องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1104 พฤติกรรมราวมารแทรก
“เปลี่ยนแม่ทัพกลางคัน เป็นเรื่องต้องห้ามทางการทหาร ทุกท่านกล่าวเช่นนี้ คิดให้เราถูกด่าลับหลังหรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์มองฟ้า ตรัสขึ้นอย่างสบายอารมณ์ เจ้าจินเลี่ยงมีฎีกาหนึ่งในมือ อ่านจบ เจ้าจินเลี่ยงคิดแล้วก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“ฝ่าบาท ฎีกานี่ตีกลับไปหรือ?”
“แบบนี้แหละ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงหนักแน่น
หลี่หรูซงได้รับชัยชนะที่เกาหลี ข่าวนี้มาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่โปรยเงินออกไป ทำให้มีคนถวายฎีกา บรรยากาศถูกกระพือพัดโหมขึ้นแล้ว
แต่ทว่าฎีกาลองต่อรองล้วนถูกตีกลับไป ส่วนใหญ่ล้วนไม่ผ่านคณะเสนาบดีใหญ่กับสำนักส่วนพระองค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนออกศึกเปลี่ยนแม่ทัพ ไม่ว่ามองอย่างไร ล้วนเรียกได้ว่าเหลวไหลโดยแท้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลี่หรูซงได้มีโอกาสออกศึกเกาหลี ก็ยังเพราะหวังทงเสนอ
แต่สถานการณ์ตอนนี้ ตระกูลหลี่มีความเป็นไปได้หนึ่งก็ต้องพยายามสิบ แต่ก็มีหลายคนมองจากสถานการณ์ตอนนี้ ทหารโจรวัวโค่วแม้ว่าสองแสน แต่ก็เหมือนจะสู้ไม่ยาก
ตอนนั้นตะวันออกเฉียงใต้เคยมีโจรวัวโค่วหลายสิบไล่สังหารทหารหลายร้อยเกิดขึ้น ใต้ขุนนางบุ๋นแต่ละมณฑลทางตะวันออกเฉียงต้องเสียแรงปราบปรามไปมาก ชีจี้กวงกับอวี๋ต้าโหยวนำทหารไป จึงได้ปราบลงได้สิ้นซาก วันนี้ที่เกาหลีพริบตาก็มากันสองแสน ใช่ว่ายากต่อกรหรือ
เริ่มจากจู่เฉิงซวิ่นเข้าเกาหลี ทหารม้าห้าพันพ่ายยับที่เปียงยาง ทุกคนได้แต่หนาวสันหลัง ตอนนี้หลี่หรูซงนำกำลังทัพใหญ่เข้าเกาหลี ตัดหัวมาได้ง่ายราวกับผักปลา หัวเกือบหมื่นนี้นำกลับมาแล้ว บางทีอาจมีสังหารราษฎรผสมมาด้วย อาจจะราวเจ็ดแปดพันหัว ผลการรบเช่นนี้บอกทุกคนว่า ขอเพียงไปเกาหลีก็มีความดีความชอบให้ไขว่คว้า เหลียวกั๋วกงหวังทงได้ไปมากพอแล้ว ครั้งนี้ไป กลับมาคงส่งผลต่อทุกคน ไม่สู้คว้าโอกาสนี้ให้ตระกูลหลี่
แต่ความพยายามเหล่านี้ล้วนไร้ผลต่อขุนนางส่วนกลาง สมดุลอำนาจหรืออาจเรื่องอื่นใด ทัพใหญ่เช่นนี้ออกศึก ส่งผลต่อแผ่นดินมาก แต่ละคนล้วนรู้ว่าควรรับหรือสละอันใด
เดิมโจรวัวโค่วในเกาหลีเป็นปัญหายาก ตอนนี้กลับเป็นความชอบใหญ่ เดือนหนึ่งไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องฉลองปีใหม่กัน ทุกคนล้วนสนใจในเรื่องนี้
เบื้องบนปฏิเสธการเคลื่อนไหวนี้ พวกเขาถูกความดื้อดึงบดบังความจริงไปก่อนหน้า ตอนนี้พวกเขาคิดได้แล้วว่า ที่ไม่ได้รับคำให้เปลี่ยนแม่ทัพ ไม่ใช่เพราะสถานการณ์นี้ไม่อาจเปลี่ยน แต่เป็นเพราะตระกูลหลี่ทำศึกที่เกาหลีได้ไม่ดีพอต่างหาก หากสามารถได้รับชัยยิ่งใหญ่กว่านี้ มีผลงานที่อลังการกว่านี้ได้ เมืองหลวงย่อมเคลื่อนไหวได้แรงจูงใจยิ่งมากกว่านี้
***************
“ทัพใหญ่กำลังถึง ขอใต้เท้าหลี่ป้องกันเปียงยางให้ดี สร้างปราการป้องกัน ดูแลโกดังให้สะอาดเพื่อรอทัพใหญ่มา ยังมีข่าวจากสายสืบมาว่า จังหวัดฮัมกยองมีโจรวัวโค่วกองรบสองรวม 23,000 กำลังมากอยู่ ขอใต้เท้าหลี่รับมือด้วยความระมัดระวัง…ทหารเมืองเซวียนฝู่และเหลียวซีออกรบมานานเกือบเดือน บาดเจ็บล้มตายมาก ได้พักกองกำลังอยู่ที่จังหวัดพยองอันพอดี ขับไล่พวกโจรไปแล้ว รวบรวมคนในพื้นที่มาได้แล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนรอการมาของทัพใหญ่กั๋วกง ขอใต้เท้าหลี่รอบคอบให้มาก…”
“ใครอยู่ข้างนอก นำพี่ชายท่านนี้ไปดื่มน้ำชาก่อน อย่าลืมดูแลค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ดี!”
ขุนพลทหารเหมือนายกองร้อยในห้องอ่านคำสั่งผู้ว่าการมณฑลสวีกว่างกั๋วจบ หลี่หรูซงก็สั่งเสียงดัง การต้อนรับด้วยมารยาททำให้นายกองร้อยผู้นั้นต้องขอบคุณ รีบคำนับ
พอนายกองร้อยนั่นออกไป หลี่ซานสือในห้องที่นั่งอยู่ก็หันมาถ่มน้ำลายทิ้ง กล่าวไม่พอใจว่า
“เจ้าพวกขี้ข้านี้ไม่เข้าใจ แต่ยังรู้แย่งผลงานให้นาย ให้พวกเราไม่เคลื่อนไหว ก็ไม่เคลื่อนไหวหรือ…”
บ่นได้สองประโยค ก็ถูกหลี่หรูซงส่งสายตากำราบดุมา จึงเก็บวาจากลับไป หลี่หรูป๋อไม่สนใจอันใดตบโต๊ะดัง ตวาดด่าว่า
“บัดซบ บัดซบจริงๆ เห็นพวกเรามีชัยชนาราวตีกระบอกไม้ไผ่แตกดังกระหึ่ม เจ้าผู้ว่าการมณฑลกลับมาคอยรั้งขาเราไว้ ยังไม่ยอมส่งเสบียงมา มารดามันสิ หรือว่าพวกเราไม่ใช่ต่อสู้เพื่อแผ่นดินหมิง พวกเราตัดหัวมานั้นไม่ใช่หัวหรือไง นี่มันคำสั่งไร้สาระ พวกเราไม่ต้องไปสนใจ!”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูเหมยกระแอมไอสองที ก่อนจะกล่าวความจริงว่า
“พี่รอง เสบียงที่อี้โจวมีไม่มากจริงๆ โกดังล้วนว่างเปล่า เสบียงที่กำลังจะขนมาก็จะมาไว้ให้พวกเราที่นี่…”
“คุณชายสาม ข้าน้อยขอถาม รถใหญ่ขนเสบียงเป็นอย่างไร สองล้อหรือสี่ล้อกัน?”
จู่เฉิงซวิ่นเอ่ยถามขึ้น หลี่หรูเหมยขมวดคิ้วคิด เป็นดังที่ขุนนางเกาหลีลีไอตอบ
“ล้วนสองล้อ…”
เมื่อครู่หนังสือมีคำสั่งต่อทหารทัพหน้า ขุนพลทหารเกาหลีก็หลายคนฟังอยู่ จู่เฉิงซวิ่นได้ยินคำตอบก็หัวเราะกึก กล่าวว่า
“คุณชายสาม หากท่านอยู่ที่นั่นต่ออีกสองสามวัน เกรงว่าโกดังคงมีเสบียงเต็มแล้ว รถใหญ่สี่ล้อม้าสี่ตัวลาก จากเหลียวตงกับเจี้ยนโจวมากที่สุด เราตระกูลหลี่รถใหญ่สี่ล้อล้วนทำการค้าที่เหลียวเป่ยเหลียวซี การขนเสบียงตอนนี้เป็นเหลียวหนิงเรา แต่ละแห่งสะสมเสบียงกันตลอดเส้นทาง รถใหญ่ส่งมามาก เสบียงก็มากตาม สวีกว่างกั๋วช่าง…”
จู่เฉิงซวิ่นรบนั้นเรียกว่าไม่เท่าไร แต่เรื่องทำการค้าถือเป็นมือหนึ่งเหลียวซี วาจาเขาทำเอาทุกคนล้วนเชื่อ
พอเขาเปิดโปงเช่นนี้ หลี่หรูป๋อตบโต๊ะผุดลุกขึ้น หลี่หรูซงโบกมือ กล่าวเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าร้อนใจอันใด ใต้เท้าสวีเคยตัดเสบียงพวกเจ้าหรือ เคยให้พวกเจ้าหิวหรือ คนของเจ้าไมใช่ว่ายังกินอิ่มนอนอุ่นเปลี่ยนผู้หญิงกันทุกวันอยู่หรือ?”
ราษฎรเกาหลีเปียงยางกลับมากันเยอะมาก แต่ผลผลิตก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไร เป็นแม่ทัพเหลียวซีที่ไม่ยอมเอาเงินออกมาซื้อ กดราคาจากคนเกาหลี ถึงกับรับเอาสาวงามมาทั้งหมด เสพสุขกันอย่างมาก หลี่หรูซงเป็นบุตรชายคนโตตระกูลหลี่ ขุนพลทหารเขากับพวกสายเหลียวซีล้วนมีสายสัมพันธ์แน่น ข่าวก็แม่นมาก เขาแน่นอนล้วนรู้ทุกเรื่อง
พอถูกตำหนิ หลี่หรูป๋อก็เงียบ หลี่หรูซงกล่าวผ่อนสถานการณ์ว่า
“อี้โจวทางนั้นเตรียมเสบียงเพื่อรอทัพใหญ่ไม่ผิดอันใด คำสั่งให้เรายึดเปียงยาง ไม่ให้โจรวัวโค่วรวมกำลังกันที่จังหวัดพยองอันกับจังหวัดฮัมกยองได้ ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว เฝ้าที่นี่ไว้ ก็เป็นการทำตามคำสั่ง พวกเราไม่ผิด ใต้เท้าสวีก็ไม่ผิด พวกเจ้าบ่นโกรธแค้นกันทำไม!”
หลี่หรูซงกล่าวจบ หลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยล้วนก้มหน้านิ่ง หลี่หรูซงหันไปกล่าวกับขุนพลทหารเกาหลีว่า
“ในเมืองเกาหลีราษฎรนับวันยิ่งมาก ทุกท่านควรไปฝึกทหารในเมืองกันได้แล้ว การรักษาความสงบในเมืองต้องอาศัยทุกท่าน ขอให้รีบเตรียมการเถิด!”
หลี่หรูซงกล่าวได้มีมารยาท ลีไอกับคิมอึนโซและขุนนางเกาหลีอื่นๆ ต่างก็รู้ว่าไล่แขก ล้วนคำนับพากันออกไป พวกเขาออกไปแล้ว หลี่หรูป๋อกำลังจะพูด หลี่หรูซงกลับถอนหายใจ กล่าวเสียงแผ่วว่า
“น้องรอง น้องสาม พวกเจ้าไม่ต้องกระทืบเท้าขัดใจ ใช่ว่าเห็นด้านหน้ามีความชอบ ข้าฐานะพี่ใหญ่กลับไม่ไปรับใช่หรือไม่ และยังไม่ให้พวกเจ้าไปรับอีก ยังพูดแทนคนอื่นอีกงั้นใช่ไหม?”
คิดไม่ถึงหลี่หรูซงกล่าวออกมาตรงๆ เช่นนี้ ในห้องล้วนคนตระกูลหลี่ ล้วนพากันอึ้งไป หลี่หรูซงส่ายหน้ากล่าวต่อว่า
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ทหารเหลียวครองอันดับหนึ่งใต้หล้าแบบเมื่อก่อนแล้ว หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ข้าคงนำพวกเจ้าไปเมืองโซอุลแล้ว ไหนเลยจะไปสนใจหนังสือคำสั่งผู้ว่าการมณฑลนั่น แต่ตอนนี้ไม่อาจทำได้แล้ว ตระกูลเราไม่อาจล่วงเกินหวังทง เสี่ยงไป ขัดคำสั่ง อีกฝ่ายคงได้มีโอกาสจัดการตระกูลหลี่เราง่ายดังพลิกฝ่ามือ เสี่ยงไปทำไมกัน ท่านพ่อเรายังคิดว่าเป็นเราเมื่อสิบปีก่อน ตระกูลหลี่เรียกลมเรียกฝนได้กระมัง?”
ในห้องบรรยากาศเริ่มเงียบลง หลายคนมีท่าทางไม่ยินยอม หลี่หรูซงกล่าวอีกว่า
“พูดแล้วพวกเจ้าไม่อยากฟัง ข้าพูดเรื่องอื่นดีกว่า หลังพ่ายศึกเจี้ยนโจวยับเยิน ตระกูลเราสูญเสียหนัก เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ก็ผ่านมาห้าหกปีแล้ว ทหารสังกัดเราฝึกซ้อมได้ขึ้นมาเท่าไร?”
พูดถึงตรงนี้ หลี่หรูซงน้ำเสียงเข้มขึ้น
“พวกเจ้าหลายปีนี้ไม่ได้ฝึกซ้อมเลย แม้แต่พวกคนเก่าๆ ก็เสียของไปหมดแล้ว วันๆ เอาแต่ทำการค้า ดูโรงบ้าน มีประโยชน์อันใด มารดามันสิ ทหารติดตามน้องรองเจ้าเอง แต่ละคนล้วนรูปร่างอ้วนขึ้นไม่น้อย ม้าก็ผอมลง ยังจะออกศึกอีกหรือ ทหารเราเหล่านี้ ที่นำออกรบได้ก็ล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่ข้านำมาจากเมืองเซวียนฝู่ สภาพเช่นนี้ยังหวังอันใดได้อีก ป้อมดินนั่น ยังมีเมืองเปียงยาง หากไม่ใช่ปืนใหญ่อานุภาพรุนแรง พวกเจ้าต้องตายไปอีกเท่าไร?”
ทุกคนได้แต่เป็นใบ้เบื้อ หลี่หรูซงกล่าวอีกว่า
“ในตรอกเมืองเปียงยางรบตายไปเท่าไร ออกไปซุ่มยังตายไปอีกเท่าไร เจ้าคิดว่าโจรวัวโค่วเคี้ยวง่ายหรือ ตอนนี้รอบๆ เราอย่างน้อยมีโจรวัวโค่วเจ็ดหมื่น หากออกรบกันจริง แท้จริงเป็นผู้ใดกินผู้ใด หรือว่าอาศัยปืนใหญ่ยิงเอา? ข้ายังไม่ได้ด่าพลปืนใหญ่บัดซบพวกเจ้าเลยนะ!”
ตระกูลหลี่พ่ายศึกใหญ่ที่เจี้ยนโจว ไมได้รับการลงโทษใด พากันออกไปบุกเบิกพื้นที่การค้าและอาณานิคมทุกวันเพื่อเงินทอง สนใจแต่การนี้ การฝึกซ้อมทหารนั้นก็ไม่มีแก่ใจคิดทำ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่มี แต่บนสนามรบ กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่
หลี่หรูซงโมโหมาก ทำให้คนในห้องล้วนคิดเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ แต่ละคนได้แต่ฮึดฮัดไม่กล้ากล่าว หลี่หรูซงนั่งทำใจให้สงบลงแล้วก็กล่าวว่า
“อย่าได้ไม่พอใจ ผลงานครั้งนี้เพียงพอแล้ว ผลประโยชน์ที่ควรได้…”
ยังพูดไม่จบก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงทหารรายงานดังมาว่า
“ท่านแม่ทัพ เหลียวหยางมีจดหมายมา!”
……
“…นายท่านบอกแล้วว่า ครั้งนี้เป็นโอกาสทอง หากทำได้ ย่อมมีความชอบเทียบเท่าหวังทง ขอคุณชายใหญ่เร่งนำกำลังไป หากคุณชายใหญ่ไม่นำไป นายท่านจะนำกำลังมาเกาหลีเอง จะไปเมืองโซอุลเอง…”
คนเบื้องหน้าคุกเข่าผู้นั้นกล่าวเนิบนาบ ในห้องเงียบมาก