องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1097 สองฝ่าย
ภายนอกกำแพงเมืองเปียงยางสร้างจากหินเขียวและหินก้อนยาว ด้านในก่อด้วยดินเป็นหลัก กำแพงเช่นนี้แข็งแรงมาก สามารถต้านทานปืนใหญ่เบื้องหน้าได้นาน
แต่ปืนใหญ่ระดมยิงเช่นนี้ทำให้โจรวัวโค่วบนกำแพงรู้สึกตื่นตระหนกมาก สำหรับทหารวัวโค่วแล้ว พวกเขาเคยเห็นปืนใหญ่เช่นนี้ครั้งแรก
กระสุนปืนใหญ่ถล่มกำแพง อิฐหินปลิวว่อน ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเข้าย่อมสิ้นชีพ ถูกหินกระเด็นใส่ก็ย่อมบาดเจ็บหนัก คูเมืองและกำแพงเหมือนว่าสะเทือนไหว คนที่ยืนอยู่ล้วนรู้สึกได้ถึงความสะเทือนไหว ไม่มีที่ใดไม่สั่นสะเทือน
ความจริงนั้นปืนใหญ่ยิงต่อเนื่องไม่นานนัก ราวสามระลอกได้ จากนั้นทหารราบกองกำลังหมิงก็เริ่มคว้าอาวุธบุกโจมตีกำแพงเมือง
“กองปืน!! พลธนู!!”
ซามูไรโจรวัวโค่วบนกำแพงตะโกนดัง เริ่มมีทหารโจรวัวโค่วบนกำแพงยิงต้านไว้ ปืนใหญ่กดดันลงไปด้านล่างทันที เริ่มเห็นกำลังโจรวัวโค่วออกป้องกันบนกำแพง ปืนใหญ่ยิงต้านกลับ
ที่สูงแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเปียงยาง ขุนพลตระกูลหลี่ล้วนดูการรบจากที่นี่ เห็นอานุภาพปืนใหญ่แล้ว แต่ละคนล้วนพยักหน้าพอใจ หลี่หรูซงสบถกับหลี่หนิงว่า
“โจรวัวโค่ว น่าจะกลัวขวัญกระเจิงไปแล้ว ปืนใหญ่เรานี่เจ๋งมาก!”
หลี่หรูซงสีหน้าไม่ได้ยินดีกล่าวว่า
“เหตุใดยิงแค่สามรอบ แม้ทหารราบไม่มีราคา แต่พวกเจ้าก็ไม่ควรต้องสูญเสียไปเช่นนี้!”
วาจาหลี่หรูซงทำเอาคนหลี่หรูป๋อล้วนสีหน้าไม่พอใจ แต่ทว่าในทางส่วนรวมหรือส่วนตัว ที่หลี่หรูซงกล่าว พวกเขาล้วนต้องทำตามคำสั่ง หลี่หรูป๋อกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า
“ปืนใหญ่และกระสุนปืนใหญ่เรามีค่ามากกว่าหารราบมาก ปืนใหญ่เรายิงไปสามรอบก็เสี่ยงปากกระบอกระเบิดแล้ว รอบคอบไว้หน่อยดีกว่า”
คนรอบๆ ล้วนพยักหน้าเห็นด้วย หลี่หรูซงมองประตูกำแพงเมืองเปียงยางกล่าวเบาๆ ว่า
“หากเป็นหวังทงนำกำลังมา เกรงว่ากำแพงนี่ตอนนี้คงยิงถล่มพังไปแล้ว……”
แต่ทว่าวาจาเขาได้แต่พึมพำกับตนเองเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ได้ยิน หลี่หรูซงกระแอมไอในลำคอ เสียงดังกล่าวว่า
“ให้ทหารราบถอยก่อน ใช้พลปืนใหญ่ระดมยิงต่อ พวกเจ้าดู ตอนนี้พวกโจรวัวโค่วบนกำแพงยังมีกำลังใจต้านทานอีกไหม หากใช้ปืนใหญ่ระดมยิงใส่พวกเขา เข้าเมืองได้ใช่ว่ายิ่งง่ายหรอกหรือ กระสุนปืนใหญ่ยิงกำแพงเมือง อย่างไรก็เอามาใช้ได้อีก พวกเจ้าเสียดายทำไมกัน ความชอบอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่าได้เสียเวลารอช้าอีก!”
เขาส่งเสียงเน้นย้ำ คนรอบๆ ล้วนรับคำพร้อมเพรียง ไม่อยากส่วนไม่อยาก แต่ขุนพลต้องการเช่นนี้ ก็ย่อมต้องทำตาม เพิ่งหยุดยิงปืนใหญ่ไปก็ต้องนำออกมายิงอีก บนกำแพงส่งเสียงเอะอะตะโกนดัง โจรวัวโค่วที่กำลังเตรียมการป้องกัน พากันเงียบลงก่อนหาที่หลบซ่อนตัวรอบๆ ทันที
การยิงปืนใหญ่ถล่มฝ่ายเดียว ตระกูลหลี่เหลียวซีย่อมชมดูกันอย่างตื่นเต้นระทึกใจ แต่หลี่หรูซงท่าทางไม่ได้ยินดี ขุนพลหลี่ซานสือจากเมืองเซวียนฝู่กระซิบกับหลี่หนิงเบาๆ ว่า
“ครั้งนั้นที่ลุ่มน้ำฮาลารบพวกนอกด่าน ปืนใหญ่กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงยิงได้ต่อเนื่อง ดูตอนนี้ที่นี่สิ ปืนใหญ่ยิงไปได้สามทีก็หยุด ฟังไม่สะใจเลย”
“เจ้าเปรียบเทียบทำบ้าไรกัน ดูไปก็พอ สามารถสังหารโจรวัวโค่วได้ ใช้การได้ก็พอแล้ว!”
เห็นความเสียหายบนกำแพงยิ่งมาก โจมตีหลายแห่งไม่หยุด กำแพงล้วนเริ่มแตก ที่หลบซ่อนบนกำแพงแทบจะไม่มีแล้ว การป้องกันต่างๆ ล้วนไร้ประสิทธิภาพสิ้นเชิง
“จู่เฉิงซวิ่น!”
หลี่หรูซงกำลังจับจ้องสนามรบตะโกนดังไปยังจู่เฉิงซวิ่นในที่สูง เขารีบวิ่งลงมา มาถึงหน้าหลี่หรูซงก็คุกเข่าโขกศีรษะ เดิมด้วยสถานะเขา ก็แค่ประสานมือคำนับ แต่หลังพ่ายศึกครานั้น สถานะลดฮวบ ไม่มีคุณสมบัตินั้นแล้ว
“นี่คือเมืองเปียงยาง ข้าจะให้เจ้าได้ทำความชอบชดใช้ความผิด แย่งชิงเมืองนี้มาได้ก็เป็นความดีความชอบเจ้าแล้ว เจ้ากล้าไปหรือไม่!”
อันตรายเมืองเปียงยางผู้ใดไม่รู้ แต่จู่เฉิงซวิ่นรู้ดี ตอนที่บุกเข้าไป สถานการณ์ยิ่งอันตรายมาก แต่ในยามนี้ จู่เฉิงซวิ่นได้แต่เลือกไป หากไม่ไป วันหน้าเกรงว่าล้วนหมดสิ้นแล้ว เขาโขกศีรษะ เสียงดังกล่าวว่า
“หัวหลุด บาดแผลก็แค่เท่าชาม ข้ากล้าไป!”
“ดีมาก เจ้านำทหารสามพันบุกประตูตะวันตก จะมีทหารเกาหลีลีไอและคิมอึนโซร่วมไปด้วย หลังระดมยิงปืนใหญ่ ฟังคำสั่งข้าบุก!!”
จู่เฉิงซวิ่นรับคำเสียงดัง โขกศีรษะ หลี่หรูซงมองไปยังขุนพลทหารเกาหลีสองคนข้างกาย สองคนนี่เมื่อครู่ได้เห็นปืนใหญ่ยิงยังดีใจมาก แต่พอได้ยินคำสั่งนี้ สีหน้าก็ซีดขาวเล็กน้อย
*****************
“ให้กองปืนใหญ่เราลงมา อย่าได้ปล่อยกองกำลังมีค่าต้องมาเสียเปล่าที่กำแพงนี่!!”
โคนิชิ ยูกินากะเดิมทีอยู่ห่างไม่ไกลนัก กระสุนปืนใหญ่ตกมาไม่หยุด เขาก็ยิ่งเริ่มถอยเข้าเมือง เดิมเขายังทำทีว่าถือพัดด้ามยาวทำทีว่าบัญชาการ แต่สถานการณ์ด้านนอกเริ่มน่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ เขาเปลี่ยนเป็นดาบยาวแล้ว อย่างไรมีอาวุธในมือวางใจได้มากกว่า
ตอนนี้สีหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นหลั่งหอบหายใจถี่ ถึงกับมีคนสังเกตเห็นว่า พวกคนที่อยู่รอบๆ โคนิชิ ยูกินากะไม่ต่างกัน ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้
“เมื่อก่อนตอนอยู่ฮิราโดะ ได้ยินพ่อค้าแผ่นดินหมิงพูดถึงปืนใหญ่ มักคิดว่าพวกเขากล่าวเกินจริง ปืนใหญ่ไม่ใช่ของเล่นพวกป่าเถื่อนใต้ชาวฟะรังคีหรือ อานุภาพไม่เท่าไร คิดไม่ถึง คิดไม่ถึง……”
คนที่พูดก็คืออาริมะ ฮารุโนบุ ตระกูลอาริมะเคยเป็นไดเมียวแถบชิเซ็น โคนิชิ ยูกินากะยามนี้ไม่อาจสนใจอันใดอีกแล้ว เขาได้แต่รวบรวมกำลังทหารให้มากที่สุด เพื่อนำกองกำลังมีค่านี้ถอยกลับไป บนกำแพงหากยังต้านทานต่อก็ย่อมตายสถานเดียว ไยต้องสละชีพเช่นนี้
แต่ปืนใหญ่กองกำลังหมิงแน่นอนไม่อาจยิงทั่วกำแพง ทิ้งคนไว้บนกำแพงจับตาดูข้าศึกไม่กี่คนก็พอแล้ว โคนิชิ ยูกินากะมองไปรอบๆ ไม่รู้จะทำเช่นไรดี สั่งกองปืนใหญ่ถอยแล้วก็คิดได้อีกเรื่องหนึ่ง ตะโกนดังว่า
“ประตูตะวันออกทางนั้นเป็นไง มีกองกำลังหมิงอุดไว้ไหม!!?”
ทหารไม่นานก็มารายงาน
“กองกำลังหมิงไม่ได้ตั้งกำลังที่หน้าประตูตะวันออก…”
“…กองกำลังหมิงเริ่มตั้งกำลังหน้าประตูตะวันตก เตรียมบุกเข้ามาแล้ว!!”
ทหารยังกล่าวไม่จบ ทางนั้นก็มีทหารวิ่งมาอีก ตะโกนเสียงแหบ พอทางนี้ตะโกน พวกซามูไรที่ล้อมอยู่รอบโคนิชิ ยูกินากะกับฮาตาโมโตะล้วนอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ ยังไม่ทันรอให้โคนิชิ ยูกินากะกล่าว รองแม่ทัพโช โยชิโตชิคนสนิทโทโยโตมิ ฮิเดโยชิก็เสียงดังขึ้นว่า
“ใต้เท้า ตอนนี้ควรส่งทหารที่กล้าหาญภักดีไปรับศึกบนกำแพง ดูว่ากองกำลังหมิงจริงเท็จแค่ไหน หากพวกเรากล้าหาญ อาจจะยังสามารถแย่งปืนใหญ่มาได้!”
“หากไม่เป็นเพราะพวกเจ้าทำอะไรมองแต่ความสนิท พวกเราก็มีปืนใหญ่รับศึกแล้ว ผู้ใดต้องการไป?!”
โคนิชิ ยูกินากะอารมณ์เสียสุดขีดกล่าวขึ้น แต่ทว่าไม่รู้เป็นผู้ใดด้านหลังดึงเขาไว้ โคนิชิ ยูกินากะรีบหยุด ตามด้วยเปลี่ยนเรื่อง ถามขึ้น เบื้องหน้าเงียบกริบ ต่างกับนอกเมืองมาก เงียบไปสักครู่ ทุกคนส่งสายตาไปยังคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นถูกจ้องมองมา สีหน้าลำบากใจทันที แต่ทว่าเห็นทุกคนล้วนมองมาที่เขา คนผู้นี้ก็รู้ว่าไม่อาจหนีพ้น ได้แต่หน้าเคร่งเครียดก้าวออกมากล่าวเสียงดังว่า
“ขอใต้เท้าอนุญาตให้ข้าออกศึก”
“ชิเกคัตสึ เจ้าเป็นผู้กล้า เจ้ามีกำลังหนึ่งพัน ข้ามอบกองปืนใหญ่ให้อีกร้อย ทวนยาวสองพัน ทหารม้าสองร้อย ออกรบทางประตูตะวันตก ให้พวกแผ่นดินหมิงได้เห็นความกล้าหาญของซามูไรเรา”
คนผู้นั้นคำนับหน้าบึ้ง จากนั้นก็ออกไปเตรียมการ คนผู้นี้ก็คือขุนพลทหารกองรบสามโจรวัวโค่ว ฮิซาโน ชิเกคัตสึ คนของหัวหน้าขุนพลทหารกองรบสามที่ส่งมาช่วยกองรบหนึ่งที่เปียงยางนี้ ถือเป็นคนนอกในกองรบหนึ่งคนเช่นนี้ในยามนี้ ย่อมถูกผลักออกไป
ฮิซาโน ชิเกคัตสึไปเตรียมการ แน่นอนไม่เห็นสีหน้าโคนิชิ ยูกินากะสีหน้าเคร่งเครียดเร่งให้ผู้อื่นนำทัพออกรับศึก เขาไปเตรียมออกศึก อาริมะ ฮารุโนบุกองรบหนึ่งก็ตามมาติดๆ เห็นชัดว่ามาจับตา หากเจ้าไม่ไป ก็ย่อมมีวิธีไล่ให้เจ้าออกไป
**************
“ใต้เท้า ประตูตะวันตกเปิด โจรวัวโค่วส่งทหารออกมากองหนึ่ง!
ทุกคนอยู่ที่สูงมองไปยังจู่เฉิงซวิ่นเตรียมกำลัง กล่าวมาหนึ่งประโยค ฉาต้าโข่วนำกำลังทหารม้าหลายพันจับตาดูจู่เฉิงซวิ่นกับทหารเกาหลีทหาร ป้องกันพวกเขาหนีหรือเปลี่ยนใจ
ได้ยินทหารตะโกน ทุกคนล้วนหันไปมอง หลี่หรูซงเองแปลกใจ ยิ้มเยาะกล่าวว่า
“คิดไม่ถึงโจรวัวโค่วยังมีความกล้าอยู่ ถ่ายทอดคำสั่ง ให้จู่เฉิงซวิ่นผ่อนกำลังโจมตีกำแพง ไปรับศึกโจรวัวโค่ว ข้าจะขอดูสักหน่อยว่าโจรวัวโค่วแท้จริงเก่งกล้าเพียงใดกัน!”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งวิ่งเร็วออกไปถ่ายทอดคำสั่ง หลี่หรูป๋อมองซ้ายขวาก่อนเขยิบเข้าใกล้กล่าวว่า
“พี่ใหญ่ จู่เฉิงซวิ่นทหารม้า 400 กว่า หากแพ้ศึกนี้ ทำลายขวัญทหาร! ไม่สู้ให้คนตระกูลหลี่เราไป…”
“หากเรานำกำลังจริงเราออกไป เจ้ารู้หรือโจรวัวโค่วเหล่านี้แข็งแกร่งหรือไม่ ไปปะทะดูก่อน ประลองกำลังก่อน เจ้าดูตอนปืนใหญ่ระดมยิง คิดถึงตอนเจ้าโจมตีป้อมดิน เป็นห่วงอันใด!”
หลี่หรูซงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ หลี่หรูป๋อสะบัดหัวกลับไป ไม่กล่าวอันใด
คำสั่งไปถึงจู่เฉิงซวิ่นอย่างรวดเร็ว จู่เฉิงซวิ่นมองทหารม้าหลายร้อยข้างกายตน มองไปข้างๆ เห็นสายตาหวาดกลัวของทหารเกาหลี รับคำสั่งไป ก็แอบด่าฟ้าด่าดินไป พอทหารถ่ายทอดคำสั่งกลับไป จู่เฉิงซวิ่นไม่สนใจทหารด้านหลังกับขุนนางเกาหลี หันไปกล่าวกับทหารคนสนิทสองสามคนว่า
“ข้าผิดต่อพวกเจ้า ตอนแรกสุดที่นำกำลังมาสูญสิ้นที่เปียงยาง ตอนนี้ก็ยังเหมือนไปตายอีก”
“ท่านขุนพลไยต้องกล่าวเช่นนี้ ชีวิตนี้เพื่อท่าน ยังกล่าวเป็นตายอันใดกันอีก ท่านเอาชีวิตนี้ไปได้เลย!”
จู่เฉิงซวิ่นพยักหน้ากำปั้นทุบฝ่ามือ กล่าวว่า
“วันนี้ไม่ชนะ สมบัติเราที่เหลียวซีเกรงว่าคงถูกผู้อื่นฮุบไปหมดแน่ ภรรยาและลูกๆ ของเราล้วนต้องหมดสิ้น ทุกคนสู้ตาย!”