องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1132 โต้ตอบกลางท้องพระโรง
“ขุนพลหลี่ซุ่นประจำเอโดะ[1] ขอเข้าเฝ้า~~~~”
ทหารรับใช้หน้าประตูตะโกนขานชื่อดังตามธรรมเนียม หวังทงพยักหน้า ไม่นาน ข้ารับใช้สองคนก็นำขุนพลอายุราวยี่สิบต้น ๆ เข้ามา มาถึงหน้าหวังทง ขุนพลผู้นี้ก็คุกเข่าถวายบังคม
“คนกันเองคุกเข่าทำไมกัน รีบลุกขึ้น เก้าอี้ๆ!”
มองเห็นขุนพลหลี่ซุ่น หวังทงที่มีสีหน้านิ่งมาตลอดก็เผยรอยยิ้ม สีหน้าล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ทหารรับใช้ไม่รู้สึกแปลกอันใด เตรียมเก้าอี้นั่งไว้ก่อนหน้าแล้ว
ทหารรับใช้ข้างกายหวังทงล้วนเป็นลูกหลานทหารกับลูกหลานคนชั้นสูง และยังมีลูกหลานรุ่นหลังของบรรดาขุนนางบุ๋นหลายสาย
นี่นับเป็นทางลัดเร็ว ผ่านเวลาไปประมาณหนึ่ง ก็จะได้ไปประจำกองทัพ ส่วนใหญ่ก็ล้วนได้ตำแหน่งรองแม่ทัพขึ้นไป หากไปประจำท้องที่ก็จะได้รับตำแหน่งผู้ช่วยส่วนกลางที่กุมอำนาจแท้จริงระดับหนึ่ง
ความจริงนั้นที่ลำบากยากทนได้จริงก็คืองานภารกิจแรกของทหารรับใช้เหล่านี้ กล่าวคือต้องไปเริ่มจากที่ต่างๆ ก่อนเช่น หากอยู่กองทัพก็ต้องสี่ปีเต็ม แนวหน้าก็หดเหลือสามปีได้ หากมีความชอบก็อาจเหลือสองปี ขุนนางบุ๋นหากไม่มีฮ่องเต้ให้การรับรองพระราชทานความชอบด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ประจำท้องที่ให้ครบห้าปี
ในนี้ก็มีตัวอย่างพิเศษ เช่นว่า ชายหนุ่มอายุน้อยที่มีความโดดเด่นและรับใช้มาพอสมควรแล้ว ก็จะได้รับแต่งตั้งให้ไปรับหน้าที่ในท้องที่ทะเลใต้กับประเทศวัว ระบบนี้เดิมตอนหวังทงยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้นั้นก็มีอยู่แล้ว ทหารกับพวกฝ่ายบุ๋นรอบกายหวังทงที่อายุน้อยเดิมจะเตรียมไว้เพื่อเป็นตัวแทนไปรองรับงานบุ๋นบู๊ในเครือข่าย
พวกเขาประจำตำแหน่งงานแรกได้ครบเวลา ทำงานได้ดี ได้คำวิจารณ์ดีก็จะได้ไปประจำตำแหน่งงานต่างๆ ในส่วนกลาง จากนั้นก็แต่งตั้งดำรงตำแหน่ง จากนั้นก็เลื่อนขั้นได้เร็วกว่าขุนนางหนุ่มคนอื่นที่มาจากเส้นทางสายอื่นมากนัก
มีเรื่องเล่ากันว่า ทหารรับใช้ที่เสร็จภารกิจรับใช้หวังทงแล้วมีคำวิจารณ์ง่ายๆ หากได้คำวิจารณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะได้ดำรงตำแหน่งในหน่วยภารกิจงานแรกทำงานไปก่อน แล้วค่อยสังเกตอีกรอบ อีกระยะหนึ่ง
อย่างไรระบบนี้ก็เพิ่งจัดตั้งเป็นทางการได้แค่ปีเดียว เมื่อก่อนก็แค่ธรรมเนียมเหลียวกั๋วกงกับบรรดาขุนนางชนชั้นสูงเท่านั้น
ตอนนี้บรรดาชายหนุ่มอายุน้อย ไม่น้อยล้วนดำรงสถานะเช่นนี้ข้างกายหวังทง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรับรู้ร่วมกัน
แต่ชายหนุ่มที่สามารถเป็นที่พอพระทัยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้นี้มีไม่มากนัก และชายหนุ่มผู้นี้แต่ไรไม่เคยทำงานรับใช้ข้างกายหวังทงมาก่อน เป็นเพียงพลทวนยาวธรรมดานายหนึ่งที่ค่อย ๆ ได้รับการส่งเสริมขึ้นมา ใช้เวลาหกปีในการดำรงตำแหน่งจากพลทหารมาเป็นขุนพลประจำภาค นับเป็นตัวอย่างแรกในยุคสมัยนี้
ชายหนุ่มผู้นี้ชื่อว่าหลี่ซุ่น มีความสามารถแท้จริง ตอนประจำอยู่ที่เอโดะ ในเมืองยังคงมีคนที่หลงเหลือของโทกูงาวะ แต่เขาพบก่อน จึงได้ส่งคนเร่งไปรายงานกองกำลังประจำเอโดะ ยังรวมกำลังเพื่อนทหารสิบกว่านาย ผู้คุ้มกันรานสามธาราสามสิบกว่านาย ป้องกันประตูตะวันตกของเอโดะ ต้านทานการโจมตีของคนราวสมพันคน
พวกโทกูงาวะที่เหลือหลายร้อยเป็นซามูไรตัวจริง ยังมีปืนใหญ่วัวโค่วหลายสิบ กำลังเช่นนี้ไม่อาจไม่เรียกว่าไม่เข้มแข็ง นอกเมืองยังคงมีชาวนานับหมื่นถูกปลุกให้ลุกฮือ พอประตูเมืองเปิดออก สถานการณ์ก็พังทลายทันที ตอนนั้นชื่อเสียงหวังทงบนแผ่นดินหมิงเรียกว่าราวอาทิตย์กลางนภา เรื่องใหญ่ดำเนินอยู่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดความเสียหายได้ หลี่ซุ่นผู้นี้ดิ้นรนกว่าสองชั่วยาม มีแต่เพื่อนสองคนรอดมาได้
แต่จากนั้นทหารในเมืองก็ถูกระดมมารวมกัน ทหารนอกประตูตะวันออกก็มาถึง พวกก่อการถูกปราบปราม สถานการณ์สงบ
หลี่ซุ่นสร้างความชอบใหญ่ ‘ปราบกบฏเอโดะปีรัชสมัยไท่ชาง’ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความดีความชอบของเขา แต่ทว่า พูดให้ถูกก็คือ ความดีความชอบใหญ่นี้ไม่อาจให้ดำรงตำแหน่งขุนพลในเวลาแค่ไม่ถึงหกปีได้ เพราะเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของอ๋องหลูหลี่หู่โถว สำหรับบรรดาศักดิ์ขุนนางชนชั้นสูงก็ทำตามธรรมเนียมหมิง ตำแหน่งอ๋องระดับสูงแต่งตั้งหลังสิ้นชีวิต ไม่แต่งตั้งผู้ยังคงมีชีวิต
เดิมหวังทงคิดว่าหลี่หู่โถวไม่มีลูก ต่อมาสื่อชีส่งคนไปตรวจสอบ จึงได้พบว่าหลี่หู่โถวแม้ไม่ได้แต่งงาน แต่ก็เคยมีสัมพันธ์กับบุตรสาวพ่อค้าในพื้นที่ และรับปากจะแต่งงานเป็นภรรยารอง แต่หลี่หู่โถวเกิดเรื่องเสียก่อน สตรีผู้นั้นก็ป่วยจากไป ครอบครัวนั้นกลัวถูกอาญาไปด้วยจึงได้แต่ปิดบังชื่อแซ่และเลี้ยงดูหลี่ซุ่น และยังส่งให้เขาไปเป็นพลหทารกองกำลังหลวง
และก็บังเอิญว่า ตอนตามตรวจสอบประวัติหลี่ซุ่น หลี่ซุ่นพอดีได้สร้างความชอบใหญ่ที่เอโดะ จึงได้ค่อยๆ ได้รับการส่งเสริมขึ้นมาตามระบบ
“ขุนพลนอกเมืองเข้าเมืองหลวง ปฏิบัติหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่เช่นนี้อาจถูกวิจารณ์ว่า ไม่ขยัน ดังนั้นมาปฏิบัติหน้าที่เมืองหลวง อาหารเช้าล้วนไม่อาจได้กินกัน เจ้ายังไม่ได้กินใช่ไหม?”
ทหารรับใช้ก้มหน้าก้มตา แต่ทว่าก็มีหลายคนอดไม่ได้มองหน้ากัน ในใจคิดว่าฮ่องเต้ต้าหัวเข้มงวดกับโอรสธิดาตนเองมาก แต่กับนายน้อยผู้นี้กลับสนิทสนมห่วงใยเช่นนี้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้ทานอาหารเช้า”
“เจ้าตอนนี้ร่ายกายกำลังยืดตัว ไม่กินข้าวได้อย่างไร ให้ห้องเครื่องนำอาหารมา”
คนรับใช้หนึ่งพยักหน้ารับคำ กำลังจะออกไปก็ถูกหวังทงเรียกไว้ หวังทงตบหน้าผากยิ้มกล่าวว่า
“ให้ห้องเครื่องปรุงถั่วตากแห้งตุ๋นเนื้อมาหน่อย ใช้ไฟแรง ทำแบบน้ำแดง”
คนรับใช้รอรับคำสั่งพากันอึ้งไป เหตุใดฝ่าบาทระดับนี้ตรัสถึงเรื่องการทำอาหารได้เช่นนี้ หรือว่าตนเองฟังผิด แต่ทว่าปฏิกิริยาก็รวดเร็ว รีบวิ่งออกไปทันที
หลี่ซุ่นเป็นตำนานขุนนางบู๊หนึ่ง ยังมีประวัติชาติกำเนิดประกอบด้วย ยิ่งเป็นที่เฝ้าจับตามองของทุกคน หวังทงพบเขาทั้งหมดสองครั้ง วันนี้เป็นครั้งที่สอง ทหารรับใช้ข้างกายแม้เคยได้ยินมาบ้าง แต่วันนี้ได้เห็นกับตาก็ยังรู้สึกได้ว่าหลี่ซุ่นได้รับพระเมตตามากจริง ๆ
ต่อหน้าหวังทง หลี่ซุ่นวางตัวเคร่งและระมัดระวังกิริยา ท่าทีหวังทงเองกลับสนิทสนมเป็นกันเอง เขาก็ยิ่งไม่อาจวางตัวตามสบาย ได้ยินกล่าวเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นขอบพระทัย
ตอนกล่าวนั้น หวังทงเอาแต่มองสังเกตหลี่ซุ่น เห็นเขาลุกขึ้นขอบพระทัย ก็โบกมือยิ้ม กล่าวว่า
“บิดาเจ้า ตอนนั้นชอบอาหารจานนี้ที่สุด ข้าวชามโตกินรวดเดียวสามชาม ยังต้องให้ข้าทำ….”
พูดถึงตรงนี้ หวังทงก็ยกมือตบหน้าผาก เงียบลง บรรยากาศเริ่มนิ่งเงียบ เสิ่นอันกำลังจะเข้าปลอบ หวังทงก็กระแอมในลำคอเปลี่ยนบทสนทนา กล่าวว่า
“ครั้งนี้ให้เจ้ากลับมารายงสาน ก็เพื่อต้องการฟังเรื่องที่เจ้ารายงานมาในฎีกา จดหมายส่งไปมากล่าวไม่หมด เจ้าเล่ามาหน่อย!”
สนทนาเรื่องการงาน หลี่ซุ่นแน่นอนรับคำ รีบลุกขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ประเทศวัวแม้ว่าสู้รบหลายปี แต่ก็มีขนาดแค่มณฑลใหญ่ราวสองมณฑลของเรา คนก็ราวล้าน ทัพเราตั้งที่ประเทศวัวรวมห้าหมื่น แบ่งประจำที่ต่างๆ ทัพเรายังคงเป็นกองกำลังแข็งแกร่ง ชาวประเทศวัวอ่อนแอ ตอนนี้ดูแล้วสงบสุขมากไร้กังวล แต่หากยังไม่ใช่แผนระยะไกล หากยังต้องเพิ่มทหาร เพิ่มงบประมาณลงไปอีก ให้เรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายหรือให้ประเทศวัวรับผิดชอบ ระยะสั้นยังพอได้ แต่ระยะยาวแล้ว นับเป็นผลเสีย”
การคุยกันในวังวันนี้ เกือบทั้งหมดเป็นการวางนโยบายของต้าหัวต่อประเทศวัว แน่นอน ต่อจากนี้จะเรียกประเทศวัวว่ามณฑลไห่ตง มณฑลไห่ตงมีแปดเมือง ต่อมากลายเป็นสิบสามเมือง รวมแล้ว 66 อำเภอ ยังมีอีกสี่เขตปกครอง
ร้อยปีแรก แต่ละเมืองเข้าออกก็เหมือนกับมาจากต่างแผ่นดิน ตรวจสอบเข้มงวด มีแต่พ่อค้าต้าหัวเท่านั้นที่จะได้เข้าออกได้สะดวก ปีรัชสมัยต้าหัวที่สามเริ่มให้ชาวประเทศวัวเข้ามาเป็นทหาร แต่ทว่าทหารชาวประเทศวัวไม่ให้มีปืน ให้แต่ชายหนุ่มที่มีกิจการประจำพื้นที่อาศัยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติมาเป็น และต้องมีพี่น้องรับประกัน ต้องรู้ภาษาฮั่น
กองกำลังที่เป็นทหารชาวประเทศวัวนี้เรียกว่าหน่วยกำลังรักษาความสงบ คนในพื้นที่ไม่อาจเป็นทหารประจำในพื้นที่ และจะถูกส่งไปยังที่ตนเป็นปรปักษ์ต่อกัน เพื่อประจำรักษาความสงบ
ตอนที่ยังไม่มีหวังทง สำหรับประเทศวัวแล้ว ‘ญี่ปุ่น’ คำนี้ยังคงเป็นแค่นิยาม คนแต่ละพื้นที่รู้แค่ตนเองเป็นคนพื้นที่นี้ แต่ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นคืออะไร โทโยโตมิ ฮิเดโยชิรวมรวมประเทศวัวเป็นเวลาสั้นมาก ยังไม่ได้รวมแต่ละพื้นที่ให้เป็นหนึ่งได้ การเข้ามาแบ่งแยกเขตแดนชัดเจนนี้ ทำให้ประเทศวัวแต่ละแห่งไม่อาจรวมกำลังเป็นหนึ่งได้อีก
การเลื่อนตำแหน่งของหน่วยกำลังรักษาความสงบแม้แต่ชาวประเทศวัวเองล้วนชื่นชม ขอเพียงสะสมความดีความชอบได้ระดับ ก็จะได้เลื่อนขั้นทันที แต่ไม่อาจอยู่ประจำในกองตนเองอีก ต้องถูกส่งไปประจำที่อื่น หากได้รับการเลื่อนสองครั้งแล้ว และพูดภาษาฮั่นได้เหมือนชาวฮั่นก็จะได้ย้ายไปแผ่นดินต้าหัว ประจำที่หน่วยเจี้ยนโจวไม่ก็ไห่ซี ที่นั่นไม่ถูกมองว่าเป็นชาวประเทศวัว แต่มองเสมือนว่าเป็นชาวฮั่น
หากยินยอม คนผู้นี้สามารถนำพาครอบครัวไปเจี้ยนโจวหรือไม่ก็ไห่ซีได้ด้วย ที่นั่นจะได้รับจัดสรรพื้นที่ให้ผืนหนึ่ง หากไม่อยากไป เขาก็จะได้ดำรงสถานะขุนนางบุ๋นส่งไปประจำแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศวัว
ในภาพรวมแล้ว ต้าหัวยังคงควบคุมประเทศวัวไว้อยู่ คุมเกาะคิวชูมากสุด หนึ่ง เพราะได้รับการช่วยเหลือจากทัพเรือกับพ่อค้าทะเล สอง ได้รับความช่วยเหลือจากตระกลูชิมัสสึ บนเกาะฮอนชู เมืองโอซาก้ากับเมืองเอโดะคุมได้ไม่เลว เพราะสองแห่งนี้ล้วนเป็นเมืองท่าทะเล มีกองกำลังประจำการ
การจะทำให้ประเทศวัวอีกร้อยปีจากนี้ได้กลายเป็นมณฑลไห่ตงจริง นโยบายไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หากยังมีเรื่อง ‘พูดภาษาฮั่น เขียนอักษรฮั่น แต่งกายแบบฮั่น ทำตามธรรมเนียมฮั่น หลอมกลายเป็นชาวจีนฮั่น’ อีก
เดิมชาวประเทศวัวเองก็ค่อนข้างชื่นชมยกย่องอารยธรรมฮั่นอยู่แล้ว จึงไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้เท่าไร ชาวบ้านแม้ว่าโหดเหี้ยมดุดัน มักชอบอะไรที่สุดโต่ง แต่กับผู้แข็งแกร่งกว่าแล้วก็ย่อมศิโรราบให้ราบคาบ ดำเนินนโยบายนี้ไปอีกสามสิบปี ประเทศวัวก็จะมีประชากรหนึ่งในสี่ได้มาตรฐานนี้ และส่วนใหญ่เป็นระดับพ่อค้าใหญ่ ขุนนาง พระสงฆ์ กับซามูไรเดิม ระดับชั้นประชาชนนี้เป็นระดับสูง ในตอนนี้เริ่มมีคนเสนอให้ประเทศวัวเปลี่ยนเป็นมณฑลไห่ตง
“มองโกล เผ่าหนี่ว์เจิน เกาหลี ประเทศวัว นอกจากภาษาต่างกันแล้ว หน้าตาก็ล้วนเหมือนกับราษฎรฮั่นเรา น่าเป็นราษฎรฮั่นเราที่ร่อนเร่ออกไปแต่สมัยโบราณกาลมา ราษฎรเช่นนี้พอรวมตัวกันได้แล้ว ก็คือชาวฮั่น สิบปี ห้าสิบปี ร้อยปีจากนี้ ล้วนเป็นลูกหลานชาวฮั่นเรา สำหรับพวกต่างชาติตาสีฟ้าจมูกโด่งผิวขาวพวกนั้น ไม่ใช่เผ่าเดียวกับเรา ระยะยาวมองแล้ว จะต้องกำจัดทิ้ง”
คำกล่าวหวังทงระหว่างสนทนานี้ ในวันหน้ายาวไกลจากนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขุนนางและชนชั้นสูงของต้าหัวเท่านั้นที่จะได้อ่าน และต้องอ่าน
…………………………………………………..
[1] ชื่อเดิมของโตเกียว ฐานแห่งอำนาจรัฐบาลเอโดะที่ปกครองญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1603 ถึง 1868