องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1101 ไม่ได้รบง่ายเช่นนั้น
หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วนำกำลังทหารม้าห้าพันมาขวางไว้ ตอนหลี่หรูป๋อได้รับข่าวโจรวัวโค่วออกจากเมือง ก็กล่าวว่าจะนำกำลังทั้งหมดออกไล่ล่า ความจริงนั้น ตอนนี้ทหารม้าห้าพันเข้าร่วมขบวนทัพม้าครั้งนี้เกือบหกส่วนแล้ว เพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่
จู่เฉิงซวิ่นพ่ายศึกเพราะดูเบาศัตรู ขอเพียงให้ความสำคัญ โจมตีโจรวัวโค่วก็ราวผักปลา หลังข้ามแม่น้ำยาลูมา กองกำลังหมิงทุกคนล้วนมีภาพในห้วงคิดเช่นนี้ อย่างไรการต่อสู้ที่ป้อมดินกับเปียงยางก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
ศัตรูหนี ไล่ล่าตามทาง เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่จะมีโอกาสได้สร้างความชอบใหญ่ หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วล้วนมั่นใจเต็มเปี่ยม ตัดสินใจว่าจะต้องโจมตีให้งดงาม
ตั้งแต่ตามทัพใหญ่มาจนถึงบุกเข้าโจมตีศัตรู ทุกอย่างล้วนราบรื่น เพียงแต่การหนีกระเจิดกระเจิงที่คาดไว้ยังไม่เห็นเท่านั้น โจรวัวโค่วกลับแบ่งทหารเป็นสองหน่วยออกมารับศึก
“ตั๊กแตนขวางรถ ไม่รู้ประมาณตน!”
ฉาต้าโข่วเคยอ่านหนังสือมาหลายเล่ม วิจารณ์บนหลังม้าอย่างลำพองใจ ขณะเดียวกันก็ยิ่งเร่งความเร็วม้า ให้ม้าทะยานเข้าไป การปะทะครั้งแรกต้องรวดเร็ว ไม่เช่นนี้ผลการปะทะจะไม่ดีนัก
โจรวัวโค่วสองหน่วยออกรับศึกแม้ว่าเป็นทหารราบอยู่มาก แต่อย่างไรก็ทหาร ดาบและทวนไร้ตา สองฝ่ายยามปะทะกันย่อมเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ทหารม้าบุกมาขวางหน้าอยู่
โจรวัวโค่วด้านหน้าเหล่านี้เห็นชัดว่าเป็นพลกองปืนใหญ่ ตอนนี้ทหารม้าในทิศทางนี้ คิดจะปรับเปลี่ยนก็ไม่อาจทำได้แล้ว ด้านหน้าไม่ว่าเป็นอันใดก็ต้องกัดฟันบุกเข้าไป บุกอีกฝ่ายให้แตกพ่ายให้ได้ โจรวัวโค่วสองกองแยกออกจากกองใหญ่ จะบุกปะทะให้กระเจิงนั้น ย่อมไม่ได้ผลอันใด
“บุก!! บุก!!”
ขุนพลทหารล้วนตะโกนคำรามเสียงแหบ ไม่น้อยตะโกนส่วนตะโกน แต่ความเร็วม้ากลับลดลง พวกเขาลดความเร็ว คนอื่นๆ เองก็ไม่ได้โง่ แน่นอนก็ลดตาม แต่ทว่าด้านหน้าก็มีคนเร่งความเร็ว และเร่งบุกหน้า โจรวัวโค่วตรงหน้าแม้ว่าไม่เป็นท่า แต่ขบวนทัพม้าก็ค่อยๆ เละไม่เป็นท่าเช่นกัน
ปืนใหญ่วัวโค่วยิงขึ้น จำนวนปืนใหญ่วัวโค่วครั้งนี้ไม่ได้เหมือนกองร้อยเมื่อวานนอกเมือง จำนวนมากยิ่งกว่า หนาแน่นยิ่งกว่า ไม่ก็รู้อยู่ว่ามาตาย แต่ก็ยังตัดสินใจกัดฟันบุกมาตาย ทำให้การยิงยิ่งนิ่งมากขึ้น
ปืนใหญ่ยิงไประลอกหนึ่ง คนบุกด้านหน้าส่งเสียงร้องโหยหวนร่วงลงพื้น ด้านหลังคิดลังเล คนตามมาไม่มาก ทหารม้านำหน้าเริ่มหรอมแหรม
แต่อย่างไรทหารม้าบุกมา ทหารราบย่อมต้านทานไม่อยู่ การยิงของปืนใหญ่วัวโค่วก็แค่ทำให้กำลังบุกผ่อนความเร็วลงเท่านั้น ปืนใหญ่วัวโค่วยิงจบ ก็วิ่งออกสี่ทิศ ซามูไรทวนยาวหวาดกลัว ถอยหลังหนีกระจาย ทหารราบยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ก็ยังมีบางคนที่กล้าหาญถือทวนยาวออกมารับศึก ตอนนี้สถานการณ์รอบๆ ล้วนมีแต่ตาย ไม่สู้ปะทะกันสักตั้ง มีคนฮึกเหิมจริงๆ ขึ้นมาแล้ว
ปืนใหญ่วัวโค่วทำให้กำลังด้านหน้าผ่อนความเร็วลง เสียงซามูไรกับทหารราบคำรามทำให้ทหารม้าเมืองเหลียวโจวพากันหลบด้วยสัญชาตญาณ ความเร็วกำลังวิ่ง แม้อีกฝ่ายถืออาวุธนิ่ง ตนเองชนเข้าไปก็ย่อมทะลุ อย่างไรก็ต้องหลบ…
กองทหารม้าหรอมแหรมเช่นนี้หลีกทางแล้วก็ไม่มีแรงปะทะ สองกองกำลังโจรวัวโค่วแตกกระจัดกระจายไร้รูปร่างทำให้แรงปะทะทหารม้าลดลง
มีคนหน้าหงายร่วงจากม้า บาดเจ็บล้มตาย แต่มีคนใต้ม้าบนม้าใช้อาวุธแทงใส่กันเอาเป็นเอาตาย สถานการณ์ถึงกับอลหม่านติดพัน
ความเร็วทหารม้าเป็นข้อได้เปรียบนั้นสิ้นไป เหลือแต่ว่าอยู่ที่สูงสังหารที่ต่ำ แต่ที่อยู่ก็ทำให้มีข้อเสียที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ทหารราบสามารถแทงเสยใส่ทหารม้าได้แม่นกว่า ในเวลาปะทะกันสั้นๆ เมื่อครู่ซามูไรกับทหารราบแตกกระจัดกระจายก็กลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง
“ขยับม้าๆ อย่าให้พวกมันเข้าสู้ประชิดตัวได้!!”
สถานการณ์เช่นนี้ หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วรู้ว่าไม่ได้การแล้ว พยายามรวบรวมกำลังที่เหลือเร่งเข้าสังหาร เป็นจู่เฉิงซวิ่นที่สู้ได้ไม่เลวกว่า พวกเขาตอนเริ่มต้นบุกไม่เร็ว เพียงขี่ม้าวนรอบนอกยิงธนู ขี่ม้ายิงแน่นอนไม่ได้แม่นอันใด แต่รูปทัพโจรวัวโค่วหนาแน่น ขอเพียงยิงไป ย่อมโดนเข้าสักคน พอบาดเจ็บล้มตายก็เริ่มกระเจิดกระเจิงหนี จู่เฉิงซวิ่นจึงได้กล้าลงมือปะทะสังหารต่อ พอแตกกระจัดกระจายไป ศัตรูไร้การป้องกัน ไล่สังหารจึงเป็นเรื่องง่ายยิ่ง
สถานการณ์ใหญ่ตอนนี้ ขบวนทัพม้ากองกำลังหมิงกลับเข้ารบพัวพัน สองกองกำลังโจรวัวโค่วออกมาสู้กับกองหลัง เริ่มรวมกำลังได้อีก ปืนใหญ่วัวโค่วในมือสองคนประคองออกมาได้อีก ซามูไรจำนวนมาไปรวมตัวกันที่กองกำลังปืน โจรวัวโค่วจัดทัพได้ดูน่าเกรงขาม
ทหารม้ากองกำลังหมิงที่บุกมาเริ่มมีคนบุกเข้าขวางสองกองกำลังนั้นแล้ว แต่ครั้งนี้โจรวัวโค่วรวมปืนใหญ่วัวโค่วเป็นกองกำลังใหญ่เพียงพอแสดงอานุภาพยิงแล้ว
ปืนใหญ่วัวโค่วยิงไป ทหารม้าที่เข้ามาใกล้ร่วงจากหลังม้า สองคนที่แบกปืนกระบอกใหญ่นั่นอยู่ระยะ 50 ก้าว แม้ว่าไม่ได้แม่นอันใด แต่ก็ยิงเศษเหล็กกระจัดกระจายใส่ร่างคนบาดเจ็บได้
“กลับหลังหัน!!”
หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วล้วนทนรับสภาพบาดเจ็บล้มตายนี้ไม่ไหว ทหารม้าครั้งนี้เป็นทหารสังกัดตนเสียมาก สิ้นเปลืองไปแล้วย่อมเจ็บปวดใจ ยึดเมืองเปียงยางได้ก็เป็นความชอบใหญ่แล้ว ในเมืองนอกเมืองตัดหัวไปได้ไม่น้อยแล้ว เมื่อครู่ปะทะกันไป ก็น่าจะได้อีกพันหัว ไยต้องมาสู้ตายเช่นนี้ มองดูสภาพโจรวัวโค่วทั้งกองแล้ว หากยังดันทุรังบุกเข้าไปอีก ความเสียหายเกรงว่าจะยิ่งมากไปอีก
ไม่มีคนออกคำสั่งอย่างเป็นรูปธรรม แต่ทหารม้าด้านหน้าเริ่มถอยห่างจากโจรวัวโค่ว ไม่มีผู้ใดอยากจะไปตายเปล่า ทัพใหญ่ทั้งคนและม้าล้วนตามถอยออกมาไกล
โจรวัวโค่วเพิ่งจะหยุดเคลื่อนไหว ทหารม้ากองกำลังหมิงครั้งนี้ไม่มีที่วิ่งวนได้เพียงพอเพื่อจะเว้นระยะห่างพอจะวิ่งเข้าปะทะโจรวัวโค่วได้อีก โจรวัวโค่วกองนี้ตีโต้เช่นนี้ทำให้กองกำลังหมิงระวังตัว เมื่อวานการต่อสู้ก็เป็นเมื่อวาน กองกำลังโจรวัวโค่วตรงหน้าคิดง่ายเพียงนี้ แต่มันไม่ง่ายเพียงนั้น สงครามย่อมเป็นสงคราม ย่อมต้องมีคนตาย
ไม่มีทหารม้าก่อกวน ทัพโจรวัวโค่วเร่งความเร็ว การต่อสู้เมื่อครู่ ทำให้กองปืนใหญ่โจรวัวโค่วฮึกเหิมไม่น้อย ทหารม้าทุกครั้งพอเข้าใกล้ พวกเขาก็จะรีบเตรียมยิง
ค้างกันแบบนี้ครู่หนึ่ง ทหารโจรวัวโค่วแนวหน้าเริ่มข้ามแม่น้ำแทดอง ผิวแม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็งหนา สภาพเช่นนี้ ทหารม้าไม่อาจติดตามไล่ล่าได้อีก บนแม่น้ำปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ใต้หิมะก็อาจมีร่องน้ำแข็ง หากลงแม่น้ำไป ที่เหมาะๆ ก็หาได้ไม่มาก
อีกฟากแม่น้ำ ก็พอเห็นเงาลางๆ ของกองทหาร อีกฝ่ายมีคนมารอรับ ตั้งแต่ไล่มาถึงตอนนี้ ทหารม้ากองกำลังหมิงไม่ได้หยุดเลย ในวันอากาศหนาวเหน็บหิมะปกคลุมเช่นนี้ ม้าหลายตัวล้วนวิ่งเหงื่อออก สีหน้าเห็นชัดว่าเหนื่อยอ่อน ต้องหยุดพักแล้ว
*****************
“เจ้าพวกบัดซบ หิ้วหัวกลับมาไม่ถึงพันห้า ตนเองเสียหายไปเจ็ดร้อย!”
จวนที่พักชนชั้นสูงในเปียงยางกลางเป็นที่ตั้งกองกำลังหมิง หลี่หรูป๋อตวาดดังต่อหน้าหลี่หนิงกับฉาต้าโข่ว สีหน้าดุดันด่าไม่หยุด
นี่เป็นหลี่หนิง ทหารคนสนิทหลี่หรูซง ฉาต้าโข่วที่เหลียวซีก็นับว่าเป็นคนมีตำแหน่งพอตัว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหลี่หรูป๋อคงลงมือโบยไปนานแล้ว หลี่หรูซงสีหน้าดูไม่ได้ ทหารในสังกัดพวกเขา ตอนนี้เรียกได้ว่าตายไปหนึ่งก็น้อยลงหนึ่ง คิดจะเพิ่มกำลัง อย่างไรก็ต้องห้าปี เป็นเรื่องยุ่งยากมาก แต่หลี่หรูซงนับว่านิ่งพอ ได้แต่สบถว่า
“ไม่อาจตำหนิพวกเขา รบกันย่อมมีคนตาย หรือว่าเจ้าคิดว่าเราจะตายแค่คนสองคนกัน โจรวัวโค่วตายไปนับพันนับหมื่น พวกเขามีมีดดาบ และยังมีปืน…”
“ไสหัวไปๆ!”
หลี่หรูป๋อคำรามไล่ออกไป หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วสบตากัน แม้ล้วนไม่พอใจ แต่ก็รับคำสั่งออกไป พอทุกคนออกไปแล้ว หลี่หรูเหมยก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น กล่าวว่า
“ในเมืองนอกเมืองตัดหัวมาได้ราวสี่พันสอง บวกกับที่ไล่ล่า หัวห้าพันก็คงได้ ไปรายงานชัยชนะครั้งนี้ ความดีความชอบไม่น้อย บ่ายนี้จะนำรถใหญ่คนหัวไป”
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าหลายคนในห้องล้วนไร้ยินดี หลี่หรูป๋อถูมือกล่าวว่า
“ยึดเปียงยาง ยังตัดหัวมาได้มากเพียงนี้ ความดีความชอบเห็นๆ กันอยู่แล้ว ดีไม่ดีตระกูลหลี่เราครั้งนี้อาจได้อำนาจใหญ่คืนมา!”
ยังไม่ทันให้หลี่หรูเหมยรับคำ หลี่หรูซงก็กล่าวเสียงเรียบว่า
“ให้พวกเราสงบเสงี่ยมหน่อย ผู้หญิงไม่ต้องยุ่ง แต่หัวชาวเกาหลีอย่าตัดไปมากนัก ไม่ก็เอาพวกเขาไปใช้แรงงานก่อสร้าง ทางนี้ถูกโจรวัวโค่วกวาดล้างมารอบ ไหนเลยจะมีชาวบ้านมากมายมาช่วยออกศึกได้!”
ในเมืองนอกเมืองตัดหัวไปเท่าไร ในใจหลี่หรูซงนับไว้ครบ ผลการรบคืนวานแม้ว่าดุเดือด แต่ไหนเลยจะได้หัวมาได้ ตามที่ว่าในเมืองสี่พันกว่ากับที่ไล่ล่ามาอีกพันห้า นับรวมเป็นห้าพันหัว หลี่หรูซงขี้เกียจจะเปิดโปง อย่างไรที่สังหารทิ้งก็เป็นราษฎรเกาหลีมาสวมรอย รู้แล้วก็ขี้เกียจจะสนใจ ไม่ใช่คนแผ่นดินหมิง ตายแล้วก็แล้วไป อย่าเสียเวลางานหลักก็พอ
พอหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ หลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยล้วนท่าทีกระอักกระอ่วนใจ หลี่หรูเหมยชินกับพี่ชายมาก ได้แต่ยู่ปากบ่นเบาๆ ว่า
“เรื่องพวกนี้เจ้าเมื่อก่อนก็ใช่ว่าไม่ทำนี่!!”
หลี่หรูซงได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวต่อว่า
“ครั้งนี้จับเชลยได้มาร้อยกว่า เจ้ารีบให้ทางเหลียวหนิงส่งล่ามมา เร่งถามความจากคนเหล่านี้ ตอนนี้เกาหลีแปดจังหวัด เราคุมมาได้แค่หนึ่ง รอบๆ ล้วนยังเป็นพวกศัตรู ไม่อาจประมาท!”
“พี่ใหญ่ เราลงใต้กันเถอะ จังหวัดฮวังแฮเล็กๆ ผ่านจังหวัดฮวังแฮไปก็เป็นเกาหลีแล้ว ยึดเมืองโซอุล นี่เรียกได้ว่าเป็นความดีความชอบสะเทือนแผ่นดินเลยเชียวนะ”
ได้ยินวาจาตื่นเต้นหลี่หรูป๋อ หลี่หรูซงถอนหายใจส่ายหน้าชี้หน้าอยากกล่าวอันใดแต่ไม่ได้กล่าวออกมา สุดท้ายได้แต่กล่าวว่า
“ครั้งนี้ไปอี้โจว ต้องเร่งสะสมเสบียง ข้างหน้าอีกสามสิบลี้ เสบียงทหารเราไม่พอแล้ว!!”