องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1093 เหตุใดต้องเปิดศึก
“หวังทง ความหมายเจ้าก็คือมีหลายแสน?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมกำลังคิดเช่นนี้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น หวังทงตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสอีกว่า
“ลุ่มน้ำกับนอกด่านแต่ละแห่งล้วนกำลังมีพื้นที่มากมายรอการบุกเบิกพื้นที่ ยังมีกิจการเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและอื่นๆ ที่กำลังต้องการกำลังคน ความหมายเจ้าก็คือให้พวกเกาหลีไป?”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมาะพะยะค่ะ!”
พูดถึงตรงนี้ หวังซีเจวี๋ยกลับร้อนใจทูลขึ้น ขัดทุกคนแล้ว หวังซีเจวี๋ยก็รีบร้อนกล่าวว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิงกับลุ่มน้ำ ยังมีตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเหลียวโจว ล้วนห่างไกลเมืองหลวง แต่ละเผ่าอยู่กันวุ่นวาย ราชสำนักควบคุมไม่อาจเรียกได้ว่าดีนัก หากให้เป็นคนเกาหลีจำนวนมากเช่นนี้เข้ามา รุ่นสองรุ่นคุมได้ แต่หากยามแผ่นดินหมิงไม่สงบ เกรงว่าทุกคนจะลุกฮือขึ้นมาตั้งตน ถึงตอนนั้นไม่ใช่เราได้ประโยชน์ กลับกลายเป็นพวกเกาหลีได้บุกเบิกแผ่นดินตนไปแทน”
หลักการนี้ก็พอเข้าใจ อย่างไรก็พวกเกาหลีก็มีจำนวนมาก ไปยังที่เหล่านี้ กลับเป็นพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ ยังเป็นชายแดน เกรงว่าถึงเวลาก็ยากจะควบคุม
ทุกคนไม่เร่งให้ข้อสรุป หากพากันมองไปยังหวังทง ดูว่าหวังทงจะอธิบายอย่างไร
“ใต้เท้าคิดได้รอบคอบ แต่ที่ข้าคิดก็คือ ให้คนเกาหลีอพยพเข้ามาในมณฑลต่างๆ ของเรา ให้กลายเป็นชาวฮั่น ให้เกาหลีเป็นแรงงานในนา เป็นทาส ให้ชาวฮั่นแต่ละแห่งได้นำไปบุกเบิกกิจการเพาะปลูก กลายเป็นพวกมีบ้านมีอาชีพ เป็นราษฎรที่เพิ่มภาษีให้ราชสำนัก ร่วมสร้างสรรสิ่งใหม่เพื่อแผ่นดินหมิง”
ทุกคนเงียบไป หากกล่าวเช่นนี้ ผลประโยชน์ย่อมมากยิ่งกว่ามาก คนในห้องทรงอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นระดับหัวสมองแห่งแผ่นดิน เรื่องต่างๆ ใต้หล้ายามนี้ก็ล้วนเข้าใจยิ่ง
ตอนนี้หลายมณฑลทางเหนือล้วนขาดแคลนแรงงาน ชาวนามากมายล้วนออกไปทำนาเพาะปลูกนอกกำแพงเมือง อากาศทางนั้นอาจจะหนาวเหน็บกว่าทางนี้ แต่ทว่ามีดีที่ภาษีต่ำ มีกิจการของตนเอง อย่างไรก็ดีกว่าถูกขูดรีดที่บ้านเกิดมากนัก
นานวันเข้า ทุกคนล้วนรู้ ข้างนอกแม้ว่าหนาวเย็นและลำบาก แต่พอไปแล้วได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่ามาก คนที่คุมพื้นที่อย่างไรก็มีธรรมเนียม ไม่รังแกผู้ใดกันง่ายๆ ตามอำเภอใจ หากเป็นในท้องที่เดิมตน ขุนนางท้องที่และคนใหญ่คนโตท้องที่ก็มักจะไม่เห็นชาวบ้านในสายตา
แน่นอน อาณานิคมเพาะปลูกแต่ละแห่งไม่ได้มีแต่คนดี ที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดให้คนไปกันยิ่งมาก อย่างไรตอนนี้ด้านนอกก็ขาดแคลนแรงงานที่สุด
แม้ชาวนาล้วนจากบ้านเกิดเมืองนอนไป แต่ชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ การทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ไม่อาจทำได้ ตอนนี้ขุนนางมีเรื่องกันก็เรื่องการอพยพประชากร ขุนนางแต่ละมณฑลโจมตีขุนนางชายแดน ว่าพวกเขาปล่อยปละราษฎรให้ไหลออกไป ชายแดนก็บอกว่าในด่านขูดรีดมากไป ดังนั้นจึงบีบให้ราษฎรทนไม่ได้ต้องไป
แต่ละแห่งล้วนมีจุดยืน แต่ไรก็เป็นเช่นนี้ แต่ทว่าราชสำนักกลับเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องดี เพราะคนที่หนีออกไปเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นราษฎรยากจนไร้อาชีพไร้ที่ดิน คนพวกนี้ไปทำงานให้เจ้าของที่ดินมีเงิน ราชสำนักไม่ได้อะไรด้วยเท่าไร ถึงกับไม่ได้แม้แต่แดงเดียว เพราะเจ้าของที่ดินมีเงินพวกนั้นมักมีวิธีแอบซ่อนที่ดิน ไม่เสียภาษี และยังอาจมีสิทธิทางภาษีต่างๆ นานา
คนเหล่านี้ออกไปนอกด่าน ไปถึงนอกด่าน พวกเขาย่อมต้องคิดสร้างตัวเร่งเพาะปลูก สองปีนี้แม้ภาษีลดลง แต่ระยะยาวมองดูแล้ว ราชสำนักสามารถเก็บภาษีจากคนเหล่านี้ได้ เพิ่มภาษีให้ราชสำนักได้ ตั้งแต่เริ่มมีการจัดการเรื่องที่ดินมา ราชสำนักเก็บภาษีนับวันยิ่งมาก
หวังทงคิดจะนำราษฎรเกาหลีเข้ามาในเขตแดน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานชาวฮั่น ให้พวกเขาไปตั้งรกรากยังชายแดน เพื่อเพิ่มภาษีให้ราชสำนัก เพิ่มจำนวนคนที่ขาด เช่นกัน ราษฎรเกาหลีเหล่านี้บนแผ่นดินหมิงต่อไปหลายรุ่น ถึงกับแค่สองรุ่นก็พอ ย่อมผสมกลืนหายไปแล้ว
เพราะราษฎรสองแผ่นดินหน้าตาไม่ต่างกันมาก ชีวิตความเป็นอยู่กับวัฒนธรรมก็มีหลายอย่างคล้ายกันมาก แน่นอนย่อมรวมกันได้ราบรื่น
เกาหลีแม้พื้นที่ยากจน แต่อย่างไรก็พื้นที่ดังมณฑลเล็กๆ ยังมีประชาการหลายแสน อย่างไรก็เป็นเรื่องดี บุกเบิกที่ดิน เพิ่มประชากร สำหรับฮ่องเต้แล้ว เป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เริ่มเปลี่ยนจากสงสัยเป็นพึงพอพระทัย ค่อยๆ พยักพระพักตร์ แต่ก็ยังตรัสถามต่อว่า
“หวังทง ที่เจ้ากล่าวมานี่ แน่นอนเป็นเรื่องดีมาก แต่การทำเช่นนี้ การจัดการคนหลายแสนคน เกาหลีทางนั้นยังต้องอพยพคนเข้ามา สิ้นเปลืองมาก เจ้ากล่าวถึงนี่ เกรงว่า ในห้าปีก็คงยังไม่เห็นผลอันใด!”
ถามรายละเอียดเหล่านี้ขึ้น ไม่ได้แปลว่าเอาเรื่อง แต่ความจริงนั้นคือ ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มไตร่ตรองเรื่องนี้ว่าเป็นไปได้ไหมแล้ว และจะจัดการอย่างไร ทำอย่างไร
หวังซีเจวี๋ยกับเถียนอี้สบตากัน ก่อนมองไปยังโจวอี้ พวกเขาสามคนมีสายตาเหมือนกัน หวังทงน่าจะมีคำตอบมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะมีความคิดเป็นฉากๆ ได้เช่นนี้
“ฝ่าบาท ยึดครองเกาหลี อพยพคนมา ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจชดเชยคืนทัพใหญ่ได้ แต่ถึงขั้นท้องพระคลังยังต้องเติมเงินเข้ามาเพิ่มด้วย แต่ที่กระหม่อมทูลไม่ใช่แค่เกาหลี”
ในห้องทุกคนพากันสะดุ้ง เรื่องให้ตกใจมีมากเกินไปแล้ว เพราะที่หวังทงว่ามานั้นช่างเหนือความคาดหมาย เมื่อก่อนทุกคนไม่กล้าคิด ถึงกับคิดไม่ถึง หวังทงล้วนกล้านำเสนออย่างไม่กลัว หรือว่า……
“หวังทง เจ้ากล่าวถึงที่ใด?”
“ฝ่าบาท โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลี และยังจ้องเขมือบแผ่นดินหมิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนั้นที่มีภัยทางตะวันออกเฉียงใต้ ความชั่วเหล่านี้ใช่ว่าไม่ควรกำราบให้ราบคาบหรือ ขับไล่โจรวัวโค่วออกจากเกาหลีแล้ว ยังต้องยกทัพไปประเทศวัว”
“เหลียวกั๋วกง เจ้าก็ร่ำเรียนหนังสือ รู้ประวัติศาสตร์ หรือว่าไม่รู้ว่าราชวงศ์หยวนแห่งมองโกลข้ามทะเลไปตีวัวโค่ว ถูกลมพายพัดล่มทั้งกองทัพสูญสิ้น ประเทศวัวไม่มงคล ไม่ใช่ที่ออกศึก!”
พูดถึงตรงนี้ หวังซีเจวี๋ยน้ำเสียงหวาดกลัวจริงแล้ว ตอนราชวงศ์หยวนโจมตีประเทศวัว ทัพใหญ่นับแสนถูกพายุพัดเรือล่ม สูญสิ้นทั้งกองทัพ เรื่องนี้ใต้หล้าล้วนรู้ ยังมีสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งเกิดภัยโจรวัวโค่ว แผ่นดินหมิงทุกคนก็ล้วนรับรู้ ประเทศวัวไม่มงคล ยกทัพไปมีแต่ภัยหายนะ
หวังทงนั่งตัวตรง ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้า พวกมองโกลก็แค่พวกนอกด่าน ไม่รู้เรื่องบนท้องทะเล ดังนั้นจึงถูกพายุกระหน่ำ เกี่ยวอันใดกับฟ้า พวกโจรวัวโค่วรุกรานแผ่นดินหมิงทางตะวันออกเฉียงใต้ ก็เป็นประเทศวัวยกพลข้ามทะเลมา พวกเขาเหตุใดไม่ถูกลมพายุกระหน่ำเล่า ตอนนี้ เมืองซงเจียงกับเทียนจินเปิดทะเล บนท้องทะเลการค้าเจริญรุ่งเรือง พ่อค้าทะเลก็มีมากมาย คนเก่งการเดินเรือเราก็มีมากขึ้น เหตุใดจึงไม่อาจไปโจมตีประเทศวัวเล่า”
“เหลียวกั๋วกง โจรวัวโค่วกำลังนับล้าน เทียบได้กับแผ่นดินหมิงเราหลายมณฑล หากยึดครองพื้นที่พวกเขามา เอาประชากรพวกเขามา ยังข้ามทะเลอีก คิดแล้วน่าจะสิ้นเปลืองกว่ายึดเกาหลีมาก ใช่ว่าขัดกับความตั้งใจแรกเดิมหรอกหรือ”
ครั้งนี้เอ่ยขึ้นกลับเป็นโจวอี้ กลืนแผ่นดินเกาหลีก็เป็นเพราะพื้นที่ทางบกติดกัน มีความสะดวกหลายอย่าง และเกาหลีราชสำนักเล็กๆ ถูกโจรวัวโค่วรุกรานอยู่แล้ว หลายครั้งก็มาขอเป็นเมืองขึ้น นี่เป็นรูปแบบที่ยอมรับได้ แต่หากให้ข้ามทะเลไปโจมตีประเทศวัว เช่นนั้นย่อมมีเรื่องไม่สะดวกหลายอย่าง
หากโจมตีประเทศวัวพ่ายมา หวังทงต้องรับผิดชอบหนัก ถึงกับสูญสิ้นอำนาจและชื่อเสียง ในสถานการณ์นี้วาจากล่าวตรงไปตรงมาทำลายความคิดเขาสิ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนเรียกเข้าเฝ้าตรัสว่า สถานการณ์วันนี้กล่าวได้ไร้ความผิด ทุกคนจึงได้ร่วมหารือ
ได้ยินโจวอี้ถามขึ้น หวังทงยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า
“โจวกงกงคิดได้รอบคอบ แต่ทว่าหลังรบประเทศวัวได้ ก็สามารถได้กำไรทันที ไม่เพียงเสบียงที่เสียไปได้คืน ถึงกับยังได้เติมเต็มท้องพระคลังได้อีก”
วาจานี้กล่าวจนทำให้ทุกคนล้วนตัวตรงยื่นหน้ามาตั้งใจจ้องมองรอฟังหวังทง ในใจคิดว่าทำกำไรได้อย่างไร กำไรใหญ่อันใดกัน ที่เจ้ากล่าวถึงนี่ล้วนเป็นรายจ่ายที่เรียกได้ว่าเยอะมากมหาศาล
“ฝ่าบาท ประเทศวัวผลิตแร่ทอง เงินและทองแดง ตามข่าวจากพ่อค้าทะเล ประเทศวัวแม้ว่ามีขนาดแค่สองสามมณฑลแผ่นดินหมิงเรา แต่แร่ทอง เงิน และทองแดงนั้นเรียกได้ว่ามากกว่าแผ่นดินหมิงเราหลายเท่า”
ในห้องหลายคนล้วนมีตำแหน่งสูงมานาน พอได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้อุทานตกใจ ผลิตได้เช่นนี้เอง ประเทศวัวจึงได้ร่ำรวยเช่นนั้น
“ความร่ำรวยนอกแผ่นดิน แต่ไรก็เป็นแค่เรื่องเล่า จะมาเอาเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร เหลียวกั๋วกงต้องคิดให้รอบคอบ!”
โจวอี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หวังทงยิ้มพยักหน้า เอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวัง กงกงทั้งสอง เงินที่ผลิตในปีหย่งเล่อมีเท่าไร มีระบุชัดเจนในเอกสาร แต่ตอนนี้เงินเหรียญที่เทียนจินกับเมืองซงเจียงที่ใช้กันอยู่ก็ราวเหมือนว่าเป็นหนึ่งในสามของจำนวนที่ระบุไว้ หากนับรวมรอบๆ เทียนจินกับเมืองซงเจียง ถึงกับมากกว่าครึ่งหนึ่ง พื้นที่มากมายเพียงนี้มีเงินเหรียญไหลเวียนแค่นี้ และยังเป็นสีสด ใต้หล้าแต่ละแห่งเล่า หรือว่าพวกเขาไม่ใช้เงินเหรียญ? เงินเหรียญอาจจะผลิตใหม่ตลอดก็ได้ และประเทศวัวเกาหลีกับทะเลใต้ก็เป็นพื้นที่ที่ใช้เงินเหรียญหย่งเล่อ ใช้เงินกันมากมายเพียงนั้น ในรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาล้วนชี้ชัดว่า พวกโจรสลัดประเทศวัวแอบผลิตเหรียญเอง นี่เป็นเงินเหรียญเท่าไรกัน”
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอันใด คนที่นั่งอยู่ล้วนได้รับฟัง แต่ทว่าพอฟังหวังทงพูดเช่นนี้ ก็เริ่มคิดต่อไปอีก
หวังทงยังคงกล่าวเนิบนาบต่อไปว่า
“ประเทศวัวทองคำหนึ่งตำลึงแลกได้เงินสี่ตำลึง และสีทองยังสุกอร่าม พ่อค้าทะเลแผ่นดินหมิงไปมาประเทศวัว มีคนทำกิจการแลกเงินและทองนี้ ร่ำรวยมหาศาลระดับชาติ”
แผ่นดินหมิงทางการกำหนดให้ทองหนึ่งตำลึงแลกเงินสิบตำลึง เทียนจินกับเมืองซงเจียงมีเงินไหลเข้ามากองโต ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินและทองจึงเป็นหนึ่งต่อแปด ไม่ก็หนึ่งต่อห้า แต่เทียบกับประเทศวัวแล้ว แค่ลองคำคำนวณก็รู้ผลประโยชน์มหาศาลซ่อนอยู่
ในยุคนี้เป็นยุคแห่งการกล่าวถึงแต่ผลประโยชน์ ประเทศวัวร่ำรวยเช่นนั้น ช่างเป็นเนื้อก้อนโตเสียจริง แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป๋ซานนอกกำแพงเมือง เมืองกุยฮว่าเฉิง พื้นที่แต่ละผืนทำให้ขุนนางแผ่นดินหมิงยิ่งต้องการก้อนยิ่งโตขึ้น การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองนับวันยิ่งดุเดือด หวังทงพูดถึงตรงนี้ ทุกคนล้วนหวั่นไหว