องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1092 หารือออกศึก
ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับบนบังลังก์มังกร หวังซีเจวี๋ยกับหวังทงล้วนมีเก้าอี้นั่ง แต่ทว่าเถียนอี้กับโจวอี้สองคนได้แต่ยืนข้างๆ
หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าห้องทรงอักษรมีความลับเพียงใด เจ้าจินเลี่ยงก็มักอยู่ด้วย การหารือเรื่องการทหารเช่นนี้ ตามหลักก็ต้องมีเสนาบดีกรมทหารกับเสนาบดีกรมอากร
แต่ในวันนี้ พวกเขาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอ ฮ่องเต้และมหาอำมาตย์ หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์กับผู้ช่วยสำนัก และหวังทง คนเหล่านี้ล้วนเป็นระดับแนวหน้าสูงสุดในแผ่นดินหมิง เป็นบุคคลระดับแกนนำ ผู้อื่นล้วนมิอาจเทียบ
“แม่ทัพออกศึก ควรมีอำนาจสั่งการในมือ หลักการนี้เราเข้าใจ แต่มีบางเรื่องก็ยังคงอยากถามดู ที่นี่ก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงนุ่มนวล มองหวังทงกำลังจะลุกขึ้นทูล ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ตรัสต่อว่า
“ถามอันใด ไม่ได้หมายความว่าเจ้าทำไม่ถูก เจ้าก็ทำไปตามที่เจ้าวางแผนไว้ เราแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น?”
ตรัสเช่นนี้ แต่ในเมื่อแสดงท่าทีเช่นนี้ ก็ย่อมเพราะหวังทงจัดการวางแผนไม่เข้าใจหลายจุด จึงได้ตรัสถาม ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างสงสัย หากอธิบายไม่กระจ่าง ใช่ว่าบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไขได้
ครั้งนี้แผ่นดินหมิงนำกำลังออกศึกแม้จำนวนไม่ได้มากไปกว่าตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อย เกือบจะเรียกได้ว่าเจ็ดส่วนจากกำลังทหารเก่งกล้าทางเหนือแผ่นดินหมิง ยังมีกองกำลังทางน้ำที่เก่งกล้าที่สุด หากครั้งนี้ปฏิบัติการล้มเหลว ทางเหนือก็แทบไร้กำลังทหารจะต้านศึกอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจรวัวโค่วสามารถบุกเข้าถึงศูนย์กลางแผ่นดินหมิงได้ทันที
การปฏิบัติการใหญ่เช่นนี้ อย่างไรฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมให้ความสำคัญ แม้รู้ว่าไม่ทรงชำนาญในการทหาร แต่ก็ยังอยากถามเพื่อให้เข้าพระทัย
เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ล้วนไม่เข้าใจการจัดกำลังพลของหวังทง ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เข้าใจ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ก็ล้วนไม่เข้าใจ
โอรสสวรรค์ในเมื่อตรัสออกมาเช่นนี้ หวังทงแน่นอนย่อมไม่ปฏิเสธ ก้มตัวกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ขอทรงถามมาได้ หากกระหม่อมรู้ย่อมไม่อาจไม่กราบทูล”
“เราเห็นเจ้ารวมกำลังทหาร เหตุใดทหารม้าน้อยเพียงนั้น หากดูจากจำนวนที่เจ้าเรียกกำลังพลชายแดนแล้ว แต่ละเมืองเมืองชายแดนทหารราบพันห้า ทหารราบไหนเลยดีเท่ากับทหารม้า แม้เมืองชายแดนเริ่มลดทหาร แต่เจ้าเรียกกำลังทหารม้ามาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ล้วนรับได้ หวังทง ครั้งนี้เป็นศึกระดับชาติ ไม่อาจประมาทศัตรู!”
เข้าทำศึกกับทัพใหญ่โจรวัวโค่วสองแสนในเกาหลี แผ่นดินหมิงเคลื่อนกำลังทหารแน่นอนยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี ทหารม้าย่อมเก่งกล้ากว่าทหารราบ โดยเฉพาะทหารเก่งกล้าเมืองชายแดนแล้ว หวังทงรวมกำลังพลเช่นนี้ ใช้แต่ทหารราบเมืองชายแดนแต่ละเมือง ไม่ได้ใช้กำลังทหารม้าส่วนตัวของบรรดาขุนพลชายแดน เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงเข้าพระทัย หากบอกว่าหวังทงรบไม่เป็น ก็เห็นจะไม่ใช่ จึงได้แต่คาดเดาเอาว่าอาจประมาทหรือ หลังรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งจึงประมาทหรือ
“ฝ่าบาท นอกกำแพงเมืองยังไม่สงบดี เมืองชายแดนแต่ละเมืองเพราะการปรับเปลี่ยนทำให้ยังมีความโกรธแค้น สถานการณ์ยังคงต้องระมัดระวังป้องกันไว้ก่อน ให้ทหารม้าเก่งกล้าเหล่านี้เฝ้าระวัง ก็พอจะปราบได้ หากเอาไปหมด เกรงว่าอาจมีพวกคิดการใหญ่อาศัยจังหวะนี้ลงมือได้ สอง ข้อได้เปรียบทหารม้าในจังหวะนี้ ในการปะทะนี้ เกาหลีเล็กและแคบ ภูเขาก็มาก ข้อได้เปรียบทหารม้าไม่มากในพื้นที่ดังกล่าว ทหารราบค่อยๆ เดินเท้าเข้าไปกลับได้ผลดีที่มั่นคงยิ่งกว่า ทหารม้าเมืองชายแดนยังมีนายตน ล้วนเป็นดังชีวิตของบรรดาขุนพลชายแดน หากรบตามน้ำก็พอได้ แต่หากปะทะเหตุเจออุปสรรคใดก็ยากจะยืนหยัดต่อ ทหารราบไม่เหมือนกัน ทหารเก่งกล้าเมืองชายแดนหลายเมืองตอนนี้ไม่มีที่ไป มีโอกาสออกศึกเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง ย่อมตั้งใจเต็มที่ สาม หากใช้ทหารม้า กองเสบียงหนุนที่ตามมาส่งย่อมสิ้นเปลืองมากไป ทหารม้าพันนาย เปลืองเสบียงมากกว่ากองกำลังหลวงหนึ่งหน่วย ตอนนี้ฝ่าบาทรวมกำลังทหารใต้หล้า ท้องพระคลังก็เคร่งเครียด ประหยัดได้หน่อยก็ประหยัด และขบวนทัพม้ากองกำลังหลวงรวมกับทัพม้าต้าถงก็เกือบห้าพันแล้ว ยังมีทหารม้าเก่งกล้าจากเหลียวหนิง สนามรบนี้เพียงพอแล้ว”
หวังทงอธิบายเรื่อยๆ พูดจนฮ่องเต้ว่านลี่กับคนรอบๆ ได้แต่พยักหน้าไม่หยุด พอหวังทงพูดจบ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังซีเจวี๋ยและเถียนอี้ก็สบตากัน ยิ้มพอใจ
“ช่างเป็นเสาหลักแห่งแผ่นดินจริงๆ ทุกเรื่องคิดการเพื่อแผ่นดิน หวังทง เจ้าคิดว่าศึกนี้ใช้เวลานานเท่าไร?”
“ทูลฝ่าบาท ทัพใหญ่แต่ละหน่วยมารวมกันที่เหลียวตงอย่างไรก็ต้องรอถึงปีหน้าเดือนหนึ่ง สำหรับศึกนี้ต้องใช้เวลาเท่าไร การศึกเปลี่ยนแปลงตลอด ยังเป็นศึกระดับชาติ กระหม่อมไม่กล้าให้คำตอบ”
นี่เป็นคำตอบกลางๆ ตามระเบียบแบบแผน ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ หวังทงมองไปยังหลายคนในห้องทรงอักษร เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยทูลถามขึ้น
“ฝ่าบาท ที่จริงศึกนี้ชนะหรือแพ้ กระหม่อมมั่นใจในชัยชนะใหญ่ แต่ทว่าจะใช้เวลานานเท่าไร ฝ่าบาท ก็อาจหกเดือน หรืออาจจะหนึ่งปี หรือนานกว่านั้น กระหม่อมคิดว่ารบยิ่งนานกว่า ผลประโยชน์ก็ยิ่งมากกว่าอีกหน่อยไม่ใช่หรือ?”
พูดถึงตรงนี้ หลายคนในห้องทรงอักษรสีหน้าล้วนแปลกใจ ทุกคนล้วนรู้หวังทงเป็นคนนิ่งรอบคอบ ไม่พูดจาเหลวไหล ยิ่งไม่น่าจะถามต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ ยิ่งไม่กล่าววาจาล่องลอย แต่ ‘รบยิ่งนานกว่า ผลประโยชน์ก็ยิ่งมากกว่า’ ประโยคนี้เหนือความคาดหมายจริง
เพื่อการรวมกำลังทหารต่างๆ เหล่านี้ในตอนนี้ เมืองหลวงก็กังวลใจเร่งมือกันทำงานกันหนักแล้ว การรบต้องใช้เงินทอง นี่เป็นเรื่องจริงไม่เท็จ ยังไม่ได้ปะทะกับทัพใหญ่โจรวัวโค่ว เงินก็ไหลไปราวกับสายน้ำ รอเปิดศึก ก็ยิ่งไหลไปขนาดราวภูเขาเงินทะเลทองคำ เงินงบประมาณกรมโยธาไว้ซ่อมแซมกำแพงและเส้นทางน้ำล้วนโยกไปปีหน้าแล้ว หากรบกันยิ่งนาน ใช่ว่าจะทำให้แผ่นดินหมิงกระเป๋าแห้งหรือ
“ครั้งนี้ออกศึก หากไม่ใช่เจ้าคิดเรื่องการเตรียมการ เกรงว่าคนกรมอากรก็คงหาเรื่องขึ้นภาษีอีกแล้ว ยิ่งรบกันยิ่งนานก็ใช้เงินยิ่งมาก คนตายยิ่งมาก ถึงตอนนั้นเกรงว่าท้องพระคลังคงแห้งขอด เกิดจลาจล เจ้าเหตุใดจึงบอกว่ายิ่งนานผลประโยชน์ยิ่งมาก?”
บรรยากาศในห้องไม่ได้เหมือนตอนถามคำถามแรกแล้ว เถียนอี้กับหวังซีเจวี๋ยสีหน้าล้วนเคร่งเครียด โจวอี้เองก็สีหน้าเป็นห่วง ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์อยากรู้ ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงคิดพิสดารแปลกๆ มากมาย แต่ใช่ว่าเป็นคนที่พูดจาเหลวไหลไร้หลักการ
สีหน้าหวังทงไม่เหมือนกล่าววาจาเหลวไหลไปอย่างงั้น เขาลุกขึ้นก้มตัวลงทูลจริงจังว่า
“ฝ่าบาท ตั้งแต่ตัดสินใจเปิดศึกมาถึงตอนนี้ ในและนอกวังล้วนใช้เงินไปเกือบแสนตำลึงแล้ว รอให้เปิดศึกก็ยิ่งต้องใช้จ่ายมากจนน่าตกใจ กระหม่อมทูลถามฝ่าบาท และขอถามใต้เท้าหวังกับกงกงทั้งสอง ชัยชนะใหญ่นี้ จะขับไล่ทัพใหญ่โจรวัวโค่วออกจากเกาหลีกลับประเทศวัว หลังจากนี้จะจัดมีบรรณาการหรือ? เกาหลีจะมีเงินมาชดเชยให้หรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ในเมื่อกล่าวกันถึงมหาอำมาตย์ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยส่ายหน้าขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เหลียวกั๋วกงกล่าวเช่นนี้ไม่เหมาะนัก ตอนนี้โจรวัวโค่วใกล้เขตแดนแผ่นดินหมิง พวกเขาลำดับต่อไปย่อมเข้าสู่เหลียวหนิง ความคิดเป็นใหญ่เช่นนี้ แผ่นดินหมิงไหนเลยจะนั่งเฉยอยู่ได้ เพื่อความสงบสุขของเกาหลีในอาณัติเรา เพื่อแผ่นดินหมิงเรา ศึกนี้ต้องรบ ไยจึงกล่าวว่าสิ้นเปลืองเงินทอง?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปไม่ตรัส หวังทงหันไปทางหวังซีเจวี๋ย ถามขึ้น
“ใต้เท้า เกาหลีในอาณัติเรา เคยทำผลประโยชน์อะไรให้แผ่นดินหมิงเราบ้างไหม? ยังจำที่ข้าไปเจี้ยนโจวกับใต้เท้าหวังได้ ยังมีขุนพลทหารเหลียวหนานบอกว่า แม่น้ำยาลูเกาหลีด้านหนึ่งเดิมทีเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง แต่ถูกเกาหลีทำไม่รู้ไม่ชี้ฮุบเอาไป นี่เป็นตำนานเล่ากันมา ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน หลายปีนี้เกาหลีส่งบรรณาการ ความจริงนั้นล้วนมาค้าขายของในประเทศ กำไรเงินทองแผ่นดินหมิงเราไป เราทุ่มเงินทองลงไปในเมืองในอาณัติเหล่านี้ มีประโยชน์อันใด เรารักษาดินแดนแผ่นดินหมิง ขับไล่ ปล่อยโจรวัวโค่วไปก็พอไม่ดีหรือ”
“เหลวไหล เกาหลีมีกองทัพพวกโจรวัวโค่วสองแสน หรือว่าจะพอใจแค่ในแผ่นดินเกาหลี? แผ่นดินหมิงนั่งเฉยมองดูก็ย่อมไม่อาจหลบภัยได้ ดังริมฝีปากและฟัน ย่อมพังทลายไปพร้อมกัน!”
หวังซีเจวี๋ยหงุดหงิดวาจาหวังทงอยู่บ้าง วาจาจึงหนักไปสักหน่อย แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยในใจกระจ่างดีว่า หวังทงย่อมไม่กล่าวอันใดไร้หลักการเหตุผล
“ใต้เท้ากล่าวไม่ผิด ดังริมฝีปากและฟัน เรื่องนี้กล่าวถึงร่างกายคนๆ หนึ่ง ริมฝีปากและฟันล้วนเป็นของคนๆ เดียว ยามนี้ออกรบ ก็เพื่อแผ่นดินหมิง ไม่ใช่เพื่อเกาหลีอันใด”
“หวังทง เจ้าหมายความว่าจะกินรวบเกาหลีไปด้วย?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นช้าๆ ตรัสจบ คนที่เหลือในห้องก็สะดุ้ง สะดุ้งเพราะตกใจ พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย มองเห็นหวังทงค่อยๆ พยักหน้า เถียนอี้อดไม่ได้กล่าวว่า
“ฝ่าบาท ขอพระราชอภัย กระหม่อมมีวาจาขอถามเหลียวกั๋วกง”
ขันทีในที่นี่เหมือนเป็นแค่ผู้ติดตาม ดังนั้นการเอ่ยถามความเห็นจึงเป็นเรื่องที่ไม่บังควร ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนย่อมอนุญาตเพราะพระองค์เองก็มีสีพระพักตร์ไม่เข้าใจเช่นกัน
“เหลียวกั๋วกง บรรพชนเราได้ตั้งกฎให้เกาหลีเป็นประเทศเราไม่รุกราน ตอบแทนที่ช่วยบรรพชนเราขับไล่พวกนอกด่าน หากฮุบกลืนเกาหลี ใช่ว่าเป็นแผ่นดินหมิงไร้คุณธรรมหรือ และเกาหลีหลายแสนคน พื้นที่ยากจน ไม่มีเสบียงแร่ธาตุอันใด ยึดมาแล้วได้อันใด ดีไม่ดียังต้องส่งเงินไปช่วยอีก เช่นนั้นก็ยิ่งเปลืองงบการทหารเข้าไปอีก ใช่ว่ายิ่งสิ้นเปลืองเพิ่มหรือ?”
มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณธรรมใหญ่อันใดล้วนไม่อาจนำมากล่าวเป็นเหตุผลตรงนี้ได้แล้ว มีแต่ผลประโยชน์แท้จริงเท่านั้นที่นำมาถกกัน เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงเข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงสงสัยเช่นกัน หวังทงกระแอมในลำคอ ก่อนจะทูลเสียงดังกังวานว่า
“เถียนกงกง บรรพชนเราตอนนั้นไม่รบเพราะกำลังไปไกลไม่พอ ไม่ใช่ไม่อยากรบ และไม่ใช่ว่ารบไม่ได้ ใต้หล้านี้ยังไม่สงบสุข เหลียวตงยังไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง ได้แต่ยอมรับการคงอยู่ของเกาหลี หากบรรพชนเห็นเกาหลีดังลูกหลานจริง เช่นนี้เหตุใดจึงตั้งแนวป้องกันชายแดนเข้มงวดเช่นนี้กัน สำหรับผลประโยชน์ ข้าไม่ขอตอบตอนนี้ เถียนกงกงถามขึ้นเช่นนี้ ข้าขอถาม พวกเกาหลีเข้ามาในแผ่นดินเรา สามรุ่นอายุคนสามารถแยกเชื้อชาติออกไหม?”
แผ่นดินหมิงราชสำนักกับท้องที่ล้วนมีขุนนางชาติกำเนิดเกาหลี ถึงกับในวังยังมีขันทีเกาหลี แต่คนเหล่านี้แยกจากชาวฮั่นเราไม่ออก เถียนอี้รับรู้ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่อาจ…”
กล่าวจบ ทุกคนในห้องทรงอักษรล้วนเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่หวังทงกล่าวมาแล้ว