องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1134 บันทึกบาทหลวงเผยแผ่ศาสนา
เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 31 จงหย่งโหวแห่งกองกำลังหลวง หัวหน้ากองกำลังหู่เวยหลี่หู่โถวตายบนสนามรบนอกด่าน เรื่องนี้สะเทือนทั่วหล้า ส่งผลไม่ใช่น้อย ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ใต้หล้าครั้งใหญ่
ตอนนั้นกับตอนนี้ คนมากมายเขียนบันทึกตนเองไว้ไม่เป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องไกลความจริงมากจากการเดา ส่วนใหญ่ไม่จริงก็เท็จ ข่าวแพร่ออกมา
ปีรัชสมัยไท่ชางที่ 4 มีบาทหลวงโปรตุเกสกำลังจากเทียนจินไป องครักษ์เสื้อแพรตอนตรวจค้น พบสมุดเล่มหนึ่ง แม้เป็นภาษาโปรตุเกส แต่ที่เทียนจิน ภาษาใดไม่ใช่ปัญหา มีคนแปลเนื้อหาทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว
สมุดนี้บรรยายเรื่องการเมืองลับต่าง ๆ ของแผ่นดินหมิงไว้มากมาย หลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่ บาทหลวงเผยแผ่ศาสนาถูกลงโทษหนัก ถูกส่งไปลูซอนใช้แรงงานตลอดชีวิต
แต่การรักษาความลับองครักษ์เสื้อแพรเองก็ช่างแย่มาก สมุดบันทึกนี้ถูกแปลเนื้อหาออกไปยังท้องตลาด ร้านพิมพ์หนังสือต่างก็เห็นโอกาสทางการค้า พิมพ์ออกมาขายจำนวนมาก ทำรายได้ร่ำรวย รอให้ทางการรู้ตัวเรื่องนี้ หนังสือนี้ก็กลายเป็นหนังสือต้องห้าม แต่ฉบับพิมพ์ต่าง ๆ ได้แพร่ไปทั่วแต่ละแห่งบนแผ่นดินหมิงแล้ว ถึงกับแม้แต่ทะเลใต้ ทางเหนือ ล้วนมีร่องรอยปรากฏหนังสือนี้ และจากการตรวจสอบเรื่องต้องห้ามของทางการเองพิสูจน์ว่าในสมุดบันทึกเรื่องราวเป็นจริง เรื่องนี้มีเหตุผลหรือไม่ไม่ไปพูดถึง แต่ชาวบ้านล้วนวิเคราะห์กันเช่นนี้
คนรับใช้สองคนวิพากษ์วิจารณ์ในหอสุรา เนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนมาจากสมุดบันทึกเล่มนี้ ไม่ก็ฉบับแปลของสมุดบันทึกเล่มนี้
รอจนหวังทงขึ้นครองราชย์แล้ว การห้ามหนังสือนี้ก็มิได้มีอีก การตามหาความลับเรื่องนี้ในหมู่ชาวบ้านก็เริ่มเลือนหายไปเอง ในที่สุดก็มีคำอธิบายว่า สมุดนี้ไม่ใช่บาทหลวงโปรตุเกสเขียน แต่เป็นฮ่องเต้ต้าหัวจงใจปล่อยออกมาเอง เพราะเนื้อหาในนั้นไม่ใช่เรื่องที่บาทหลวงคนหนึ่งจะรู้ได้ ในขุนนางระดับสูงเองก็มีชาวผิวขาวสองคน
ยิ่งมีคนกล่าวว่า มีคนเคยไปลูซอนได้เห็นบาทหลวงผู้นี้ แต่ทว่าคนผู้นี้เป็นพ่อค้าใหญ่อยู่ลูซอน รับหน้าที่ค้าขายสินค้าพิเศษหลายอย่าง แน่นอนผู้ใดก็ไม่ไปค้นหาความจริงในเรื่องนี้
“…รัชทายาทจูฉางสวินอยู่ในยุคที่เป็นรัชทายาทไม่เหมือนยุคอื่นในแผ่นดินหมิง เรื่องนี้แพร่ออกไปภายนอกอย่างเกินความจริงมาก ทรัพย์สินเงินทองมากมายกองโต ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก ขุนนางบุ๋นไม่อาจสร้างผลกระทบมากนักต่อราชวงศ์ ระบบการทหารกับการเงินเริ่มก่อร่างขึ้นใหม่ภายใต้แนวคิดอันชาญฉลาดของหวังทง ไม่เพียงแต่ได้รับผลสำเร็จใหญ่ แต่ยังได้เป็นเสาหลักแห่งอำนาจฮ่องเต้ที่มั่นคงที่สุด”
หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 25 กรมอากรมีอิทธิพลต่อการเงินการคลังแผ่นดินหมิงนับวันยิ่งน้อยลง ต้องรู้ว่าเมื่อก่อนกรมอากรเคยปฏิเสธภาษีอื่นนอกจากภาษีที่ดินกับภาษีเกลือเข้าคลัง ตอนนั้นทำเช่นนั้นก็เพื่อให้กิจการขุนนางบุ๋นไม่ต้องเสียภาษี แต่ทว่าต่อมา กลับกลายเป็นช่องว่างและจุดอ่อน
ภาษีการค้าแผ่นดินหมิงกับภาษีอื่นเดิมที่ไม่ได้เก็บ ล้วนตกอยู่ใต้การควบคุมการเก็บขององครักษ์เสื้อแพรและสำนักรักษาความสงบ ต่อมา ถึงกับภาษีเรือก็ตกอยู่กับสำนักรักษาความสงบ เพราะระบบองครักษ์เสื้อแพรที่ผ่านการปรับเปลี่ยนจากหวังทงมีระบบควบคุม ทำงานมีประสิทธิภาพสูง เงินที่เก็บได้จึงยิ่งมาก
ต่อมาเห็นได้ชัดว่าการให้องครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นหน่วยงานภายในวังมาดูแลเรื่องภาษีนี้ไม่เหมาะสมนัก หลายฝ่ายเริ่มหาความไม่หยุด แผ่นดินหมิงจึงจัดตั้งกองงานภาษีขึ้น กองงานภาษีควรเป็นขุนนางบุ๋นดูแล แต่กองงานภาษีตัดมาจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ในนั้นส่วนใหญ่ก็ย่อมเป็นขุนนางทหารมาก่อน ผลปรากฏหน่วยงานนี้มีกำลังดำเนินการเข้มแข็งมาก
ส่วนใหญ่กล่าวว่า แผ่นดินหมิงแต่ละหน่วยงานล้วนเล็กมาก ขุนนางกับเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อทำงาน ล้วนต้องจ้างคนช่วยงาน แต่กองงานภาษีแค่เริ่มต้นก็มีคนงานเตรียมไว้พร้อมแล้ว นอกจากเจ้าหน้าที่เก็บภาษีและตรวจสอบแล้ว ยังมีทหารภาษีทำหน้าที่บังคับใช้กฎอีกด้วย
กองงานภาษีจัดตั้งขึ้น แผ่นดินหมิงเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ กองงานภาษีหน่วยงานใหญ่กับทหารภาษีที่บังคับใช้กฎ ล้วนถูกมองว่าขัดกับหลักคุณธรรม ทำให้ใต้หล้ายุ่งเหยิง แต่เขตปกครองใต้ เจ้อเจียง หูกว่าง เจียงซีและที่ต่างๆ ที่คุ้นเคยกับระบบภาษีก็คัดค้านความกล่าวอ้างนี้อย่างมาก
พวกเขาค้นพบรวดเร็วว่า พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้ ทหารภาษีไม่เท่าไร ผู้เป็นใหญ่ในพื้นที่อาจรวบรวมกำลังคนมาต่อต้านได้ แต่กำลังของกองกำลังหลวงเป็นกำลังที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ และตอนนี้ขุนนางราชสำนักส่วนกลางยังไม่ใช่ตัวแทนที่มาจากพวกเขาคอยคุม พวกที่ชอบใช้กำลังบังคับตัดสินปัญหาพวกนี้ก็ไม่รู้สึกว่าสังหารคนมีอันใดไม่ถูกต้อง
สำหรับระบบกองทหารแล้ว นี่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หลังปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงไท่จู่จูหยวนจางหรือแม้แต่หมิงเฉิงจู่จูตี้มา ระบบการทหารเริ่มอ่อนแอมาเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นกองทหารในขุนนางบุ๋น ฮ่องเต้สร้างกองกำลังวังหลวงขึ้น อำนาจบัญชาการยังถูกขุนนางบุ๋นแย่งชิงไป ไม่อาจไม่สร้างกองกำลังสำนักอาชาหลวงขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่หวังทงเริ่มสร้างกองกำลังหู่เวยที่เทียนจิน สถานการณ์เริ่มค่อย ๆ พลิกฟื้นคืนมา
ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 25 กำลังกองกำลังหลวงเหนือแม่น้ำแยงซีเกียงเริ่มเป็นกำลังหลัก ยังมีกองทัพเรือที่ขนาดใหญ่เพียงพอ กำลังเหล่านี้ล้วนฟังคำสั่งฮ่องเต้ กรมทหารล้วนไม่อาจยื่นมือเข้าเกี่ยวข้อง
ระบบการทหารเป็นเอกเทศและระบบแบบก่อนเห็นชัดว่าไม่เหมาะ หวังทงได้เสนอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ปรับอุทยานปัจจิมเป็นสำนักบัญชาการกองกำลังหลวง คำสั่งทหารทั้งหมดล้วนให้ออกจากที่นี่ สร้างระบบขึ้นมาใหม่
กำลังทหารในมือขุนนางบุ๋นล้วนค่อย ๆ ดึงกลับมาเป็นของฮ่องเต้ ฮ่องเต้แผ่นดินหมิงนับวันยิ่งบารมีเกรียงไกร เช่นกัน ขุนนางภักดีใต้อำนาจของฮ่องเต้ก็ยิ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นกัน
ที่ยิ่งสำคัญก็คือ ไม่ต้องให้คนฉลาดมากนักมอง ทุกคนล้วนมองออกว่าตอนนี้การปรับเปลี่ยนเหล่านี้เป็นผู้ใดทำ แรกสุดย่อมคิดถึงว่าเป็นหวังทง จากนั้นก็ค่อย ๆ เชื่อมโยงไปยังรายชื่อขุนนางบุ๋นบู๊หลายคนราวไฟลามทุ่ง
“…ฮ่องเต้กับฮองเฮาตามใจรัชทายาทมาก ทำให้กลายเป็นคนที่อ่อนแอซื่อเกินไป พระนิสัยนี้ทำให้ราชวงศ์ต่างเป็นกังวล ทุกคนล้วนรู้ ขุนพลทหารเหล่านั้นไม่ได้ซื่อสัตย์ภักดีเท่าไร ฮ่องเต้ที่เป็นกังวลเคยแอบตรัสส่วนพระองค์กับรัชทายาทว่า ตอนนี้แผ่นดินนี้เหมือนว่ามีไม้หนาม ข้าต้องกำจัดขวากหนามแหลมเหล่านี้ออกให้หมด เจ้าจึงจะสามารถเอาอยู่ต่อไปได้ ทุกคนที่คุ้นเคยกับประวัติของแผ่นดินนี้ล้วนรู้ ตอนตั้งแผ่นดิน ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางเองก็เคยตรัสเช่นนี้กับพระนัดดาของพระองค์เอง…”
การเมืองเป็นเรื่องหลากมุมยากไว้ใจ หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 23 การสมคบอำนาจหลายฝ่ายบนแผ่นดินหมิงเสียสมดุลไปแล้ว อำนาจหวังทงที่ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องเล่อลั่งมากเกินไป แม้เขาไม่ได้มีอำนาจสั่งการแท้จริง แต่ผู้ใดล้วนรู้ ระบบงานภายในและงานการทหารของเขา รวมทั้งระบบการเมืองการปกครองล้วนทรงอิทธิพลอยู่อย่างมากยิ่งกว่ามาก ถึงกับอยู่เหนือโอรสสวรรค์
“…ฮ่องเต้ทรงพบอย่างอึดอัด ตอนนั้นที่ทรงทำไปหลายอย่าง ล้วนเป็นการระแวงโดยไร้สาเหตุ กำราบกับตักเตือนไป หวังทงยังคงยอมคล้อยตามและถอยให้ ตอนนี้การกระทำใดต่อการกำราบอำนาจหวังทงล้วนทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจและมีปฏิกิริยาโต้กลับ แต่การปล่อยปละมานานและพระพลานามัยอ่อนแอลงของฮ่องเต้ที่เหลือเวลาอีกไม่มาก พระองค์ต้องจัดการทุกอย่างแทนรัชทายาทในช่วงเวลาที่ยังทรงพระพลานามัยแข็งแรงอยู่ ที่ฮ่องเต้ต้องทรงทำ ก็คือกุมอำนาจการทหารทั้งหมด แย่งชิงการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะผู้บัญชาการหลี่หู่โถวแห่งกองกำลังหลวงตอนนี้…”
สมุดบันทึกที่ขนานนามว่า ‘บันทึกเหมยหลี่อัน’ นำรูปแบบการเขียนใหม่มาสู่ต้าหัว เหมือนกับภาษาพูดธรรมดา ไม่ได้อ้างคำกล่าวเรื่องเล่าโบราณหรือการเสริมแต่งความให้สวยหรูใด แต่เป็นภาษาธรรมดาที่ปกติคุยกัน พวกใกล้ชิดส่วนกลางกล่าวว่า หวังทงเรียกว่า ‘ฉบับแปล’ ต่อมาเรียกว่าเป็น ‘รูปแบบแปลความ’ ยังมีบัณฑิตใหญ่ขงจื่อนามม่อซวีโหย่วให้การรับรอง นี่เป็นวาจาหลังจากนั้น
“…หลี่หู่โถวเป็นลูกหลานตระกูลทหารในเมือง บิดาเป็นผู้คุ้มกันหวังทง ต่อมาดำรงตำแหน่งสูงในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหลวงด้านต่างๆ สร้างความชอบใหญ่ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลี่หู่โถวเองกับฮ่องเต้และหวังทงมีมิตรภาพแน่นแฟ้นอย่างมาก หัวหน้าขันทีเจ้าจินเลี่ยงก็มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา เรียกได้ว่าหลี่หู่โถวแต่ละด้านล้วนเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน…”
“…ฮ่องเต้ส่งคนไปถาม ไม่ก็ในการเข้าเฝ้าครั้งหนึ่งตรัสถามขึ้น ลองใจหลี่หู่โถวว่ามีท่าทีอย่างไรต่อหวังทง จริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องถาม แต่ท่าทีหลี่หู่โถวแสดงจุดยืนชัดเจนที่ฮ่องเต้ไม่ทรงต้องการ ไม่ก็เรื่องพระพลานามัย ไม่ก็รู้สึกว่าเวลาไม่อาจรอช้า ฮ่องเต้เริ่มเลือกวิธีการสุดโต่ง ในการจลาจลครั้งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างน่าแปลก การเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างไม่สมเหตุผล และยังมีบาดแผลด้านหลังที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต…”
นอกจากฮ่องเต้ว่านลี่ไปถามหลี่หู่โถวแล้ว หวังทงเองก็ยังส่งคนไปถาม เรื่องนี้ไม่ใช่หวังทงสั่งการ แต่เป็นคนที่รู้สึกลำบากใจในสถานการณ์จึงทำโดยพลการไปเอง ในเรื่องการไปถามนี้ หลี่หู่โถวให้คำตอบตรงไปตรงมาไม่ลังเลว่า ‘ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่คนเช่นนี้’
“…หลังเรื่องนี้แล้วคาดเดากันว่า ที่ฮ่องเต้ไม่ลงมือในเมืองหลวง เทียนจินหรือเขตปกครองเหนือก็เพราะว่าพื้นที่เหล่านี้การข่าวหวังทงแม่นยำฉับไวมาก ระบบการข่าวไม่มีที่ใดไปไม่ถึง แต่ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่า ความสามารถการข่าวหวังทงจะไปไกลกว่าที่ทรงประเมินไว้มากนัก และการควบคุมระบบการทหาร กองกำลังหู่เวยที่เรียกว่ากองกำลังหลวงก็ยิ่งเป็นหน่วยทหารที่ซื่อสัตย์มีคุณธรรมมาก ไม่ใช่อำนาจฮ่องเต้ หลังจากเกิดเหตุลอบสังหาร การต่อสู้ก็จบลงรวดเร็ว คนลอบสังหารถูกจับได้ ฮ่องเต้ส่งคนไปรับตราแม่ทัพกลับถูกควบคุม ข่าวมาถึงเมืองหลวงรวดเร็ว…”
“…เรื่องจริงประจักษ์ ในเรื่องพวกนี้ คนที่ซื่อตรงจริงใจที่สุดก็คือหลี่หู่โถว…”
“…หวังทงได้ข่าวเร็วกว่าฮ่องเต้สองวัน เขานำครอบครัวออกจากเมืองหลวงในคืนนั้น บอกอีกคำว่า ยังไปภายใต้การคุ้มครองของทหารม้าชุดเกราะองครักษ์เสื้อแพร กำลังที่ฮ่องเต้ส่งมาเฝ้าจับตาดูไร้ความสามารถทำอันใดได้ กลับคุ้มครองหวังทงออกจากเมืองหลวง…”
“…เทียนจินเป็นเมืองของหวังทง ที่นั่นมีกองกำลังชาวบ้านติดอาวุธนับหมื่นและยังมีเรือรบส่วนตัวปกป้องเขา…”