องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1133 ความเป็นมาและอดีตที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 แผ่นดินหมิงออกศึก มาจนถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 22 จบศึกใหญ่ แม้ประเทศวัวยังคงไม่สิ้นสงคราม แต่เกาหลีสงบอย่างแท้จริงแล้ว
พระราชาซอนโจเกาหลีและคณะตอนเดินทางไปยังเมืองโซอุล ระหว่างทางถูก ‘โจรวัวโค่วที่หลงเหลือ’ เข้าโจมตี กองกำลังหมิงในพื้นที่ ‘ช่วยไม่ทัน’ ทำให้ขบวนพระราชาซอนโจบาดเจ็บล้มตายมาก เชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ล้วนบาดเจ็บล้มตายสิ้น
เหมือนเป็นสัญญาณ เกาหลีสงบได้ไม่นาน ก็เกิดจลาจลทั่วทุกพื้นที่ พวกขุนนางเกาหลีที่หลงเหลืออยู่อีกหลายคนกับบรรดาผู้กล้าที่ร่วมต่อต้านโจรวัวโค่ว บ้างก็ถูกโจรวัวโค่วกำจัด บ้างก็ถูก ‘พวกโจรเผ่าหนี่ว์เจิน’ โจมตี ล้วนบาดเจ็บล้มตายมากมาย
ฮ่องเต้ว่านลี่ ‘ทรงกริ้วหนัก’ ครั้งนี้ขุนนางบุ๋นสวีกว่างกั๋วถูกลงโทษริบเบี้ยหวัดครึ่งปี เหลียวกั๋วกงหวังทงถูกลงโทษริบเบี้ยหวัดสามเดือน ขณะเดียวกันยังมีคำสั่งให้สามกองกำลังเหลียวหนิงเข้าควบคุมสถานการณ์
พวกชนชั้นสูงเกาหลีหลายคนที่ยังอยู่ในเมืองหลวงรู้ว่าสถานการณ์ยากลำบาก อาศัยเกาหลีเองตอนนี้ไม่อาจคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นจึงร่วมลงชื่อขอเป็นเมืองใต้การปกครองหมิง
คณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองถกเถียงกันอยู่หลายวัน มีขุนนางถวายฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงลังเลอยู่ไปมา พวกชนชั้นสูงเกาหลีในเมืองพากันมาโขกศีรษะร้องไห้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงเดือนกว่า ในที่สุดฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีราชโองการให้รับเกาหลีเป็นเมืองในปกครอง ตั้งเป็นแปดเมืองใหญ่ระดับฝู่และสองเมืองเล็กระดับโจว ให้ราชสำนักส่งทหารไปประจำการ ส่งขุนนางไปดูแล
เกาหลีอยู่ใต้การปกครองเหลียวหนิง ตั้งกรมเกาหลีประจำเหลียวหนิง ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนดูแล ตอนนี้ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนคุมพื้นที่เท่ากับมณฑลใหญ่หนึ่งแล้ว สถานะสูงสุดในบรรดาสามผู้บัญชาการเหลียวหนิง ราชสำนักกำลังหารือว่าจะเพิ่มชื่อตำแหน่งให้ผู้บัญชาการเหลียวหนาน
ก่อนหน้าหวังทงขึ้นครองราชย์สิบปี เกาหลีก็สงบแล้ว แต่ทว่ายังมีเกาหลีเผ่าเก่า ๆ ยังคงไม่ยอม กล่าวว่าทุกคนในเกาหลีจงรักภักดีที่สุด เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียบร้อยที่สุด เหตุใดส่วนกลางจึงไม่ได้ดีกับเกาหลีเหมือนประเทศวัว ทำไมความใกล้ชิดเหินห่างจึงกลับตาลปัตรได้
เด็กน้อยร้องไห้เป็นย่อมมีนมกิน นี่เป็นเรื่องจริง และเกาหลีกับเหลียวหนิงติดกัน หากมีเรื่องทัพใหญ่ย่อมมาทันท่วงที ประเทศวัวมีทะเลคั่นกลาง แน่นอนไม่เหมือนกัน
ดังนั้นประชาชนประเทศวัวกลายเป็นฮั่นได้อภิสิทธิ์เทียบเท่าชาวฮั่น เกาหลีย่อมต่ำกว่าหนึ่งระดับ ยังคงให้ระบุว่าชื่อว่าเป็นเกาหลี นโยบายนี้ดำเนินมานานแล้ว
เมืองกุยฮว่าเฉิง เจี้ยนโจว ฮามี่ (ซินเจียง) และที่อื่นๆ ล้วนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นดินแดนในอาณัติแผ่นดินหมิงมานานแล้ว พวกมองโกลตั้งแต่สมัยหมิงไท่จู่และหมิงเฉิงจู่มาก็มีคนไม่น้อยมารับใช้แผ่นดินหมิง ทุกคนล้วนไม่เห็นพวกเขาเป็นคนนอก พวกเขาเองก็เช่นกัน แต่เกาหลีกับประเทศวัวเป็นดินแดนครอบครองใหม่ ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 22 มาจนถึงปีรัชสมัยต้าหัว ทุกคนในแผ่นดินล้วนมีความเห็นต่าง กล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ย่อมเอ่ยถึงอีกเรื่อง
แน่นอน ประเทศวัวกับเกาหลีเทียบกับชะตาชีวิตชาวพื้นเมืองทะเลใต้แล้วยังดีกว่ามาก หากเจ้าเห็นแต่เอกสารราชสำนัก ถึงกับอาจคิดผิดทางไปได้ว่าทะเลใต้มีแต่ชาวฮั่น ไม่มีชาวชาติอื่น
……
วันนี้หวังทงเรียกหลี่ซุ่นเข้าเฝ้า ถามถึงนโยบายต่อประเทศวัว ทหารรับใช้เบื้องหน้ายากจะไม่แอบวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขารู้เห็นงานบ้านงานเมืองมาไม่น้อย มีความคิดและความเห็นของตนเองก็เป็นปกติ
หวังทงเมตตาต่อหลี่ซุ่นมากจนทำให้ทุกคนต้องมองตาค้าง ตอนกินอาหารเช้า อาหารกลางวันและอาหารเย็นก็กินร่วมกัน แม้ว่าตอนนี้ในวังธรรมเนียมไม่มาก ฮ่องเต้มักเสวยร่วมเลี้ยงกับบรรดาขุนนาง แต่เลี้ยงตัวต่อตัวเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก
เด็กหนุ่มหลายตระกูลมาอยู่ข้างพระวรกายโอรสสวรรค์ หนึ่งเพื่อเรียนรู้ รับการอบรม อีกหนึ่งก็มีหน้าที่ส่งข่าวให้ตระกูลตน ตามธรรมเนียม ทหารรับใช้หวังทงมี 32 คน แต่ละคนมีหน้าที่ บ้างก็เป็นเลขาทำงานเอกสาร บ้างก็มีหน้าที่ถืออาวุธคุ้มกัน ยังมีบางคนมีหน้าที่จัดการทั่วไป
พวกที่สามารถส่งลูกหลานมาทำหน้าที่นี้ได้ ล้วนเป็นตระกูลมากอำนาจวาสนา ล้วนเป็นบุคคลระดับแนวหน้า แน่นอนต้องการรู้เรื่องทุกเรื่องที่เกิดในวังให้หมด ตระกูลตนจะได้วิเคราะห์และยืนถูกข้าง
เรื่องวันนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด เล่า ๆ ไปก็พอ หลังทหารรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้หวังทงเสร็จงานในหนึ่งวัน ก็ไม่รีบกลับบ้าน พวกเขาเป็นลูกหลานพวกอำนาจวาสนา เงินทองไม่น้อย ใช้จ่ายมือเติบ ก็จะไปยังหอสุราร้านอาหารกินอาหารเย็นกันก่อน ทหารรับใช้ข้างกายโอรสสวรรค์กินข้าว ก็ย่อมมุ่งไปที่หอรุ่งเรืองกับหอเลิศรส สองร้านนี้ล้วนเป็นร้านหรูหราอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เหนือใต้ออกตกล้วนมีร้านสาขา
ทหารรับใช้ที่มีหน้าที่จัดการทั่วไปสองคนปกติสนิทกัน ไปยังหอรุ่งเรืองทางเขตปัจจิมด้วยกัน อย่าเห็นว่ามีหน้าที่จัดการทั่วไป เพราะการมีหน้าที่นี้ได้ในเมืองหลวง ได้อยู่ข้างกายหวังทงได้นั้น ล้วนเป็นระดับผู้กล้า ตระกูลดี ล้วนมีชื่อเสียงไม่ธรรมดา
คนงานในร้านอาหารล้วนตาแหลมคม จดจำคนได้แม่นยำ เห็นนายน้อยสองคนนี้มาถึง ก็รีบเข้าไปประจบเอาใจทันที
สองคนนี้เห็นเรื่องเช่นนี้จนชินแล้ว ติดตามข้างกายหวังทงมานาน ก็รู้ว่าควรวางตัวสงบเสงี่ยม หามุมเงียบ ๆ นั่งกัน สั่งอาหารสองสามอย่าง พร้อมสุราอุ่น ทหารรับใช้ข้างกายหวังทงมีครึ่งหนึ่งประจำ อีกครั้งผลัดเวร สองคนนี้พรุ่งนี้ได้พัก ดังนั้นจึงดื่มสุรา
ไล่คนงานร้านออกไปแล้ว สองคนนั่งตรงข้ามกัน แม้กล่าวกันเบาๆ แต่เพราะสนิทกัน และยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม ในห้องเงียบส่วนตัว มีบางวาจาจึงกล่าวมากกว่าปกติ
“เจ้าดูเจ้าหลี่ซุ่น อายุน้อยกว่าพวกเรา ตอนนี้เป็นขุนพลทหารใหญ่แล้ว พวกเราออกไปก็เป็นได้แค่นายกองพัน คนด้วยกันแต่เทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ!”
“เจ้าสมองพังไปแล้วหรือไง เทียบกับเขา แม้เขาไม่ได้สร้างความชอบในประเทศวัว สถานะหลูกั๋วกง เจ้าเทียบได้หรือไง ไม่เคยได้ยินหรือ เขาตอนใกล้สามสิบได้บรรดาศักดิ์ ตอนสามสิบก็น่าจะมีตำแหน่งขุนพลแล้ว”
สองคนชนแก้ว ล้วนทอดถอนใจ ระบบรัชสมัยต้าหัวนี้ยังตามแบบสมัยหมิง แต่ขุนพลประจำกองกำลังที่ต่าง ๆ กลับไม่เหมือนเมื่อก่อน ชายแดนสำคัญมีตำแหน่งขุนพลและให้มีชื่อเมืองประจำไว้หน้าตำแหน่ง เช่น ซีอาน ต้าถง มีอำนาจตัดสินทางการทหาร
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นนี้ หนึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบที่เริ่มในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 การป้องกันเมืองชายแดนค่อย ๆ ส่งมอบให้กองกำลังหลวงดูแล ผู้บัญชาการท้องที่คุมกำลังทหารให้ลดน้อยลงมากที่สุด สองเป็นการรับบทเรียนจากระบบขุนนางบุ๋นคุมทหารจากรัชกาลก่อน จึงต้องป้องกันไม่ให้ขุนนางบุ๋นคุมทหารอย่างไม่รู้ว่าควรสั่งการเช่นไร ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพดีขึ้น
ธรรมเนียมขันทีคุมกำลังก็ถูกยกเลิกไป ขุนพลทหารทุกคนล้วนมีรองหลายคน ในนั้นมีหนึ่งรองจากนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร และยังไม่ให้เป็นลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรในท้องที่ ต้องเป็นที่ส่งไปจากเมืองหลวง และยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวาระ ในกองกำลังยังมีกององครักษ์เสื้อแพร เรื่องนี้ความจริงก็คือเพื่อทดแทนการควบคุมตรวจสอบกองกำลังของเมื่อก่อน
ขุนพลตอนนี้กับผู้บัญชาการเมื่อก่อนไม่เหมือนกัน ตอนนี้ต้าหัวอู่ทั้งหมดมีสิบขุนพล นอกจากเมืองสำคัญและเมืองหลวงแล้ว ที่อื่นล้วนรับหน้าที่ดูแลออกไปทิศทางเดียว บุกเบิกพื้นที่ ตัดหัวสังหารศัตรู นี่เป็นเกียรติยศของขุนนางบู๊แต่ละคนล้วนอิจฉากันอย่างมาก
หลายจอกลงท้องไปแล้ว วาจาก็เริ่มมาก คนหนึ่งกล่าวว่า
“คนเรานี้ขึ้นกับโชคชะตา ไม่เพียงแต่ขึ้นกับตนเอง ยังขึ้นกับบิดาตนเอง บิดาข้าน้อยเองก็โชคดีที่ได้ร่วมฝึกมาพร้อมกับฝ่าบาทที่ลานฝึกหู่เวย เจ้าว่าเขาตอนนั้นหากติดตามฝ่าบาทกับอ๋องหลูจะดีสักเพียงใด กลับไปติดตามฉินกั๋วกงไล่ทำร้ายเสียได้ เจ้าว่าไง?”
“ก็เห็นๆ กันอยู่ ก็เห็นๆ กันอยู่ๆ อย่างไรบิดาเจ้าก็ร่วมจากลานฝึกหู่เวยมาด้วยกัน บิดาข้าสิ ตอนนั้นยังไม่มีวาสนานี้เลย หากไม่ใช่ว่าติดตามผู้บัญชาการจางเหล่า[1]มาแต่ต้น ก็คงไม่มีวันนี้หรอก!”
ผู้มาจากลานฝึกหู่เวย ตอนนี้บนแผ่นดินต้าหัวล้วนได้เป็นดังป้ายทองคำส่องประกาย เด็กหนุ่มที่ได้รับเลือกเข้าฝึกในตอนนั้น ตอนนั้นยังคิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมฝึกกับฮ่องเต้ว่านลี่ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าตอนฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาไม่ได้รับการส่งเสริมด้วยเรื่องพวกนี้ แน่นอนยิ่งคิดไม่ถึงว่า อำนาจวาสนาพวกเขามาได้เพราะหวังทง
พวกเคยอยู่ลานฝึกหู่เวย ปฏิบัติงานในกองกำลังหลวง แค่อย่ายืนผิดข้าง ไม่ต้องพูดถึงกั๋วกง ที่เหลือน้อยสุดก็เป็นถึงป๋อ แม้ยืนผิดข้างก็ยังได้ตำแหน่งขุนนางระดับสาม ครอบครัวยังได้สิทธิเว้นภาษี
นอกจากพวกจากลานฝึกหู่เวย ยังมี ‘องครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณ’ ‘เทียนจินคนสนิทเดิม’ ‘กองกำลังหู่เวยเดิม’ ต่างๆ พวกนี้ล้วนมากอำนาจวาสนา ตอนนั้นพวกที่มองแล้วไม่เข้าตาพวกนั้น แต่ละคนตอนนี้ล้วนรุ่งเรือง
‘ผู้บัญชาการเหล่าจาง’ ที่เรียกกันก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจางซื่อเฉียงในตอนนี้ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ก็เป็นถึงไห่กั๋วกง เป็นขุนนางใหญ่ทหารคนสนิทหวังทงอันดับหนึ่ง อายุ 70 กว่าแล้ว ยังคุมอำนาจระดับสูง
นอกจากนี้ ชื่อลานฝึกหู่เวยตอนนี้ก็คือโรงฝึกสอนยุทธหู่เวย ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวง ทั้งปีนักเรียนราวพันกว่า มาจากหนุ่มน้อยอุดมการณ์ไกลจากแต่ละพื้นที่ ตอนนี้หากคิดไปดำรงตำแหน่งทหารระดับกลางขึ้นไปแล้วล่ะก็ ก็จะต้องผ่านการเรียนรู้จากโรงฝึกสอนยุทธหู่เวย ขุนพลหลายคนล้วนต้องผ่านการเรียนรู้จากที่นี่ โอรสสวรรค์จะมาทุกห้าวัน รัชทายาทเจ็ดวันมาครั้ง เป็นปกติเช่นนี้
“ตอนนั้นหากยืนอยู่ข้างเดียวกันสู้แล้วเป็นไง จะมาถึงวันนี้ได้หรือไม่ก็พูดยากมาก หลี่หู่โถวนั่นปะไร ไม่ใช่ถูกแทงข้างหลังดาบหนึ่งหรือไง…”
“เรื่องพวกนี้พูดน้อยหน่อยดีกว่า…”
คนพูดนั่นดูท่าดื่มมากไปแล้ว ได้ยินก็โบกมือไปมา ยังคงกล่าวไม่ยี่หระว่า
“เรื่องพวกนี้ล้วนมีเอกสารทางการออกมาแล้ว มีอันใดกล่าวไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ คนผู้นั้นก็กดเสียงให้เบาลงก่อนจะทำท่าทางเหมือนเป็นความลับ เขยิบเข้าใกล้กระซิบว่า
“เหล่าชิว ข้าบอกอะไรเจ้าให้นะ เรื่องเช่นนี้ข้าเคยฟังคนเล่ามา ตอนนั้นไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งคนไปถามหลี่หู่โถวแล้ว ว่ากันว่าฝ่าบาทเองก็ส่งคนไปถามเช่นกัน”
“…เจ้านี่นะ ดื่มเหล้าทีไรปากราวไร้หูรูด เจ้าเมาแล้วๆ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวก็ไปถึงมือหวังทง แสดงให้เห็นว่าคืนวานในร้านสุรามีทหารรับใช้เขาสองคนคุยกัน หวังทงอ่านแล้วก็ลงคำสั่งไปสองประโยคว่า ‘แค่หลุดวาจายามเมา ไม่ต้องสนใจ’
ตอนปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 31 เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นที่ยังเหลือสมคบคิดกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธก่อการ หลี่หู่โถวนำกำลังไปปราบปราม ทุกอย่างล้วนราบรื่นอย่างมาก ปราบศัตรูสิ้นซาก ตอนเข้าปะทะ หลี่หู่โถวบาดเจ็บหนักเสียชีวิต
แผ่นดินหมิงหลังปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 5 ออกศึกนอกแผ่นดินยังไม่เคยมีขุนพลทหารระดับสูงสละชีพ แต่ทว่าก็มีข่าวแพร่มาอย่างรวดเร็ว หลี่หู่โถวถึงแก่อาสัญนี้มีเบื้องหลัง
เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง…
……………………………………………
[1] เรียกขาน จางซื่อเฉียง ด้วยความเคารพ