องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 767
ม้าที่ลากรถเป็นม้าที่ได้จากสนามรบเมื่อวาน คนบังคับรถกับทหารติดตามรถไปล้วนเป็นนักรบผู้กล้าที่สุดของกองทัพหมิง
พอรถไปถึงคูเมือง ไม่ต้องผลักลงไป เพียงแค่ทหารใช้ดาบฟันม้า ม้าร้องเจ็บปวดวิ่งลงไปในคูเมืองเอง เชลยนอกด่านเมื่อครู่ลงแรงถมไปไม่น้อยแล้ว รถม้าที่บรรทุกมาเต็มกับม้าอัดลงไปอีก คูเมืองก็เริ่มเต็มอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าทหารเตรียมตัวเสียสละอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กำแพงเมืองไม่มีการโจมตีออกมาอีกแล้ว
คูเมืองเริ่มถมจนราบ นอกจากปืนใหญ่ขนาดใหญ่หลายกระบอกแล้ว ปืนใหญ่ที่เหลือที่ใช้แรงคนเข็นได้ก็ล้วนเข็นมาด้านหน้า ทัพม้าแบ่งเป็นสองกอง ทหารราบเมืองจี้โจวออกมาแนวหน้าสองค่าย แบ่งเป็นซ้ายขวา ป้องกันสองปีกข้างของค่ายรถศึก
สองหน่วยกองกำลังหู่เวยเรียงแถวทหารราบไปตรงกลางด้านหน้า ค่ายที่เหลือเรียงตามลำดับ หวังทงอยู่ท่ามกลางกองทหารทัพใหญ่และกองปืนใหญ่ราวกับสวรรค์กำลังประกาศโองการ ทหารติดตามก็เรียงแถวกันระยะห่างพอสมควรไปตามลำดับ เพื่อถ่ายทอดคำประกาศหวังทง
“ด้านหน้าก็คือเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นหัวหน้าพวกนอกด่านที่ปล้นชิงทรัพย์สินและคนของเรามาสร้างเมือง คิดดู หลายปีมานี้ เผ่าอันต๋าสังหารราษฎรหมิงเราไปไม่น้อย สังหารทหารหมิงเราไปไม่น้อย คิดดู หลายปีมานี้ พวกนอกด่านสร้างภัยและความยากลำบากให้ตอนเหนือแผ่นดินหมิงมาอย่างไรบ้าง!!”
หวังทงบนหลังม้าโบกมือไปทางคูเมืองกุยฮว่าเฉิง เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้อง เหมือนว่าเสียงราวอสุนีบาตนี้เป็นเพลงบรรเลงให้กับคำประกาศของหวังทง ทหารเงียบไปทั่วบริเวณ ล้วนตั้งใจฟังคำประกาศหวังทง หวังทงตะโกนขึ้นดังว่า
“พวกเจ้าไม่ว่าชาวเมืองจี้โจว หรือชาวเมืองต้าถง พี่น้องชายหญิงพวกเจ้า พ่อแม่ภรรยาลูกหลานพวกเจ้า คนข้างกายพวกเจ้า ถูกพวกนอกด่านสังหารบ้างไหม คนครอบครัวพวกเจ้าเคยออกรบสละชีพให้พวกนอกด่านบ้างไหม รุ่นปู่ รุ่นพ่อเคยรบสู้ตายกับพวกนอกด่านมา หรือว่าพวกเจ้ายังคิดจะให้ลูกหลานพวกเจ้าต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป?”
หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ แถวบรรดาทหารก็เริ่มเคลื่อนไหว แม้แต่กองกำลังหู่เวยหวังทงเองก็มีที่มาจากครอบครัวทหาร ใช้ชีวิตอยู่ตอนเหนือแผ่นดินหมิงเช่นกัน เคยถูกพวกนอกด่านทรมานเช่นกัน มีหลายคนต้องตายไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องพูดถึงชาวเมืองต้าถงและจี้โจว รบติดพันกับพวกนอกด่านเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสิบปีหลายร้อยปี คิดถึงตนเองกับบรรพชนที่เคยต้องทนทุกข์มา คิดถึงว่าวันนี้ตนเองได้ตีมาถึงหัวใจของพวกนอกด่านได้ และยังเป็นเมืองที่พวกนอกด่านพักอาศัย ความรู้สึกนี้ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้
เสียงหวังทงตะโกนดังอาจหาญ คำรามกึกก้องว่า
“เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อฝ่าบาท เพื่อตัวพวกเจ้าเอง เพื่อลูกหลานพวกเจ้าเอง บุกเข้าไป สังหารศัตรูที่ขวางหน้าพวกเจ้าให้หมด เหยียบย่ำเมืองของพวกนอกด่านไว้ใต้อุ้งเท้าพวกเจ้า!!”
ทั่วสนามรบเงียบกริบ ก่อนที่ทหารจะพากันเฮโลคำรามดังตาม ทุกคนอารมณ์ลุกฮือถึงขีดสุด วาจาหวังทงไม่ใช่วาจาเป็นทางการอันใด แต่ก็ไม่ใช่วาจาที่ใช้ในกองทัพ หากฟังแล้วทำให้จิตใจเดือดพล่าน มีคนเริ่มก่อน จากนั้นอย่างรวดเร็ว วาจาที่ตะโกนกันก็เริ่มเป็นเสียงคลื่นเดียวกัน
“เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อฝ่าบาท เพื่อครอบครัว!!”
หวังทงบนหลังม้าโบกมือขึ้นสูง กองรบของทหารเมืองจี้โจวกับกองกำลังหู่เวยรวมกันอยู่มุมหนึ่ง พอเห็นสัญญาณมือ ก็รีบตีกลอง ตึง ตึง ตึง ตึง เป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆ กลบเสียงคำรามดังกึกก้อง หวังทงยกมือลง กลองหยุดตี ทั่วสนามรบเงียบอีกครา
หวังทงโดดลงจากหลังม้า คว้าทวนขวานมากระชับในมือฟันไปด้านหน้าอย่างแรง ตะโกนดังกึกก้องว่า
“ตีเมือง!!!”
ทหารขานรับพร้อมเพรียง ทหารด้านหลังล้วนตะโกนดังว่า ‘ตีเมือง!!’ ‘ตีเมือง!!’ ดังเป็นระลอกต่อๆ กันไป มุ่งไปยังช่องที่เป็นรูโหว่บนกำแพงเมือง
ที่ว่าตีเมืองนั้นกักจะเป็นการบุกโจมตีการป้องกันของเมือง หวังทงร่วมเดินหน้าบุกไปพร้อมกับกองทัพ ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการเข้าตีเมือง
หวังทงท่ามกลางการอารักขาของทหารติดตามเดินอยู่หน้าสุด พวกเขาแต่ละคนสวมเกราะคุ้มกัน หมวกเกราะปิดสนิท ทหารติดตามถือโล่บังไว้สองข้าง ป้องกันการลอบโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ทหารปืนใหญ่ตะโกนให้เปิดทางให้ทัพใหญ่เคลื่อนไป ปืนใหญ่ที่เหลือยังคงยิงต่อเนื่องเพื่อควบคุมศัตรูที่ยังคงอยู่อีกทางหนึ่ง ที่จริงแล้วศัตรูบนกำแพงไม่มีแรงจะต่อต้านแล้ว การต่อต้านหลังกำแพงยังคงมีอยู่หรือไม่ ผู้ใดก็ไม่รู้ได้ แต่ทุกคนก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
ส่วนปืนใหญ่สองสามกระบอกบนกำแพงเมือง ระหว่างโจมตีกำแพงก็ถูกถล่มจนพังเละไปแล้ว ที่นำอยู่หน้าสุดก็คือหวังทงและทหารติดตาม ด้านหลังตามมาด้วยกองกำลังหู่เวยหน่วยที่ 1 กับหน่วยที่ 2 ทหารในชุดเกราะป้องกันเพียบพร้อม ทหารกองกำลังหู่เวยที่ฝึกฝนชำนาญที่สุดได้บุกเป็นทัพหน้า ไม่มีผู้ใดเห็นต่างในเรื่องนี้
หลังขบวนทัพ จึงเป็นทหารเมืองจี้โจวที่อัดแน่นกันตามมา ทหารราบกับทหารม้าที่รับหน้าที่ดูแลสองปีกยังคงป้องกันสองปีกข้างเช่นเดิม แต่ยามนี้ไม่มีทหารม้าศัตรูโผล่ให้เห็นสองข้างทางอีกแล้ว
ระยะห่างราวสองร้อยก้าว หวังทงก็กระโดดขึ้นไปบนเนินสูง ทหารติดตามพร้อมโล่ในมือก็รีบมาบังด้านหน้าหวังทงและต่อโล่ต่อๆ กันไป
หานกัง ฉีอู่และคนอื่นๆ ล้วนถืออาวุธประจำกายขึ้น ด้านหลังหวังทงมีพลปืนไฟอีกราวสิบกว่านาย อยู่ในสภาพพร้อมออกปะทะได้ตลอดเวลา
แม่ทัพใหญ่ไม่ควรมาเสี่ยงภัยเช่นนี้ แต่เมื่ออยู่ในแดนศัตรู บุกโจมตีเมืองพวกนอกด่าน ทหารแต่ละนายแม้ว่ามีใจฮึกเหิมแต่ก็ย่อมหวาดหวั่นอยู่บ้าง แม่ทัพยามนี้จำเป็นต้องนำทัพด้วยตนเอง
ปืนใหญ่ขนาดใหญ่ยังคงยิงอานุภาพร้ายแรง กำแพงเมืองพังถล่มลงมามากขึ้นอีก แท้จริงแล้วนอกเมืองและในเมืองเป็นพื้นที่มีระดับต่างกัน ในเมืองต่ำ นอกเมืองสูง
พอพวกหวังทงปรากฏตัวบนช่องว่างที่ถูกยิงเป็นรูโหว่บนกำแพงเมือง ก็เห็นด้านในมีอาคารเป็นซากปรักหักพังมากมาย พวกหวังทงปรากฏตัวขึ้น จึงได้มีทหารนอกด่านออกมาจากด้านหลังอาคารบ้านเรือนเหล่านั้น
คิดไม่ถึงว่ากำแพงเมืองที่แข็งแกร่งแน่นหนาจะถูกทำลายลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าปืนใหญ่ทหารหมิงอานุภาพร้ายกาจเช่นนี้ พวกนอกด่านรวบตัวกันเป็นกองกำลังป้องกันที่ใหญ่พอควร แต่ก็ไม่ใหญ่พอ
ท่ามกลางการกระหน่ำยิงของปืนใหญ่ หลังบาดเจ็บล้มตายและกำแพงพังทลายลง ยังมีกระสุนปืนยิงรอดช่องโหว่เข้ามาอีก กระสุนปืนใหญ่ที่ตกหลังกำแพงเมืองทำลายทุกอย่างราบคาบ พวกเขายังคิดไม่ถึงว่าทหารหมิงจะกล้าบุกเข้ามาเร็วเช่นนี้
ทหารด้านหลังช่องโหว่กำแพงเมืองล้วนหาที่กำบังหลบปืนใหญ่ที่ยิงมา ใช้ชีวิตของเพื่อนทหารด้วยกันและของตนมาวิเคราะห์ว่ากระสุนปืนใหญ่แท้จริงแล้วยิงได้ไกลเท่าไร หรือว่าอานุภาพร้ายกาจเพียงใด
พอเห็นทหารหมิงในชุดเกราะเต็มยศโผล่ขึ้นมา จึงได้รู้ว่าปืนใหญ่ยิงได้ผลแล้ว แม้จะยังเหลวไหลเพียงใดก็ย่อมรู้ว่าต้องป้องกันช่องโหว่บนกำแพงเมืองนี้ รู้ว่ายามนี้ต้องตีโต้ศัตรูที่บุกมาให้ถอยออกไป
มีคนยืนขึ้นเตรียมยิงธนู มีคนยกดายขึ้นปรี่เข้ามา ทหารติดตามหวังทงวางโล่ไว้บนเนินที่สูงเพื่อเป็นขาตั้งปืนให้พลปืนไฟวาง ยิงทันที
ปืนไฟ 10 กระบอกยิงพร้อมกัน ยิงไปโดนพวกนอกด่านด้านหน้าสุดถอยไปได้หลายก้าว ตามมาด้วยพลธนูยิง หวังทงแกว่งทวนขวานในมือตะโกนดังว่า
“ลงไป ลงไป พวกเราจะเปิดทาง!!”
ปืนไฟกับธนูโจมตีพวกนอกด่านให้หยุดไปได้พักหนึ่ง ด้านหน้าทหารยกโล่ขึ้นบังบุกลงไป พวกหวังทงกวัดแกว่งอาวุธตามไป
ทหารพวกนอกด่านในเมืองถูกปืนใหญ่ถล่มจนเซ่อไปแล้ว ทหารหมิงบุกเข้ามารวดเร็วเช่นนี้อีกยิ่งทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งสติ คิดไม่ถึงว่าทหารหมิงที่เข้ามาจะโจมตีพวกเขาได้ว่องไวเพียงนี้ ลังเลเพียงชั่วแวบ ทหารหมิงด่านหน้ามาพร้อมโล่ก็มาถึงตรงหน้าแล้ว หน้าโล่มีคมแหลม ทหารนอกด่านที่หลบไม่ทันก็ถูกแทงเข้าที่ตัวอย่างแรง มีคนรีบกระโดดถอยหลังหลบ ทำให้ทั้งกองเริ่มชุลมุน
โล่ทหารหมิงกลับไม่ได้ตามเข้ามา พวกนอกด่านรีบใช้โล่กับอาวุธโต้กลับ ทหารหมิงทหารในชุดเกราะไม่ได้สนใจโล่อีก รู้สึกว่าขึ้นหน้าไม่ได้ต่อ ก็รีบทิ้งโล่ถอยกลับ พวกเขาถอยหลังกลับ แต่ด้านหลังกลับขึ้นหน้าแทน
หวังทงกับทหารข้างกายเริ่มใช้ทวนขวานและทวนยาว บ้างก็ฟัน บ้างก็แทง บุกขึ้นหน้า หวังทงและทหารติดตามอยู่ในชุดเกราะที่ดีที่สุดของกองกำลังหู่เวยพร้อมอาวุธที่ดีที่สุด การฝึกฝนกับการรบก็ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ใช่ใครที่พวกทหารนอกด่านจะสู้รบปรบมือด้วยได้
จะว่าไป ทหารนอกด่านหากอยู่บนหลังม้าอาจกล้าหาญ แต่รบแนวราบกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทวนขวานในมือหวังทงฟันหมวกหนังอีกฝ่ายขาดกระจุย ฟันหัวศัตรูแบะ หวังทงกระชากแขนกลับ ตวัดไปซ้ายขวาอีก คมทวนขวานฟันคอทหารนอกด่านนายหนึ่งขาดกระเด็น
หานกังกับฉีอู่ ยังมีพวกหลี่เปียวถือทวนยาว ทวนยาวแทงหน้าไม่หยุดเหมือนอสรพิษฉก ทุกครั้งที่แทงออกไป ก็จะมีเสียงคนร้องโหยหวนดังและล้มลง ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่ ยังมีเป้าเอ้อร์เสี่ยวน้าวธนู ในระยะยิงนี้ ทุกดอกย่อมแย่งชิงชีวิตศัตรูมาได้หนึ่ง
เทียบกับซาตงหนิงแล้วแตกต่างเล็กน้อย เขาใช้ดาบพัวเตาที่เหมือนเพิ่มความยาวที่ด้ามจับ แต่ความหนากับความคมกลับยาวและคมบางยิ่ง ทุกครั้งที่ซาตงหนิงตวัดดาบ ไม่ใช่ฟันก็แทง ประสิทธิภาพดีไม่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงพลทวนยาวด้านหลังที่ต่อสู้ได้อย่างเข้มแข็ง ยังมีพลปืนไฟที่กำลังบรรจุกระสุน ทหารติดตามหวังทงก็ฝึกตามระเบียบกองกำลังหู่เวยมา ย่อมไม่มีผิดพลาด
เดิมคิดว่าจะตีโต้ทหารหมิงกลุ่มเล็กนี้ให้ถอยกลับไป คิดไม่ถึงว่าทหารหมิงกลุ่มเล็กนี้ร้ายกาจเช่นนี้ได้ ชั่วแวบเดียว ถึงกับทำให้พวกเขาต้องถอยไปหลายสิบก้าวได้
“เปลี่ยนอาวุธยาวมา ให้ทัพม้าบุกย่ำพวกมัน!!”
หัวหน้าทหารนอกด่านเห็นท่าไม่ดี การตีโต้กลับนั้นไม่ง่ายเลย ถึงกับยังอาจถูกทหารกลุ่มเล็กนี้ตีพ่ายได้อีก สถานการณ์เอาไม่อยู่แล้ว
แต่ทว่าหวังทงกับทหารติดตามพอรุกเข้าไปหลายสิบก้าวก็รีบถอยอย่างเร็ว ทำให้ทหารนอกด่านงงกันไปหมด เวลาปะทะตัวตัวต่อระหว่างหวังทงกับพวกนอกด่านสั้นมาก ก่อนจะถอยกลับไปทางกำแพงเมือง
เสียงปืนไฟดังขึ้น สนามรบนี้มอบให้พลปืนไฟที่บุกเข้ามาไปดูแลต่อ!!