องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1108 ประลองตัวต่อตัวก่อนประจัญบาน
อากาศดีจริง ฤดูใบไม้ผลิในจังหวัดคยองกีเกาหลีมาถึงเร็วกว่าที่เหลียวหนิง พระอาทิตย์ขึ้นสูง ท้องฟ้ากระจ่างใส ไม่มีลมพัดแรงนัก แต่ละคนรู้สึกอบอุ่น
แต่สภาพการณ์สนามรบ กลับไม่ได้งดงามเหมือนทิวทัศน์ อากาศเริ่มอุ่นแล้ว เดิมที่นารอบนอกเมืองโซอุลก็เริ่มน้ำแข็งละลายแล้ว ที่นาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนาข้าวใช้น้ำปลูก สภาพตอนน้ำแข็งละลาย แม้แต่ทหารราบเหยียบย่ำก็ยังไม่อาจทนรับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารม้าที่สวมเกราะยิ่งหนัก
พื้นดินเต็มไปด้วยโคลน แม้ทหารราบเดินเท้ายังย่ำจมลงไปรอยเท้าหนักเบาปรากฏ ทหารม้าเดินก็ยิ่งช้า แต่ทว่าทหารม้าที่หลี่หรูซงนำมาเหล่านี้ ขี่ม้าไม่ได้ด้อยไปกว่าคนบนทุ่งหญ้า ในพื้นที่เช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบใดนัก ยังคงเดินหน้าไปได้ดังใจ
อย่างไรก็เป็นทหารเก่าแก่ตระกูลหลี่ เป็นคนของหลี่หรูซงในเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่มานาน ออกคำสั่งไปแต่ละกองก็ล้วนเตรียมตัวเรียบร้อย เรียงแถวเดิน
แม้ทัพใหญ่โจรวัวโค่วที่เห็นเหมือนไกลสุดลูกหูลูกตา แต่พอคำสั่งมาถึง ทหารม้าตระกูลหลี่ก็ไม่ได้แตกตื่นวุ่นวาย หากจัดแถวเดินหน้า แต่ละคนล้วนพร้อมบนหลังม้า ตามหลักทหารม้ายามนี้ควรสวมเกราะ มือถืออาวุธยาวอยู่หน้า แต่ทว่าขบวนทัพม้าตระกูลหลี่ครั้งนี้ไม่ใช่ คนไม่น้อยล้วนเดินตามหลังม้าที่แบกกล่องไม้ไว้ ร่วมเดินไปด้านหน้า
ระหว่างเดินทัพเข้าทำศึก ทหารเก่าแก่มาประสบการณ์บนสนามรบ สองฝ่ายกำลังเข้าใกล้กัน ทหารโจรวัวโค่วหลายพันด้านหน้าอยู่ๆ หยุดเดิน
หลี่หรูซงลังเลครู่หนึ่ง ก็ยกดาบในมือ ท่าทางนี้ ทำให้ทหารธงด้านหลังหลายคนยกธงโบกสะบัด ทัพใหญ่เดินหน้าไม่นานก็หยุด
“โจรวัวโค่วเล่นลูกไม้ใด?”
ทางนี้เพิ่งมีคนบ่นขึ้น ก็เห็นหน้าทัพทหารโจรวัวโค่วมีทหารม้าหนึ่งก้าวออกมาอย่างช้า ๆ หน้าทหารม้ามีทหารราบเดินส่ายไปมา
“มารดาโจรมันสิ เล่นงิ้วหรือไง? แต่งชุดทองอร่ามเช่นนี้!”
ทหารม้าที่ก้าวออกมาจากกองทัพโจรวัวโค่วผู้นี้ สวมเกราะงดงามอร่ามตา ไม่ต้องพูดถึงว่าปกปิดตั้งแต่เท้าถึงหน้าอกครบ หมวกเกราะก็มีเขากวางประดับ หมวกเกราะยังมีพู่สีแดงเลือด ที่ยิ่งเตะตาก็คือ เกราะทั้งตัวทำด้วยทองคำ ก็ไม่รู้ว่าใช้ทองคำไปเท่าไร แต่ใต้แสงตะวันนั้นส่องประกายระยับ ทวนยาวในมือปลายสองด้านก็มีคมมีดจันทร์เสี้ยว
โจรวัวโค่วผู้นี้ขี่ม้าออกจากทัพมาได้ราวร้อยกว่าก้าว ก็ยกทวนยาวขึ้นตะโกน ทัพหลี่หรูซงมีคนรู้แต่ภาษาเกาหลี ไม่รู้ภาษาวัวโค่ว พากันงง
แต่คนตรงหน้าก็ถือว่าคิดได้รอบคอบ ทหารราบที่ดูเดินส่ายไปมาตะโกนว่า
“ข้าคือขุนพลของท่านทาชิบานะ นามว่ายาสุ ซึเนะฮิสะ ขอถามชื่อโจรหมิงทางนั้นที่จะกล้าออกมาประลองม้าเดี่ยวกับข้า…ออกมาประลองกับข้า”
ที่เรียกว่า ประลองม้าเดี่ยว ก็คือภาษาประเทศวัวที่แปลว่าตัวต่อตัวในภาษาจีน ทหารราบสำเนียงภาษาจีนแบบเกาหลี ดูแล้วไม่น่าใช่ชาวประเทศวัว แปลภาษาบกพร่องก็ยากจะหลีกเลี่ยง
ยาสุ ซึเนะฮิสะตะโกนจบ ทหารโจรวัวโค่วด้านหลังก็ตีกลอง เสียงดังน่าตกใจ ทางทหารม้ากองกำลังหมิง หลายคนล้วนอุทานตกใจ หลี่หรูซงยิ่งขำ
“เหลียวกั๋วกงบอกว่าเมืองเหลียวโจวเราดูงิ้วมากไป ข้าว่านะ โจรวัวโค่วก็ดูงิ้วมาไม่น้อย ทำท่าทางแบบนี้ให้ผู้ใดดูกัน!”
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอออกศึก ยิงเจ้านั่นให้ตายไปเลย!”
ชายด้านข้างในชุดทหารหน่วยจู่โจมประสานมือคำนับขอออกศึก หลี่หรูซงกำลังจะพยักหน้า หากกลับส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไปตามท่านรองมา!”
หลี่หรูซงเรียกหลี่หรูป๋อว่าน้องรอง แต่เวลาเรียกกับลูกน้องก็จะเรียกว่า ‘ท่านรอง’ ทหารในสังกัดรีบไปถ่ายทอดคำสั่ง ไม่นาน หลี่หรูป๋อก็เร่งขี่ม้ามา
“น้องรอง เราคนน้อย โจรวัวโค่วคนมาก ต้องหาวิธีสร้างกำลังใจเรา ด้านหน้าขุนพลวัวโค่ว เจ้ามีความมั่นใจว่าจะตัดหัวมันได้ไหม!”
ได้ยินหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ หลี่หรูป๋อตื่นเต้นสีหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“แต่เล็กฝึกยุทธลำบากตรากตรำ มาถึงตอนนี้เกือบสามสิบปี พี่ใหญ่ ท่านก็ไม่แน่ว่าเป็นคู่ต่อสู้ข้า นับประสาอันใดกับตัวอะไรไม่รู้เบื้องหน้านี้ ให้ข้าออกศึกเอง!”
หลี่หรูซงพยักหน้า เห็นหลี่หรูป๋อหันหลังจะออกไป ก็กำชับไปว่า
“นี่ไม่ใช่ขุนพลในงิ้วต่อสู้ตัวต่อตัว เจ้าต้องระวังตัว สู้ไม่ได้ก็ถอย ทัพใหญ่เราเข้าปะทะก็พอ!”
“พี่ใหญ่ ท่านรอดู!”
หลี่หรูป๋อไปอย่างตื่นเต้นยินดี หลี่หรูซงถอนหายใจส่ายหน้า ตระกูลหลี่แต่เล็กได้ฟังเรื่องสามก๊กมาจนโต อย่าว่าแต่เรียนรู้ แต่เรียกได้ว่าสองฝ่ายปะทะศึก ขุพลทหารสองฝ่ายออกรบตัวต่อตัวประลองกำลังก็ชอบมาก พอออกสนามรบจึงได้รู้ว่างิ้วกับชีวิตจริงนั้นต่างกัน นิสัยหลี่หรูซงสุขุมกว่าหน่อย มองเรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องบันเทิง หลี่หรูป๋อกลับมีนิสัยแบบคุณชายในตระกูลแม่ทัพที่รักสำราญ ชอบเรื่องเช่นนี้ที่สุด ปกติไม่มี วันนี้แม้ว่าเป็นศึกใหญ่เป็นตาย แต่กลับมีโอกาสเช่นนี้ได้ จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
โจรวัวโค่วยาสุ ซึเนะฮิสะตะโกนดังสามรอบ ทัพโจรวัวโค่วก็ยิ่งฮึกเหิม กำลังเตรียมกระชากม้ากลับไป ก็เห็นกองกำลังหมิงส่งแม่ทัพขี่ม้าออกมา กองกำลังหมิงตรงหน้าส่งเสียงตะโกนดัง บรรยากาศเริ่มฮึกเหิมขึ้นมา
เกราะหู่เวยบนตัวหลี่หรูซง และเครื่องม้าชั้นดีที่สุด สั่งทำเฉพาะไม่ว่า ทุกวันยังมีทหารติดตามค่อยเช็ดถูกขัดเงา เครื่องป้องกันแขนและหน้าอกยังมีการตกแต่ง ต้องแสงอาทิตย์ก็ส่องประกายแวววาว เป็นขุนพลชุดเกราะที่ดูบารมีเกรียงไกรยิ่ง
เห็นทางนี้มีคนออกมารับศึก ขุนพลวัวโค่วเกราะทองคำก็กระชากม้ามุ่งมา ทหารราบข้างๆ วิ่งกลับไปแล้ว
สถานการณ์ประลองกำลังตัวต่อตัวนี้ แม้ว่าในสงครามประเทศวัวก็พบเห็นได้น้อยมาก แม้แต่ในเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่ที่เต็มไปด้วยสงครามออกศึกก็ไม่ค่อยได้พบ ทหารสองฝ่ายยามนี้ตื่นเต้นมาก ลืมเรื่องต่อจากนี้ไปกันชั่วคราว
ทหารราบกับทหารม้าสองฝ่ายไม่น้อยตั้งค่ายกันในกองดินโคลน แต่ขุนพลสองคนนี้กลับเลือกที่ปะทะกันได้ดี มาถึงตอนนี้ เสียงกลองดังติดต่อกันเบาลงไปมาก ราวกับว่าให้ทั้งสองได้ตั้งใจกับการต่อสู้ สองฝ่ายค่อยๆ ใกล้เข้าหากัน ผู้ใดก็ไม่กระโจนม้าเข้าไปก่อน
ในเวลาเช่นนี้ ต้องพยายามหาจุดที่ทำให้ตนเองได้ประโยชน์ที่สุด เพื่อลดกำลังม้า
พอเข้าใกล้ได้ราวสองร้อยก้าว ไม่ก็ใครเริ่มรุกก่อน ไม่ก็รุกเข้ามาพร้อมกัน สองฝ่ายล้วนเร่งความเร็วม้า สองฝ่ายปะทะกันซึ่งหน้า
เป็นการประลองก่อนการรบ วิธีการที่ใช้ก็ไม่ได้ระมัดระวังน้อยไปกว่าบนสนามรบ การต่อสู้เป็นตายกันง่ายเพียงนี้ สองฝ่ายล้วนยกทวนยาวระนาบ คิดอาศัยแรงม้าแทงอีกฝ่ายให้ร่วงจากหลังม้า
ไม่รู้สองทัพ ผู้ใดส่งเสียงก่อน พริบตาก็เสียงเชียร์ดัง ล้วนตะโกนให้กำลังใจ ความสนใจหลี่หรูซงไม่ได้อยู่ที่การสู้ตัวต่อตัวของหลี่หรูป๋อ แต่อยู่ที่การสำรวจการแบ่งของทัพใหญ่โจรวัวโค่ว และสภาพพื้นที่ ได้ยินเสียงร้องเชียร์ยิ่งดัง ก็อดไม่ได้ยิ้ม กล่าวว่า
“ท่านรองเกรงว่าคงตื่นเต้นยินดียิ้มแก้มปริไปแล้ว ภาพเช่นนี้เขาคิดอยากลองแต่เล็ก! ตอนนอนไม่หลับก็มักจะคุยกับข้าเรื่องนี้…”
ทางนี้เข้ามาใกล้ สองฝ่ายทวนยาวชี้ใส่กัน บังคับม้าให้นิ่ง พริบตานี้ผู้ใดได้ตำแหน่งดีกว่า ผู้ใดกำลังมากกว่า
พอระยะสามสิบก้าว พริบตาก็มาระยะสามสี่ก้าว ขุนพลโจรวัวโค่วเกราะทองคำยาสุ ซึเนะฮิสะอยู่ๆ ก็เอี้ยวตัว เขาถือทวนในมือซ้าย มือขวากำทวนสั้นไว้แน่น พอผงะตัวไปด้านหลังก็คำรามดัง ก่อนจะใช้ทวนสั้นในมือพุ่งใส่หลี่หรูป๋ออาศัยกำลังม้า ความเร็วกำลังเร็วที่สุด ทวนสั้นพุ่งมาอย่างเร็ว ไม่ช้ากว่าธนู ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมหลบไม่พ้น
กองกำลังหมิงฮือดังทันที มีคนสบถด่าออกมา ขุนพลทหารต่างพากันกำบังเหียนแน่นเตรียมออกศึกสังหาร วิธีการขั้นตอนไม่สำคัญ สังหารศัตรูจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รอให้มีผลแพ้ชนะนี้ก็ควรได้ปะทะศึกตัดสินแล้ว
“ตัวบัดซบ!!”
หลี่หรูป๋อตวาดด่าดังด้วยความโมโห แต่เขาอยู่บนหลังม้าตรากตรำฝึกฝนมาสามสิบปีไม่ได้เสียเวลาฝึกมาเปล่าๆ แม้น้าวธนู หากขาก็ยังพอจากเหยียบบังโกรนม้าไว้อยู่ คนจึงเอี้ยวตัวหลบอีกทาง ทวนสั้นพุ่งวืดผ่านไป แต่คนมีประสบการณ์ล้วนเข้าใจ หลี่หรูป๋อตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ ทวนยาวในมือไม่ได้ตั้งตรง ปะทะกับอีกฝ่าย เกรงว่าจะเสียเปรียบ
ระยะ 20 ก้าว หลี่หรูป๋อนั่งตัวตรง มือขวายกขึ้น สะบัดไปด้านหน้า ยาสุ ซึเนะฮิสะคิดว่าตนได้เปรียบ คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้ ขุนพลเกราะทองวัวโค่วเองก็ตั้งท่าบนหลังม้ามั่น คิดจะหลบก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ได้แต่มองไปยังสิ่งที่หลี่หรูป๋อขว้างมา ใส่หน้าผากตนพอดิบพอดี…
สองฝ่ายล้วนมองเห็นขุนพลวัวโค่วเกราะทองคำผงะร่างไปด้านหลังอย่างแรง ทวนยาวในมือร่วงลงพื้น หมวกเกราะเขากวางบนหัวก็ร่วงลงพื้นแตกเป็นสองส่วน
ม้าสองตัวประสานกัน ม้าขุนพลวัวโค่ววิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด ยาสุ ซึเนะฮิสะร่วงจากหลังม้า หากอยู่ใกล้ก็คงได้เห็นว่าขุนพลวัวโค่วหน้าผากมีขวานสั้นปักอยู่
“คิดเล่นแบบนี้กับบิดารึ!!”
หลี่หรูป๋อหันหัวม้ามาทางหน้าขุนพลวัวโค่ว แสยะยิ้มกล่าวดัง ทันใดก็เห็นดาบสูงค่าประจำกายขุนพลวัวโค่ว ทวนยาวตวัดเกี่ยวดาบประจำกายหลุดออกมาแขวนไว้ที่อานม้าตน
กองกำลังหมิงกำลังร้องตะโกนบ้าคลั่งยินดี แต่ฝ่ายโจรวัวโค่วเงียบเป็นเป่าสาก หลี่หรูป๋อยามนี้สีหน้าแดงก่ำ ตื่นเต้นมาก ยกทวนยาวสะบัดสองสามที ทัพใหญ่กองกำลังหมิงก็ตะโกนร้องเชียร์ดัง ตอนที่เขาสะบัดทวนนั้น กองทหารม้าโจรวัวโค่วก็มีซามูไรออกมากันหลายคน ล้วนถือธนู ไม่ได้ขี่ม้า วิ่งเหยาะเข้ามาใกล้ เห็นว่าใกล้จะถึงตรงหน้าแล้ว
กองกำลังหมิงมีคนร้อนใจพากันโบกไม้โบกมือ แต่หลี่หรูป๋อเหมือนว่าไม่ทันรู้ตัว ยังคงเดินหน้าไปอย่างองอาจ…