องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1095 ตระกูลหลี่ชนะศึกแรก
“นายน้อยรอง! พี่น้องเราสูญเสียไปสามร้อยชีวิตแล้ว หากยังรบต่อเกรงว่าจะตายยิ่งมาก!”
ขุนพลทหารติดตามหลี่หรูป๋อตะโกนดัง บุกไปสามครั้งแล้ว โจรวัวโค่วก็ไม่โผล่หัวออกมา ใช้ปืนใหญ่วัวโค่วยิงใส่ ไม่ก็ใช้ทหารเกาหลีที่ยอมจำนนยิงธนูออกมาไม่หยุด ทหารม้าเหลียวซีบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย สำหรับทหารสี่พันแล้ว ตายไปสามร้อยเจ็บตัวพอควรแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสะเทือนกำลังหลักมาก แต่การเข้าไปตายอย่างไร้ผลเช่นนี้ อีกฝ่ายเตรียมยิงป้องกันเป็นหลัก ทำให้ขวัญกำลังใจหดหายไปได้ไม่น้อยเช่นกัน
ขุนพลทหารเรียก ‘นายน้อยรอง’ ไม่ได้เรียก ‘ผู้บัญชาการ’ เห็นชัดว่าเริ่มโมโห ไม่เรียกตามวินัยทหารแล้ว แต่เรียกตามสังกัดตระกูล
พอโดนเรียกเช่นนี้ หลี่หรูป๋อสีหน้าดำคล้ำ ไม่ส่งคนเข้าโจมตีต่อ หากกล่าวเย็นเยียบว่า
“ทิ้งสองพันคนไว้จับตาที่นี่ ส่งคนกลับไปรายงานพี่ข้า คนที่เหลือตามข้าบุกต่อไป”
รบมาตั้งนานถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าป้อมดินนี่รบไม่รบก็ไม่ต่างกัน สำหรับทหารม้าอย่างพวกเขาแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ
สามวันจากนั้น หลี่หรูซงนำกำลังทัพใหญ่มาถึง สำหรับการบัญชาการของน้องชายนั้นเขาเองก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้มาก ได้แต่กล่าวว่า
“เจ้าส่งคนสองพันไปจับตาดูไว้นับว่าถูกต้อง ที่นี่ไม่อาจไม่ควบคุม ไม่เช่นนั้นมีผลต่อการขนส่งเสบียงเรา”
ป้อมเช่นนี้ หลี่หรูซงรับมือง่ายมาก ออกคำสั่งทันทีว่า
“ปืนใหญ่ยิง!”
เมืองชายแดนใกล้เขตปกครองเหนือ ล้วนซื้อปืนใหญ่โรงช่างเทียนจิน ทุกคนล้วนไม่อยากจ่ายเงินมาก คุณภาพราคาพอเหมาะ อานุภาพได้อยู่ก็พอ ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ตระกูลหลี่กลับเป็นกองกำลังที่ยินดีจ่ายมากกว่าที่อื่น ซื้อปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งไป 16 กระบอก แต่ทว่าโรงช่างเทียนจินขายปืนใหญ่ให้เมืองชายแดนมีเงื่อนไขว่า ไม่ให้รถปืนใหญ่แท่นปืนใหญ่กระสุนหกชั่งขึ้นไป นี่เพราะคำนึงถึงการรักษาสมดุล ไม่อาจให้เมืองชายแดนมีปืนใหญ่นำออกศึกกลางสนามได้มากเกินไป
หลังกำหนดธรรมเนียม สถานการณ์จริงก็ทำให้คนถึงกับพูดไม่ออก นอกจากเมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจวกับเมืองเหลียวโจว ที่อื่นๆ ล้วนไม่สนใจ เมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวซื้อปืนใหญ่กระสุนสามชั่งกับปืนใหญ่กระสุนหกชั่งไปไม่กี่กระบอกให้บัญชาการคุมไว้ เมืองเหลียวโจวซื้อไปแค่ปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งเพื่อป้องกันเท่านั้น ก็แค่นี้เท่านั้น
คนจากหมู่บ้านอวี้หลินเคยมาซื้อปืนใหญ่กระสุนหกชั่ง เพราะยากจะมีคนสนใจซื้อ เครือข่ายสามธาราจึงส่งคนไปตรวจสอบ ผลปรากฏพบว่าเป็นกลุ่มพ่อค้าบนทุ่งหญ้าต้องการซื้อ กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธอย่างมากครอบครองได้แค่ปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง การค้านี้แน่นอนถูกปฏิเสธ
ไม่มีรถปืนใหญ่กับแท่นปืนใหญ่ แต่ทว่าทหารปืนใหญ่เมื่อก่อนก็มิได้มีรถปืนใหญ่และแท่นปืนใหญ่ แต่ปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งสามธาราเบากว่าปืนอื่นที่ผลิตในแผ่นดินหมิง คุณภาพดีกว่า ยิงได้ไกลกว่า นำมาใช้ได้ทันที
ตั้งปืนใหญ่ เล็งไปป้อมดินยิงตูมไป ปืนใหญ่แรกไม่แม่น ปืนใหญ่สองกลับยิงเข้ารั้วไม้ทะลุ จากนั้นปืนใหญ่หลายกระบอกก็ระดมยิงรั้วไม้จนพัง
ป้อมดินถูกยิงด่านป้องกันพัง เห็นปืนใหญ่หลายกระบอกเข็นมา โจรวัวโค่วในป้อมรู้ว่าไม่อาจรักษาป้อมจนตัวตายได้แล้ว ได้ยินเสียงตะโกนติดๆ กัน โบกธงไสว จากนั้นทหารด้านในก็กรูกันออกมา
ยามนี้เห็นชัดถึงข้อเสียของป้อมดิน เส้นทางด้านในเล็กและแคบ คนอื่นโจมตีไม่ง่าย แต่ตนเองก็บุกออกมาไม่ง่ายเช่นกัน
ทหารเมืองเหลียวโจวแม้ว่าไม่บุกเข้าไป แต่ปืนใหญ่ระดมยิงไม่หยุด ทหารโจรวัวโค่วนำปืนใหญ่ตนมายิงก็ได้แค่ตกบนที่ราบไม่กี่แห่ง ท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่หมิงยิงไม่หยุด ทหารบาดเจ็บล้มตายไม่หยุด หากไม่ใช่พื้นที่บังคับ กองกำลังย่อมยากจะรักษาไว้ได้ ย่อมแตกพ่ายไปแล้ว
มีอาวุธดีเช่นนี้ ยังมีการฝึกฝนที่ดีและมีวินัย เพราะหากปืนใหญ่ต้องล้างปากกระบอกให้ดี ปากกระบอกไม่ให้มีเศษดินปืนมากไปเพื่อให้แรงปืนใหญ่ยิงเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้กระบอกระเบิด ยิงแล้วก็ต้องหยุด
ปืนใหญ่เมืองเหลียวโจวไม่อาจยิงเร็วต่อเนื่องได้เหมือนกองปืนใหญ่กองกำลังหู่เวย เห็นศัตรูจัดแถว พวกเขาไม่มั่นใจว่าจะใช้ปืนใหญ่ปิดการบุกศัตรูได้หรือไม่ ปืนใหญ่ที่มีเริ่มร้อนไม่อาจยิงต่อได้ พลปืนใหญ่เริ่มเดินย่างช้าลงเรื่อยๆ
พวกเขาท่าทางเช่นนี้ พวกหลี่หรูซงเองล้วนเข้าใจ แต่ทว่าโจรวัวโค่วคิดออกมาสู้กลางสนาม ก็เป็นตามที่พวกเขาต้องการ จึงนำทัพม้าเคลื่อนไปรับศึก
“พวกเราออกกำลังมาคนละ 300!”
“พี่ใหญ่ ท่านนำกำลังตระกูลเราไปมาก ท่าน 400 ข้า 200!”
ทหารในสังกัดตระกูลหลี่เป็นดังชีวิตของขุนพลทหารตระกูลหลี่ แม้เป็นก่อนศึก ก็ยังต้องคิดว่าผู้ใดนำออกศึกมากกว่า ต่อรองกัน แต่ทว่าก็ไม่ได้มีเวลาคิดนานนัก คิดจำนวนแล้วก็อยู่ในจำนวนที่เขารับได้
ธงศึกโบกสะบัด ทหารม้าเริ่มออกมาตั้งแถว เดิมเป็นทัพใหญ่ผสมผสาน แต่ยามนี้ดูแล้วมองไม่ออก คนที่ออกมาเรียงทัพ ล้วนอยู่ในชุดเกราะหู่เวย ม้าก็สูงใหญ่กว่าปกติ ทหารเองก็เช่นกัน
ทหารคนสนิทขุนพลทหารตระกูลหลี่ตะโกนดัง มองเห็นทหารม้าเมืองเหลียวโจวออกมาตั้งแถวรับศึก และยังเรียงแถวเป็นรูปจู่โจมแบบมีกองกลางหนึ่งยื่นไปด้านหน้า
เสียงหวีดแหลมดัง ทหารม้าตระกูลหลี่เริ่มค่อยๆ เดินหน้า คนหน้าสุดสองมือถืออาวุธ ยังมีคนถือธงโบก ล้วนไม่ได้กุมบังเหียนม้า แต่ม้าพวกเขายังคงฟังคำสั่งในระเบียบ ค่อยๆ เหยาะย่างไปด้านหน้า ทหารม้าชุดเกราะ 600 เรียงแถวเป็นระเบียบก้าวย่างมาก ด้านหลังพวกเขาเป็นทหารม้ากระจัดกระจาย
ค่อยๆ เร่งความเร็ว สองปีกค่อยๆ ขึ้นหน้ามา รูปขบวนเริ่มเปลี่ยนเป็นแนวนอน ความเร็วค่อยๆ เพิ่มขึ้น เสียงฝีเท้าม้าเริ่มถี่ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน
“…พุทธองค์!!”
“…เทพแผ่นดินหมิง…”
โจรวัวโค่วที่เดิมเริ่มแตกตื่นอยู่แล้วก็เริ่มชุลมุนยิ่งขึ้น คนไม่น้อยแตกตื่นตกใจตะโกนดัง พากันอธิษฐานถึงพุทธองค์ที่พวกเขานับถือ
โจรวัวโค่วเหล่านี้ในเกาหลีล้วนเป็นทหารเก่าชำนาญศึก พวกเขาไม่กลัวตาย พวกเขาเคยเห็นทหารม้า แต่ทหารม้าที่พวกเขาเคยเห็นพวกนั้นไม่เหมือนกัน ที่โจรวัวโค่วเรียกว่าทหารม้าก็แค่ทหารม้าปกป้องตัวเล็กๆ ไม่อาจเทียบได้กับอานุภาพทหารม้าตรงหน้าตอนนี้ได้ ทหารม้าในชุดเกราะบนหลังม้าตัวโตหัวโต ขบวนทัพม้าบุกมาเหมือนว่าพื้นที่ดินสั่นสะเทือนราวกับจะปริแตก
แต่ละคนล้วนรู้สึกตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ พวกเขาไม่คิดว่าทวนยาวในมือจะต้านทานได้ ดูราวกับคลื่นทะเลถาโถมเข้าใส่
“พวกเดรัจฉานสมควรตายพวกนี้ ต้องให้รู้จักเรานักรบไซโกกุเสียบ้าง กองปืนใหญ่เตรียมขึ้นหน้า พลธนูเตรียมขึ้นหน้า!”
ขุนพลทหารโจรวัวโค่วตวาดด่าเสียงดัง การรับมือยังคงรอรับมือ ปืนใหญ่วัวโค่วนับร้อยขึ้นหน้ามาพร้อมกับพลธนู
ในเวลาสั้นๆ ทหารม้ามาถึงตรงหน้าแล้ว เดิมปะทะกับทหารม้าทหารราบพวกนอกด่าน ทหารม้าเมืองเหลียวโจวก็ชินกับการเข้าใกล้แล้วน้าวธนูยิง แต่เห็นศัตรูตอนนี้ ทหารม้าตระกูลหลี่ล้วนดูแคลนยิ่ง จึงกระชากม้าบุกเข้าไปไม่รอยิงธนูแล้ว
พอเข้าไปในระยะยิงปืนใหญ่ของพวกวัวโค่ว ปืนใหญ่วัวโค่วยิง สถานการณ์เช่นนี้ พลปืนใหญ่วัวโค่วก็ไม่อาจตั้งสมาธิได้ ม้าด้านหน้าสามสิบกว่าตัวล้มลง แต่ก็บุกเข้ามาแล้ว ความเร็วทัพใหญ่บุกไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ยังคงบุกเข้ามาต่อเนื่อง
สำหรับทหารโจรวัวโค่ว ได้เห็นทหารม้าเช่นนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาไม่อาจวิเคราะห์ความเร็วทหารม้าได้แม่นยำนัก พลปืนใหญ่วัวโค่วไม่น้อยเตรียมบรรจุกระสุนยิงระลอกสอง เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมา พวกเขาอยู่ๆ ได้ยินเสียงธนูลอยผ่านหัวพวกเขาไป
อยู่ในรัศมียิงธนูแล้ว ระยะห่างใกล้เพียงนี้ พอเงยหน้า ทหารม้าก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ทหารม้าเมืองเหลียวโจวสีหน้าเกรี้ยวกราดตวัดดาบฟันทันที
พลปืนใหญ่วัวโค่วร่วมร้อย ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ถูกกองทหารม้าชุดเกราะเหยียบย่ำผ่านไป พลธนูด้านหลังก็เช่นกัน ถึงกับล้วนมองไม่เห็นรอยกระเซ็นของเลือด
หากเป็นกองกำลังหู่เวย ยามนี้คงตั้งทวนยาวรอแล้ว เหมือนตัวเม่นที่มีหนามรอรับทหารม้า แน่นอน ปืนไฟกองกำลังหู่เวยย่อมต้องยิงไม่ให้ทหารม้าเข้ามาใกล้ได้ง่ายเช่นนี้
แต่เป็นโจรวัวโค่ว ถูกปืนใหญ่ยิง ยังได้เห็นทหารม้าบุกเช่นนี้ ล้วนพากันตกใจหวาดกลัว ไม่มีกำลังความกล้าหาญที่จะต้านทานอีกแล้ว ทหารม้าบุกกองปืนใหญ่กับกองธนูวัวโค่ว ทวนยาวด้านหลังก็แตกกระจัดกระจาย พวกที่หนีถูกซามูไรตัดหัวทิ้ง แต่มีคนตะโกนดังบุกเข้ามา ในสถานการณ์เช่นนี้ หนึ่งดาบ หนึ่งทวน ไม่มีประโยชน์ใด ได้แต่ถูกพวกที่บุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่งตัดหัวทิ้ง
ปฏิกิริยาซามูไรหลายคนไม่ได้ดีไปกว่าทหารราบเหล่านั้น พวกเขาหันหลังวิ่งหนี ทหารม้าไล่สังหาร ถืออาวุธตัดหัวศัตรูจากด้านหลัง เป็นเรื่องง่ายมาก
นอกจากทหารม้าเก่งกล้าตรงหน้าแล้ว ด้านหลังยังทหารม้ากองใหญ่ตามมาอีก โจรวัวโค่วยามนี้จะหนีก็ไม่อาจหนีได้แล้ว มองเห็นแล้วว่าสถานการณ์จบสิ้นแล้ว…
แต่ทหารม้าที่บุกมาด้านหน้าสุดในขณะที่ศัตรูแตกพ่ายกระจัดกระจายก็ลดความเร็วม้าลง รอศัตรูหนีไปสี่ทิศ ไม่ได้มีผลคุกคามตนแล้ว ทหารม้าบุกด้านหน้าก็โดดลงจากหลังม้า เริ่มเข้าตัดหัวศัตรู ทหารม้าด้านหลังเองก็เช่นกัน
ทหารม้าหยุดม้าแน่นอนขวางทางคนด้านหลังเดินหน้า ทำเอาทั้งกองทัพต้องหยุดเคลื่อนกำลังลง สังหารศัตรูได้มากพอแล้ว มีทหารโจรวัวโค่วไม่ถึง 400 หนีออกจากสนามรบไปได้
เห็นสภาพรบกันบ้าคลั่งแย่งหัวกันดุเดือดแล้ว ยังมีบางกลุ่มที่รู้ว่าตนแย่งไม่ได้ ก็หันไปมุ่งบุกตามค่ายๆ คิดจะค้นหาทรัพย์สินแทน
สถานการณ์ชุลมุนนี้ คิดจะส่งคนเข้าไล่ล่าศัตรูอีกก็คงไม่ได้แล้ว แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ หลี่หรูซง หลี่หรูป๋อและคนที่เหลือล้วนเห็นเป็นปกติแล้ว ไม่ได้รู้สึกไม่ถูกต้องอันใด หลี่หรูป๋อบนหลังม้าตวัดแส้ม้าอย่างตื่นเต้นยินดี กล่าวว่า
“อีกครู่เราจะหาหมู่บ้านเกาหลี ตัดหัวโจรวัวโค่วได้สามพัน ก็กลับไปรับความชอบก่อน ให้พวกเขารีบเร่งนำไปรายงานเมืองหลวง”
หลี่หรูซงกลับไม่สนใจ มองไปยังตะวันออก พึมพำว่า
“ใกล้ถึงเปียงยางแล้ว!”