องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1091 ตระกูลใหญ่หรือแผ่นดินใหญ่
เดิมจวนตระกูลหลี่ในเดือนสิบสองก็จะเริ่มคึกคักไม่ธรรมดา หลี่เฉิงเหลียงมีทั้งบุตรชายแท้ๆ และบุตรชายบุญธรรม และบรรดาทหารคนสนิท ทุกคนจะนำครอบครัวมารวมตัวกันที่นี่ ทุกวันเชิญคณะงิ้วมาแสดงเช้าจรดค่ำ ทุกคนร่วมดื่มสุราและเล่นพนัน สำราญหาใดเทียม
แต่ในจวนตอนนี้ ผู้บัญชาการเหลียวซีหลี่หรูป๋อได้นำกำลังทหารไปยังอี้โจว หลี่หรูเหมยและบรรดาลูกหลานคนอื่นๆ ก็ล้วนตามไปด้วย เหลือแต่หลี่เฉิงเหลียงเฝ้าจวนโดดเดี่ยวเดียวดาย เงียบเหงาอย่างมาก
หลี่หรูซงเป็นคนชอบความครึกครื้น ความเป็นพ่อลูกระหว่างเขากับหลี่เฉิงเหลียงเรียกได้ว่าก็แค่สายสัมพันธ์ ทว่าอุปนิสัยไม่เหมือนกัน จวนที่เงียบเหงาไร้ความบันเทิง หลี่หรูซงอึดอัดยิ่ง
ด้านนอกลมหนาวพัดเหน็บหนาว ในจวนตระกูลหลี่ยังคงอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ แต่เสื้อบางๆ ก็ยังคงเอาไม่อยู่ ในห้องโถงใหญ่อลังการ มีเพียงหลี่เฉิงเหลียงกับหลี่หรูซงสองคนนั่งประจันหน้ากัน ทำให้รู้สึกถึงความอึมครึม หลี่หรูซงมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ที่เห็นไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แต่เล็กจนโต ห้องโถงกลางนี้ล้วนจัดวางของใหม่แทนของเก่าเสมอ แต่ก็ไม่มีอันใดแปลกพิสดารน่าสนใจ
หลี่เฉิงเหลียงสวมชุดบุนวมหนานั่งอยู่ ที่หน้าขายังมีพรมผืนหนึ่งวางทับให้ความอุ่น ข้างๆ มีพ่อบ้านอายุราว 40 ยืนอยู่ นี่คือพ่อบ้านในจวน
สถานการณ์เช่นนี้ ตามหลักควรไม่มีบุคคลที่สาม แต่หลี่เฉิงเหลียงต้องการคนคอยปรนนิบัติข้างกาย ก็ได้แต่เลือกคนในที่ไว้ใจที่สุด
หลี่เฉิงเหลียงผมขาวโพลนและมีริ้วรอยย่นบนใบหน้า ถึงกับยังหลังค่อม แก่ชราเห็นได้ชัด เทียบกับหลี่หรูซงเห็นครั้งก่อน เรียกได้ว่าแก่ลงไปมาก แต่ทว่าหลี่หรูซงในใจก็ไม่ได้รู้สึกอันใด ถึงกับยังแอบโมโหในใจ หากไม่ใช่หลี่เฉิงเหลียงคิดต้องการเทียบกับหวังทง จะไปพ่ายแพ้เผ่าหนี่ว์เจินยับเยินเช่นนั้นได้อย่างไร สมบัติในตระกูลสูญสิ้นไปเท่าไร หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียนก็ได้เป็นใหญ่อิสระ เดิมตระกูลหลี่คุมทั้งเมืองเหลียวโจว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เหลียวซีตะวันตกนี่เท่านั้น
แย่งกับหวังทงแล้วได้อันใด หวังทงตีเมืองกุยฮว่าเฉิงได้แล้ว ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลี่ หลี่เฉิงเหลียงควรเข้าใจได้ว่าเรื่องราวไม่อาจทำได้อีกแล้ว ควรจะไปหาทางสมานฉันท์ หากทำเช่นนี้ ทุกอย่างก็คงยังรักษาเอาไว้ได้ มาถึงตอนนี้ ไม่ว่ากองกำลังหลวงจะแข็งแกร่งเพียงใด ตระกูลหลี่ก็ได้แค่กำลังสามหมื่นเท่านั้น เดิมทหารนับแสนออกศึกเช่นนี้ หากตระกูลหลี่ได้รับหน้าที่ยกทัพออกศึก ความดีความชอบใหญ่ล้วนเป็นของตระกูลหลี่ ได้ความชอบนี้ไป ก็สามารถเทียบกับหวังทงได้แล้ว
ตอนนั้นรอไม่ไหว มาถึงตอนนี้ โอกาสดีคว้าไม่ได้ แม้หลี่หรูซงไปถึงเหลียวหนิงก่อน แต่ก็ต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหวังทง นี่มันจะมีความหมายอันใด
กล่าวคำว่า ‘หาก’ นั้นเป็นคำที่ไร้ความหมายที่สุด แต่ทว่าคิดได้เช่นนี้ ความคับแค้นในใจย่อมคงอยู่ แน่นอนอารมณ์ไม่ได้ดีนัก
“ทางนี้ที่ไปสานสัมพันธ์ได้ก็สานไว้หมดแล้ว เจ้าไปเกาหลี เพียงแค่บุกเข้าตีก็พอ ยึดพื้นที่ได้มากเท่าไรยิ่งดี ไล่พวกโจรวัวโค่วลงใต้ไปได้มากเท่าไรยิ่งดี หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียน อาจช่วยเหลือเจ้า อย่างน้อยไม่ถ่วงเจ้า”
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่เฉิงเหลียงเอ่ยขึ้น หลี่หรูซงข้างๆ เงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ท่านพ่อเมืองหลวงทางนั้นคิดให้ลูกนำทัพบุกเข้าโจมตีเปียงยางก่อน ให้โจรวัวโค่วไม่อาจรวมตัวกันที่เปียงยางได้ รอเหลียวกั๋วกงนำกำลังทัพใหญ่มา ที่ท่านพ่อกล่าวมา หากเป็นคำสั่งทางนั้น ข้าก็จะรีบไปดำเนินการ แต่หากไม่ใช่ แล้วกลายเป็นความผิดฐานขัดวินัยทหารเล่า!”
กล่าวได้มีเหตุมีผล แต่พ่อลูกไม่ควรจะกล่าววาจาเล่นลิ้นกันเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงขมวดคิ้ว ไอออกมาก่อนกล่าวว่า
“ขัดวินัยทหารอันใด ขอเพียงเจ้าตีมีชัยชนะใหญ่ ผู้ใดจะลงโทษเจ้า คนทางเมืองหลวงล้วนติดต่อไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าทำศึกได้ดี ก็จะให้เจ้าได้เป็นทัพใหญ่นำทัพก็ได้”
หลี่หรูซงราวกับไม่สังเกตสีหน้าโมโหของหลี่เฉิงเหลียง ถามขึ้นอีกว่า
“ท่านพ่อ โจรวัวโค่วกำลังไม่น้อย จู่เฉิงซวิ่นทหารม้าห้าพันไปปะทะสูญเสียมาแล้ว หากลูกนำนำกำลังทัพใหญ่นับหมื่นไปสูญเสียอีกจะทำอย่างไร?”
“บัดซบ! สูญเสียอีกนับหมื่นอันใด จู่เฉิงซวิ่นมันไอ้ตัวใช้การไม่ได้ รบไม่เป็น ดันมุดเข้าไปในกระเป๋าโจรวัวโค่วเอง รายงานการข่าวทางนั้นใช่ว่าข้าไม่ได้อ่าน พวกโจรวัวโค่วทางนั้น เจ้าขอเพียงรบกับพวกมันจริงจังสักตั้ง พวกเราย่อมมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ถึงเจ็ดส่วน”
หลี่เฉิงเหลียงอดตวาดเสียงดังไม่ได้ พูดถึงตรงนี้ก็เริ่มหอบเล็กน้อย พ่อบ้านด้านหลังรีบส่งน้ำชาให้ดื่ม หลี่หรูซงส่ายหน้าเบาๆ ยังกล่าวว่า
“เสี่ยงไปสักหน่อยๆ สถานการณ์เรา ข้ารู้ ทหารสามพันในมือข้าใช้การได้ พี่รองทางนั้นนำมาก็ราวสี่พันกว่ากระมัง หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียนไม่ถ่วงเราไว้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือจะให้พวกเขาส่งทหารมาร่วมด้วย? จำนวนเจ็ดพันกว่านี้…”
นิ่งไปพักหนึ่ง หลี่หรูซงก็ลังเลกล่าวว่า
“เจ็ดพันกว่า เราตอนนั้นเก้าพันกว่า ศึกตัวหลุนที่เจี้ยนโจวล้วนเสียหายไม่น้อย เจ็ดพันกว่าเกรงว่ามีสองพันกว่าเป็นพวกที่มาเติมทีหลังกระมัง ท่านพ่อ ข้าแม้ว่าอยู่เมืองเซวียนฝู่ แต่การข่าวทุ่งหญ้าตอนนี้ก็ไวมาก ข้ารู้เรื่องราวมากมาย กาค้าเหลียวซีล้วนยาวไปถึงลุ่มน้ำทางนั้น คนเหล่านี้ทั้งวันทำแต่การค้าไหนเลยมีเวลาฝึกซ้อมกำลัง คนเช่นนี้ออกสนามรบจะไปสู้อันใดได้?”
หลี่เฉิงเหลียงสีหน้าดำคล้ำ ถามขึ้นด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า
“เจ้าคิดกล่าวอันใด?”
“ท่านพ่อ ที่ข้าต้องการกล่าวก็คือกองกำลังเมืองชายแดนเราทั้งหมดสามหมื่นกว่า ที่รบได้จริงมีเท่าไร ข้ารู้ดี ที่ใช้การได้เกรงว่าราวหมื่น ทหารม้าใช้การได้ราวหกพัน คนเหล่านี้ไป…โจรวัวโค่วนั่นตั้งสองแสน ท่านพ่อมั่นใจว่าไม่เสี่ยงภัยหรือ?”
หลี่เฉิงเหลียงจ้องมองหลี่หรูซงไม่กล่าวอันใด หลี่หรูซงส่ายหน้า ยืนขึ้นกล่าวว่า
“ท่านพ่อ ตอนนี้สถานการณ์ใต้หล้าไม่ใช่ดังแต่ก่อนแล้ว ตระกูลหลี่เราไม่ใช่ตระกูลหลี่เมื่อก่อนอีกแล้ว ติดตามหลังเหลียวกั๋วกงค่อยๆ ก้าวไป แบ่งสรรกำไรและความชอบดีกว่า ไยต้องมาเสี่ยงแบกรับความผิดด้วยเล่า ไยต้องลำบากกันด้วย หากไม่ใช่ท่านคิดเช่นนี้ตอนรบศึกเจี้ยนโจวเราจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!?”
เพิ่งถามกลับขึ้น หลี่เฉิงเหลียงก็ตบพนักเก้าอี้ดัง ลุกขึ้นยืน พรมที่ปิดขาไว้ร่วงลงพื้น พ่อบ้านด้านหลังตกใจก้มตัวต่ำ หลี่เฉิงเหลียงตัวสั่นชี้หน้าหลี่หรูซงตวาดว่า
“เจ้าเดรัจฉาน ข้าตอนนั้นต่อสู้ด้วยชีวิตเพื่อใครกัน หากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้าพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อตระกูลหลี่เรา คนอื่นอายุเท่าข้า ก็ล้วนเสวยสุขกันแล้ว ข้ายังต้องนำทัพเสี่ยงภัย ข้าทำไปเพื่อผู้ใด เจ้าคิดว่าเจ้าได้ไปเมืองเซวียนฝู่เป็นผู้บัญชาการเป็นเจ้าต่อสู้ได้มาเองหรือไง? หากไม่ใช่ข้ารบนอกด่าน ค่อยๆ สะสมความขอบมาให้พวกเจ้า เจ้าจะได้เป็นผู้บัญชาการ…”
พูดถึงตรงนี้ หลี่เฉิงเหลียงถึงกับไอไม่หยุด พ่อบ้านด้านหลังรีบเข้ามาลูบหลังให้พัลวัน กระซิบบอกหลี่หรูซงว่า
“นายน้อย นายท่านสุขภาพไม่ดีนัก แต่วันๆ ก็ยังเอาแต่ห่วงทุกคนในตระกูลหลี่…”
“หุบปาก ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้ากล่าวแทรก!”
หลี่เฉิงเหลียงกว่าจะไอหยุดได้ ดื่มน้ำชาลงไปอึกหนึ่ง ก็ตำหนิพ่อบ้านไป ก่อนจะหอบลงนั่งเก้าอี้อย่างอ่อนแรงกล่าวว่า
“เหลียวซีพื้นที่เล็กๆ เราตระกูลหลี่คนมาก คนแซ่อื่นสามารถไปหาที่อื่นได้ แต่คนตระกูลหลี่จะไปไหนได้ นานวันเข้า ย่อมยุ่งยาก หากยังไม่สร้างความชอบใด ถึงรุ่นถัดต่อจากพวกเจ้า พวกเราแม้แต่ผู้บัญชาการเหลียวซีก็อาจไม่มีให้นั่งแล้วก็ได้ ตระกูลหลี่จบสิ้น ไร้รากฐาน เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่เมืองเซวียนฝู่งั้นหรือ? ที่นั่นไม่ใช่ตระกูลลี่กับตระกูลหม่าดูแลอยู่หรือ…ตอนนี้ตระกูลหลี่เราต้องทำศึกชนะด้วยตนเองสักศึก ต้องแสดงความสามารถ หากได้แต่ตามคนอื่นออกศึก ราชสำนักต้องการตระกูลหลี่เราไว้ทำไมกัน…”
พูดไม่หยุด ยังต่ออีกว่า
“ตอนนี้คนหลายคนเบื้องหน้าเราเอาใจออกห่างแล้ว จู่เฉิงซวิ่นทหารม้าห้าพันสะสมมาได้อย่างไร หากไม่ใช่คิดจะไปหาที่ทางตนเอง หรูซงเอ๋ย ความชอบการทหารเป็นรากฐานตระกูลเรา ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าหรือน้องชายเจ้า ล้วนต้องมีความดีความชอบที่โดดเด่นเพื่อทำให้สถานะตนมั่นคง ให้พวกเมืองหลวงรู้ความสามารถพวกเจ้า ข้าตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้ว ทำไปทั้งหมดเพื่อผู้ใด หากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้า?”
พูดถึงตรงนี้ หลี่เฉิงเหลียงก็เริ่มหลั่งน้ำตา เสียงสะอื้นกล่าวว่า
“ราชสำนักกำลังลงมือกับเมืองชายแดนแต่ละเมือง ตระกูลหลี่หากไม่สร้างความดีความชอบ วันหน้าพวกเจ้าคงได้แต่เป็นแค่เศรษฐี พวกเจ้าหากเป็นเศรษฐีที่ไร้อำนาจบารมี อาจต่อไปได้สองรุ่น จากนั้นเกรงว่าตระกูลหลี่เราคงหายไปราวกับอากาศแล้ว…”
หลี่หรูซงเอาแต่ส่ายหน้า รอหลี่เฉิงเหลียงกล่าวไม่จบ หลี่หรูซงก้มหน้าบลงมองพรมเปอร์เซียที่พื้น นี่คงซื้อมาจากเทียนจิน ราคาก็น่าจะนับพันตำลึงทอง ราวกับว่ามองลวดลายพรมที่พื้น หลี่หรูซงเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจยาวกล่าวว่า
“ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ข้ารู้ว่าอำนาจวาสนามาจากที่ใด ข้าไม่ลืมบุญคุณบิดาเป็นแน่ การทหารกำลังสำคัญ ขอท่านพ่อรักษาสุขภาพ พรุ่งนี้ข้าจะไปเหลียวหนาน เข้าสู่สนามรบให้เร็วที่สุด”
**************
หวังทงเร่งเดินทางมาตลอดทาง วันที่ 20 เดือนสิบเอ็ดมาถึงเมืองหลวง จากเมืองซงเจียงเร่งเดินทางขึ้นเหนือ พื้นที่ที่ผ่านมาล้วนใช้เส้นทางคลองส่งน้ำหังโจว-เมืองหลวง นี่เป็นพื้นที่รุ่งเรืองยิ่งแห่งแผ่นดินหมิง
ตลอดทางแม้ส่วนใหญ่เร่งเดินทาง แต่ทว่าก็ได้ชมเมืองตลอดเส้นทางน้ำ หวังทงผ่านพื้นที่นี้หลายครั้ง เริ่มเปรียบเทียบก่อนหลัง แต่ละแห่งล้วนรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ตลอดทางยังได้รับชาวบ้านมาร่วมทัพอีกไม่น้อย เมื่อก่อนง่ายมาก แต่พอการค้าเจริญรุ่งเรือง เทียนจินกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ไม่เพียงแต่สองแห่งนี้ที่รุ่งเรือง พวกเขาหนึ่งอยู่เหนือ หนึ่งอยู่ใต้ ขับเคลื่อนพื้นที่ระหว่างเหนือใต้นี้ทั้งหมด และขับเคลื่อนไปทั้งแผ่นดินหมิง
แต่ทว่าพอเข้าเมืองหลวงมา หวังทงถึงกับไม่มีเวลาไปพบปะมิตรสหาย ก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวเข้าเฝ้า
ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ ผู้ช่วยสำนักโจวอี้ ยังมีเหลียวกั๋วกงหวังทง ห้าคนร่วมหารือ