลก หวังซีเจวี๋ยตามไปออกทัพเจี้ยนโจว ก็ปล่อยอิสระเต็มที่ ไม่ได้แสดงบทบาทอันใด ครั้งนี้ไปเหลียวหนิง สำคัญที่สุดก็คือประสานงานกองหลังที่เหลียวหนิงเรื่องเสบียง ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วตอนเกาหลีเกิดเรื่องมาถึงตอนนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ารับมือได้ทันท่วงที ทำได้ตามหลักการไม่ผิดพลาด ให้ตำแหน่งนี้แก่เขา ประสานงานกับหวังทงก็เป็นเรื่องสมควร
หวังซีเจวี๋ยให้ข้อสรุปนี้ไม่ได้มีปัญหาอันใด แต่ทว่าราชสำนักขุนนางใหญ่ล้วนด่าทอ มหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ปิดกั้นเส้นทางก้าวหน้าคนอื่นๆ!
ผู้ใดล้วนรู้ออกศึกนี้ย่อมได้ความดีความชอบติดตัวมาก ได้แบ่งความชอบไปมาก สะสมความชอบไปได้ระดับหนึ่ง ก็ย่อมได้ก้าวขึ้นไปอีก เสนาบดีหกกรมกองและขุนนางสำนักตรวจสอบล้วนเป็นราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ การก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นคืออันใด ก็ย่อมเป็นมหาอำมาตย์และรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ ใช่ว่าเป็นการคุกคามต่อหวังซีเจวี๋ยหรือ ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วนั้นไม่เหมือนกัน ประสบการณ์น้อย ตำแหน่งต่ำ แม้ได้แบ่งความชอบ ก็คงอยู่เหลียวหนิงอีกนาน ไม่ก็ไปประจำเมืองใหญ่อีกหลายปี ล้วนไม่อาจคุกคามเขาได้
ด่าก็ส่วนด่า ราชสำนักตัดสินใจแล้ว ทุกคนไม่อาจไม่รับ เรื่องนี้ไม่ใช่หวังทงออกความคิดเอง หากว่าหวังทงทำเอง ก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินคนมากมาย
ส่วนเรื่องขันทีคุมกำลังในวังนั้น สถานะนี้ไม่มีการแย่งชิง มีคุณสมบัติไปกันได้หลายคน คนมีคุณสมบัติพวกนี้ใช่ว่ามีความชอบน้อยเสียเมื่อใด แต่การมีเวลาได้อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ไทเฮานับเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า
ผลปรากฏอย่างไรก็ต้องเป็นคนคุ้นเคยดีกว่าไม่คุ้น ขันทีเฉินจวี่แห่งสำนักส่วนพระองค์ได้รับเลือกให้เป็นขันทีคุมกำลังในการนี้ แต่ทว่าครั้งนี้มีหน้าที่พิเศษ ไช่หนานกองกำลังหลวงได้รับหน้าที่มาเป็นรองด้วย คนผู้นี้มารับหน้าที่นี้ ทุกคนล้วนเข้าใจยิ่ง เฉินจวี่ครั้งนี้ไปเกาหลี เกรงว่าคงไปเป็นแค่ตัวประกอบ อย่างไรก็คงเป็นไช่หนานที่ทำหน้าที่ตัวจริง
เข้าสู่เดือนสิบเอ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 เหลียวกั๋วกงหวังทงนำทหารส่วนตัวขึ้นเหนือ ทหารส่วนตัวแค่ห้าร้อย แต่พลม้าที่ติดตามมาเกือบพัน พลม้าเหล่านี้ไม่ใช่ตามออกรบ หากเพื่อไว้ใช้ส่งข่าว ทุกวันมีข่าวส่งไปยังเมืองชายแดนแต่ละเมือง เมืองหลวง ยังมีเหลียวหนิง เมืองซงเจียงก็มีจดหมายไป
หลี่หู่โถวนำกองกำลังหู่เวยกองหนึ่ง กองห้า และกองเจ็ด กองทหารม้าหู่เวยและกองปืนใหญ่หู่เวย กองกำลังเหล่านี้ล้วนประจำการอยู่แถบเมืองหลวง หวังทงต้องการรวมกำลังกองนี้ หลังพิธีการออกศึกในเมืองหลวงแล้ว ทหารทุกสายก็พากันตรงไปยังเหลียวหนิง
กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียวทางตะวันออกเฉียงใต้ เมืองจิ่วเหลียนเฉิงและเมืองอี้โจวแถบนี้เป็นที่ตั้งทัพใหญ่ในการออกศึกครานี้ ตอนนี้ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงไปถึงไห่โจว เหลียวหนิง
กองกำลังหลายกองไม่ได้ใช้เส้นทางในเขตแดนแผ่นดินหมิง แต่ใช้เส้นทางทุ่งหญ้านอกด่าน เพราะกลุ่มพ่อค้าทุ่งหญ้า พวกเขาขอเพียงมีเงินทองให้เพียงพอ บนทุ่งหญ้าก็สามารถตั้งค่ายกำลังได้ และทหารม้าชนเผ่ารอบนอกเมืองที่ยังชำนาญเส้นทางมานำทาง ตลอดทางมุ่งยังเหลียวหนิง
มีแต่กองกำลังทางน้ำที่ค่อนข้างยุ่งยาก นายกองม่ายแห่งเทียนจิน [1]ต้องมารอรับประสานกำลังกับเฉินหลิน ร่วมเดินทางไปยังเกาหลี แต่ยังไม่กล่าวถึงว่าจากกวางตุ้งมาเทียนจินต้องใช้เวลานานเท่าไร ฤดูหนาวไม่ว่าเทียนจินหรือคาบสมุทรเหลียวตง ยังมีทะเลเหลืองของเกาหลีในแต่ละเมืองท่า ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นน้ำแข็งหมด การเดินเรือย่อมยุ่งยากใหญ่ ไม่อาจไม่ไตร่ตรอง ปูซานทางนั้นทะเลเป็นน้ำแข็งน้อย แต่เฉินหลินนำกำลังกองเรือมาแม้ร่วมกับกองหลายพันของนายกองม่าย กำลังโดยรวมของกองกำลังทางน้ำแผ่นดินหมิงก็ไม่เท่าไร ต้องรอบรรดา ‘กองเรือผู้กล้า’ ตามมาสมทบ
ดังนั้นกองกำลังทางน้ำแผ่นดินหมิงก็จะรอที่ท่าไหลโจวที่ซานตงถึงหลังฤดูใบไม้ผลิ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 จึงออกเดินทาง กองกำลังนี้บนท้องทะเลจึงไม่เป็นที่คาดหวังของกองทัพในขณะนี้
จากเมืองซงเจียงตลอดทางไปยังเมืองหลวง ตำแหน่งสถานะหวังทง ทุกพื้นที่ที่ผ่านไป ขุนนางทุกระดับย่อมพากันมาคารวะ ตลอดเส้นทาง บรรดาขุนนางอย่างไรก็ต้องมีสายสัมพันธ์การค้ากับ ‘เทียนจิน เมืองซงเจียง’ จัดเลี้ยงขอคารวะ มอบของขวัญ ล้วนไม่อาจขาด หวังทงตอบรับไปตามมารยาท แต่ก็ล้วนปฏิเสธไป นับวันยิ่งการข่าวมายิ่งมาก ในการนี้ก็ยิ่งทำให้มั่นใจในแนวทาง ไม่สนใจเรื่องราวอันเป็นเท็จ
ข่าวเกาหลีไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย เกาหลีแปดจังหวัดย่อมถูกโจรวัวโค่วครอบครองไปอย่างไม่เต็มใจ ยังคงมีเจ้าของที่และขุนนางที่หนีมาได้รวมกำลังกันต่อต้าน แต่ก็ถูกปราบอย่างรวดเร็ว และจากการข่าวยังทำให้รู้ว่า เวลาที่ล่วงเลยไป การเคลื่อนไหวรุนแรงก็ยิ่งน้อยลง การต้านทานไว้ได้ก็ยิ่งน้อยลง
แต่ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่หวังทงคิดไม่ถึง ทัพเรือเกาหลีกับทัพเรือประเทศวัวต่อสู้กัน ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถึงกับเรียกได้ว่าได้เปรียบ แต่อย่างไรในแผ่นดินก็ล้วนถึงประเทศวัวยึดไปหมดแล้ว ไม่มีเมืองท่าและเสบียงเสริมแล้ว ทัพเรือได้แต่รบกันไปวันๆ ไม่รู้ข้อได้เปรียบจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร
****************
เกาหลีถูกโจรวัวโค่วรุกราน เกี่ยวอันใดกับแผ่นดินหมิงเรา นี่เป็นท่าทีของทุกคนบนแผ่นดินหมิง เกาหลีส่งขุนนางมาร่ำไห้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงทุกวันเพื่อขอร้อง หลี่หรูซงนำกำลังทหารม้าหลายพันเข้าสู่เหลียวหนิง ตอนอยู่เมืองหย่งผิงก็มีขุนนางเกาหลีตามมาคารวะ สำนักในบุญคุณ จากนั้นทุกวันก็เร่งเร้าให้หลี่หรูซงรีบบุกเข้าเกาหลี
เกาหลีเจ้าเป็นหรือตาย เกี่ยวอันใดกับตระกูลหลี่เรา หลี่หรูซงมาถึงไห่ซีก็ไมได้ลงใต้ไปยังพื้นที่ค่ายทหารแม่น้ำยาลู เขานำกำลังทหารไปยังอี้โจว หลี่หรูซงนำกำลังทหารติดตามไปเหลียวหยาง สำหรับราชสำนักกล่าวว่าการบุกเข้าเกาหลี ไม่อาจปล่อยให้โจรวัวโค่วเหิมเกริมก็ถูกพวกขุนนางเกาหลีนำมากล่าวอ้าง หลี่หรูซงตอบกลับไปง่ายๆ ประโยคเดียวว่า ‘รอบคอบไว้ก่อน’ จากนั้นก็ไม่สนใจอันใดอีก
เหลียวหยางเป็นพื้นที่มั่นของทหารตระกูลหลี่ เป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ที่สุดของทั้งเหลียวหนิง เมื่อก่อนตอนนี้ ทุกคนล้วนยุ่งกับการเตรียมฉลองปีใหม่กันแล้ว ทั้งในเมืองนอกเมืองล้วนบรรยากาศเฉลิมฉลอง แต่ครั้งนี้จู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้าหลายพันสูญสิ้นที่เปียงยาง ทำให้ทั้งเหลียวหนิงต้องอยู่ภาวะสงคราม ทหารสายผู้บัญชาการเหลียวซีล้วนต้องนำกำลังไปอี้โจว ในเมืองเงียบเชียบไร้สีสัน บรรยากาศเห็นได้ชัดว่ากดดันมาก
หลี่หรูซงกำลังกลับเหลียวหยาง ไม่ใช่เพื่อฉลองปีใหม่ เขาเดิมทีคิดจะกลับไปดูที่เหลียวหยางหลังเสร็จศึกเสียหน่อย ผู้ใดจะคิดว่าพอพ้นด่านซานไห่กวน หลี่เฉิงเหลียงก็ส่งคนมารอรับ ว่านายท่านใหญ่มีคำสั่งต้องพาตัวนายน้อยกลับเสิ่นหยาง มีเรื่องสำคัญยิ่งหารือ
[1] นายกองม่ายก็คือนายกองเรือทัพเรือกวางตุ้ง ม่ายเต๋อเจิ้น ที่เดินทางมาประจำปกป้องเทียนจิน ปรากฏในตอนที่ 562