องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1096 ทหารมาถึงริมกำแพงเมือง
ทางใต้ของเมืองพยองอันก็คือเมืองเปียงยาง เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในเกาหลี สาเหตุที่ที่นี่เจริญรุ่งเรือง เป็นเพราะใกล้แผ่นดินหมิง เส้นทางน้ำและบกล้วนสะดวกมาก
ทหารกองทัพเกาหลีแต่ไรมาไม่เคยแข็งแกร่ง ตั้งแต่ตอนสมัยราชวงศ์หยวนและหมิงปะทะศึกพอได้ประโยชน์ไปบ้าง จะว่าไปแล้ว เกาหลีมีเรื่องกับโจรวัวโค่วก่อนหน้าแผ่นดินหมิงมาก โจรวัวโค่วรุกรานมาเหิมเกริมทางใต้เกาหลีนานแล้ว หลายครั้งส่งอิทธิพลข่มขู่ไปจนถึงที่ประทับพระราชาเกาหลี
เพราะยุ่งยาก ดังนั้นเกาหลีแต่ไรมาจึงคิดจะย้ายพระราชามาประทับที่เปียงยาง เพื่อจะได้รับการปกป้องจากแผ่นดินหมิง แน่นอนในการนี้ยังอาจมีอันใดแอบแฝงหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ พระราชาเกาหลีแต่ละสมัยก็มักจะทุ่มเทกำลังไปกับการบริหารที่นี่ พื้นที่เกาหลีเช่นนี้ เมืองเปียงยางนับว่ามีรูปแบบการป้องกันแบบกำแพงเมือง ยังมีโกดังใหญ่หลายแห่ง
แต่ทว่าการป้องกันและสั่งสมเสบียงเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ใด โจรวัวโค่วบุกเข้ามา ทหารแผ่นดินหมิงข้ามแม่น้ำยาลูมา กองกำลังผสมทหารม้าและทหารราบก็เพียงพอมาถึงเมืองเปียงยางได้
หลี่หรูป๋อไม่แน่จริง ไม่ได้คิดสู้ตายในการศึกครั้งนี้ เสียเวลาที่ป้อมนี้หลายวัน สูญเสียคนไปมาก ทำลายขวัญกำลังใจ เสียเวลาเดินทัพ ช่างไม่เหมือนกับขุนพลใหญ่ออกศึกเสียเลย ความจริงนั้นโจรวัวโค่วก็ไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไร
หน่วยทหารของไดเมียวโคนิชิ ยูกินากะที่ประจำเปียงยาง รู้ว่ามีกองทหารมาตั้งค่ายตรงหน้า จากสายลับก็รู้ว่ากองกำลังหมิงกำลังกดดันเข้ามา แต่ไม่ได้คิดรับมืออันใด
ฤดูหนาวตอนเหนือเกาหลีสำหรับกองทัพโจรวัวโค่วแล้วเรียกว่าหนาวเกินไป อากาศหนาวเช่นนี้ หากออกนอกเมืองไปทำอันใด กองทหารย่อมบาดเจ็บจากลมหนาวกันมาก ถึงกับขวัญกระเจิงก็เป็นได้
ยังมีอีกปัญหาหนึ่งก็คือเสบียงไม่พอ กำลังการต่อสู้โจรวัวโค่วมีอยู่ แต่ทว่าระเบียบวินัยไม่มีเท่าไร สังหารปล้นชิงมาตลอดทาง แต่การปล่อยปละเช่นนี้ เมื่อก่อนหน้าปล่อยให้ทหารร้ายกาจราวพยัคฆ์ออกจัดการ ตอนหลังกลับพบว่าไม่มีชาวบ้านมาเป็นกำลังในกองทัพได้ ไม่มีเสบียงมาช่วยการศึกได้
โจรวัวโค่วมาตั้งค่ายที่เปียงยางไม่มีเสบียงเพียงพอ ไม่กล้าบุกใหญ่ แม้ว่าเคลื่อนไหวก็จะแค่ส่งทหารออกไปยังหมู่บ้านเกาหลีรอบๆ เท่านั้น ปล้นเสบียงอาหารพวกเขากลับมาให้ค่ายตน
ขุนพลโจรวัวโค่ว ไดเมียวโคนิชิ ยูกินากะดูแคลนกองกำลังหมิงอยู่ โดยเฉพาะที่ซุ่มโจมตีในเมืองเปียงยางคราก่อนทำลายกองกองกำลังหมิงทหารม้าหลายพันไป ก็ยิ่งหยิ่งผยองในใจอย่างมาก คิดว่ากองกำลังหมิงก็แค่นี้ รอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงก่อน ได้เสบียงมาพอก่อน เขาจะนำกำลังขึ้นเหนือ กวาดล้างแผ่นดินหมิง
ดังนั้นจากสายข่าวได้รู้ว่าแผ่นดินหมิงทัพใหญ่ลงใต้ โคนิชิ ยูกินากะถึงกับไม่คิดจะรายงานขอความช่วยเหลือไปยังไดเมียวอุคิตะ ฮิเดะอิเอะ ขุนพลใหญ่ที่เมืองโซอุล เขากับลูกน้องพากันร่วมหารือผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโซ โยชิโตชิกับอาริมะ ฮารุโนบุว่า
“ตั้งมั่นป้อมนี้ให้ดี หักกองหน้ากองกำลังหมิงลงให้ได้ ให้เกรียงไกรเหมือนก่อนหน้าอีกครั้ง!”
การวางแผนนี้ก็เหมือนกับสมัยตอนนั้นตระกูลโฮโจรบกับราชวงศ์หยวนทางทะเล ณ เมืองเปียงยางนี้กองกำลังหมิงต้องพ่ายยับเยิน
**************
“น้องรอง หลายปีนี้เหลียวซีเจ้าดูแลอย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าทุ่มเทไปกับการทำการค้ากระมัง!”
พอเห็นเค้าโครงเมืองเปียงยาง หลี่หรูซงบนหลังม้ากลับกล่าวเรื่องอื่น วาจาไม่เป็นมิตรนัก ออกแนวตำหนิ หลี่หรูป๋อสีหน้าเคร่งเครียด พึมพำด่าเบาๆ
“พวกสวะเหล่านี้ รอกลับไปได้ ข้าจะจัดการส่งไปเลี้ยงหมีให้หมด…พี่ใหญ่ พี่ก็รู้ทหารราบพวกนี้คิดแต่จะหาที่นาให้บ้านตนเอง กลัวตายมาก แต่ไรก็ใช้ไม่ได้เช่นนี้ พี่ใหญ่ท่านนำไปมีแต่ทหารม้า หากพี่นำทหาราบไปมากหน่อย เกรงว่าคงไม่เป็นเช่นนี้”
หลี่หรูซงถลึงตาจ้องมอง แต่กลับไม่ตำหนิสั่งสอนต่อ ตั้งแต่ข้ามแม่น้ำมาถึงตอนนี้ก็ห้าวันแล้ว ทหารเหลียวหนิงหนีทัพไปพันกว่า รบชนะยังเป็นเช่นนี้ หากแพ้จะเป็นเช่นไร สำหรับตัดหัวศัตรูสามพัน ต้องให้ทหารขนกลับไป ขุนพลทหารเหลียวซีแย่งกันจนน่าตกใจ
“ข้าจำได้ว่าก่อนไปเมืองเซวียนฝู่ ทหารเรายังมีระเบียบอยู่หลายส่วน เหตุใดวันนี้จึงเป็นเช่นนี้ เราเป็นทหาร ทหารในมือเราไม่แข็งแกร่ง ก็ย่อมไม่มีรากฐาน นานวันจะทำเช่นไร!”
นิ่งไปพักหนึ่ง หลี่หรูซงจึงได้กล่าวขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น หลี่หรูป๋อกลับไม่ได้รู้สึกใดกับวาจานี้ ได้แต่กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ไม่ใช้ดาบก็มีอำนาจวาสนาได้เช่นกัน เราที่เจี้ยนโจวนั่น เหลียวเป่ยบนทุ่งหญ้านั่น การค้าทุกอย่างล้วนอยู่ในมือ แม้ไม่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ อาศัยกิจการเหล่านี้ก็หาเงินทองได้ ก็ย่อมมีกินมีใช้ไม่หมดไปหลายชั่วอายุคนแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูซงถอนหายใจยาว มือกำบังเหียนม้าแน่นจนเขียวปูด แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนบทสนทนา เขานำม้าก้าวขึ้นหน้า กล่าวว่า
“จากรายงานสายสืบ โจรวัวโค่วตั้งกำลังที่เปียงยางไม่ได้ทัพใหญ่มากนัก คิดว่าน่าจะคิดอาศัยการป้องกันจากกำแพงเมือง จากคนที่หนีกลับมา เล่าว่าในเมืองโจรวัวโค่วกับทหารเกาหลีที่ยอมจำนน รวมกันแล้วไม่เกินสองหมื่นหนึ่งพัน และไม่มีชาวบ้านมาร่วมด้วย แต่ก็นับเป็นศัตรูทัพใหญ่”
ขุนพลทหารขยับมารวมตัวกัน หลี่หรูซงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ศัตรูทัพใหญ่เช่นนี้ หากเราคิดจะทำลายศัตรูราบ เกรงว่าพวกเราคงต้องบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย ไม่สู้ว่าเอาแค่ยึดเมืองคืนมาได้ก็พอ ระหว่างทางไล่ล่าศัตรูที่แตกพ่าย หลายพันหัวก็คงได้อยู่ รายงานเช่นนี้ก็เป็นความชอบใหญ่เช่นกัน เมืองเปียงยางก็เป็นเมืองเห็นๆ ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจปฏิเสธความชอบนี้”
ทุกคนล้วนพยักหน้า หลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ ล้วนมองจากมุมมองของตระกูลหลี่ ไม่ต้องใช้กำลังมาก และไม่บาดเจ็บล้มตายมาก เป็นวิธีการที่ดี
“แม่ทัพใหญ่ กำแพงเมืองนี่ไม่อาจเทียบเหลียวหยาง เสิ่นหยางได้ แต่ก็เป็นรูปแบบเมืองหวงเฟิ่งเฉิง จะตีก็คิดว่าไม่ง่ายกระมัง!”
“ฉาต้าโข่ว อย่าเรียกข้าว่าแม่ทัพใหญ่ หากมีใครได้ยินไป ถูกคนเหลียวกั๋วกงได้ยินเข้า ก็ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่ ระวังหน่อย!”
ถูกสั่งสอนไป ขุนพลหนุ่มก็คอหด หลี่หรูซงกล่าวต่อว่า
“บาดเจ็บล้มตาย พวกเจ้ากลัวแต่บาดเจ็บล้มตาย ครั้งนี้ใช้ทหารราบ ขบวนทัพม้าทิ้งไว้รอไล่ล่า พวกเจ้าอย่าลืม ปืนใหญ่เราดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เมื่อก่อนนี้ปืนใหญ่พวกเจ้าไม่ใช่ว่าเอาติดไปด้วยหลายกระบอกหรือ?”
******************
“ใต้เท้า กองกำลังหมิงตั้งค่ายนอกกำแพงเมืองแล้ว มีเพียงประตูทางตะวันออกที่ไม่มีพวกศัตรู!”
ซามูไร[1] หนึ่งวิ่งขึ้นมารายงานบนกำแพงเมือง เดิมโคนิชิ ยูกินากะที่มั่นใจเต็มที่ยามนี้สีหน้าซีดขาว มองไปยังกลุ่มกองกำลังหมิงยกมาดำทะมึน
ดีที่ประเทศวัวมาถึงสมัยโคนิชิ ยูกินากะเป็นแม่ทัพ ชุดเกราะยุโรปล้วนปรับเปลี่ยนแล้ว ปกปิดร่างกายได้มิด ต่อหน้าคนใต้เกราะนี้ คนนอกมองไม่ออกว่าโคนิชิ ยูกินากะยามนี้สีหน้ากังวลยิ่ง เหมือนกับทหารอื่นๆ ชุดเกราะโคนิชิ ยูกินากะเป็นแบบชั้นดี บนกำแพงย่อมสะท้อนแสงแวววาว
“นี่คือล้อมสามปล่อยหนึ่ง แม่ทัพแผ่นดินหมิงคิดให้พวกเราหนีออกไปทางตะวันออก จากนั้นค่อยล่าสังหาร!”
เสียงโคนิชิ ยูกินากะค่อนข้างหนักแน่น กำลังวิเคราะห์ศัตรูด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ทว่าวาจาถัดมากลับเริ่มไม่แน่ใจนัก
“ถึงกับมีทหารม้ามากมายเพียงนี้ แผ่นดินหมิงมีม้ามากเช่นนี้ด้วย!”
กองกำลังหมิงราวสามหมื่น เทียบกับโจรวัวโค่วเรียกได้ว่าได้เปรียบไม่มาก แต่ที่ทำให้โคนิชิ ยูกินากะมองแล้วตกใจมาก็คือม้าของทหารม้าเหล่านั้น แม้ว่ามองจากบนกำแพงเมืองลงไป ก็ยังเห็นได้ว่าม้าทหารม้าเหลียวหัวโตมาก กำลังนับหมื่น ทำให้คนมองแล้วรู้ว่าแรงปะทะมากกว่าทหารราบพวกเขาหลายเท่า
เทียบกับทหารจู่เฉิงซวิ่นที่บุกเปียงยางครั้งก่อนแล้ว ดูพวกนั้นเละเทะไร้ระเบียบ แต่ทหารม้ากองนี้มีวินัย เห็นชัดว่ามีกลิ่นอายสังหารรุนแรง สร้างแรงกดดันอยู่มาก
โคนิชิ ยูกินากะสูดลมหายใจลึก หันไปกล่าวว่า
“ทุกท่าน แผ่นดินหมิงแม้ว่าอานุภาพมาก แต่ก็มาเป็นกำลังกองใหญ่ที่สุดแล้ว เปียงยางแข็งแกร่งพอสามารถต้านทานทัพสามหมื่นได้ เมืองเปียงยางแข็งแกร่งผสมกับทัพใหญ่เรา ทหารแผ่นดินหมิงตรงหน้า แม้ได้เปรียบ ครั้งนี้กองกำลังหมิงแม้ว่าคนมาก แต่จุดจบก็ไม่ต่างจากครั้งก่อน ย่อมพ่ายยับเยินกลับไป!”
ตอนเขากำลังให้กำลังใจทุกคน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทหารราบหนึ่งตะโกนมาว่า
“ปืนใหญ่ กองกำลังหมิงมีปืนใหญ่!”
ตอนอยู่ประเทศวัว บรรดาซามูไรล้วนใช้ปืนใหญ่ที่เรียกว่ากระบอกใหญ่ แต่พอข้ามน้ำข้ามทะเลมา กระบอกใหญ่กับกับปืนใหญ่กลายอาวุธที่ไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าต่างกันชัดเจน
พอได้ยินเช่นนี้ หน่วยทหารโจรวัวโค่วที่หนึ่งก็เดินไปยืนมองทางช่องบนกำแพง มองไปด้านหน้าเห็นปืนใหญ่ตั้งประจันหน้าหลายกระบอก ปืนใหญ่โรงช่างสามธาราปากกระบอกยังดี แต่ปืนใหญ่ทหารเมืองเหลียวโจวเดิมนั้นดูแล้วยิ่งทำให้คนรู้สึกตกใจ
“ใต้เท้า ส่งคนออกนอกเมืองไปโจมตี ไม่อาจปล่อยให้กองกำลังหมิงใช้ปืนใหญ่นั่นได้!”
มีคนตะโกนดัง และยังมีคนกล่าวอีกว่า
“ใต้เท้า ด้านล่างกำแพงมีทหารต้องการคำสั่งใต้เท้า ขอใต้เท้ารีบไป!”
วาจากล่าวได้ไร้เหตุ แต่ตรงใจขุนพลทหารบนกำแพง ทุกคนล้วนรีบกันวิ่งลงจากกำแพงเมืองไป ปืนใหญ่ด้านล่างยกปากกระบอกสูง ช่างน่าตกใจจริง ทุกคนล้วนสถานะสูงส่ง เกิดบาดเจ็บขึ้นมา ทัพใหญ่ในเมืองใช่ว่าจะชุลมุนหรอกหรือ
โคนิชิ ยูกินากะมองไปยังซามูไรผู้นั้น จดจำใบหน้าเอาไว้แล้ว ตัดสินใจว่าวันหน้าจะต้องส่งเสริม
พอออกจากกำแพงมาได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงดังตูมนอกกำแพงเมืองราวอสุนีบาต เสียงตูมตามดัง เสียงฝีเท้าวิ่งสับสน ทุกคนล้วนอดหันไปมองไม่ได้
เสียง ‘ตูม..’ ดังสนั่น อิฐหินบนกำแพงแตกถล่มได้ยินชัด เห็นตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ อิฐหินถล่มลงไป มีคนหลายสิบคนบนกำแพงส่งเสียงร้องโหยหวนร่วงลงมา
“กองกำลังหมิงยิงปืนใหญ่แล้ว!!”
มีคนแหกปากตะโกนดัง ยิ่งทำให้เสียงตกใจและเสียงร้องโหยหวนดัง เสียงปืนใหญ่ดังราวอสุนีบาตเริ่มยิงไม่หยุด บนกำแพงควันโขมง วุ่นวายไปทั่ว
สีหน้าพวกโคนิชิ ยูกินากะเบื้องหน้าล้วนซีดขาว ไม่อาจสนใจหน้าตาอันใดอีกแล้ว พากันรีบหนีออกจากเมืองทันที
[1] ซามูไร หรือขุนศึกเดิมมีบทบาทในฐานะทหารอาชีพยามสงครามและเจ้าหน้าที่บริหารยามสงบให้กับไดเมียวในเขตหัวเมืองใหญ่น้อยสมัยโบราณของญี่ปุน