องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 768
พลปืนไฟทหารหมิงยกปากกระบอกปืนไฟเอียงขึ้น พวกเขาเปลี่ยนเชือกชนวนรอบสองแล้ว รอบแรกนั้นจุดรอจนมอดไปแล้ว
รูโหว่บนกำแพงเปิดกว้างมากขึ้น พลปืนไฟหลายนายโผล่ขึ้นมาจากช่องนั้น มองไปยังพวกทหารนอกด่านที่กรูกันเข้ามา ย่อมไม่เกรงใจ ในระดับมุมสูงนี้เอง ด้านหน้าก็ย่อตัวลง ด้านหลังยืดตัวตรง ยิงระลอกแรกพร้อมกัน
ปืนไฟดังราวกับถั่วระเบิด ทำลายพวกทหารนอกด่านที่รวมตัวกันมาล้มพังพาบไปทั้งแถบ ถอยห่างออกไปอีกหลายก้าว ตามหลักการรบแล้ว พลปืนไฟยิงเสร็จ ก็จะคำนับถอยหลังไปบรรจุกระสุนปืนใหม่ แต่ในสถานการณ์นี้ก็ต้องปรับตัว ไม่ทำดังเดิม พลปืนไฟยิงเสร็จก็วิ่งลงไปทันที เปิดทางให้เพื่อนทหารด้านหลัง
พวกนอกด่านเคลื่อนกำลังทหารม้ามาจัดแถวเสร็จ กำลังคิดจะตีโต้ทหารหมิงที่บุกขึ้นมาให้ถอยกลับไป แต่พลปืนไฟทหารหมิงเริ่มกรูกันออกมาไม่หยุด
ปืนไฟนับร้อยพันบรรจุกระสุนรอยิง พอเข้ามาพร้อมกันแล้วก็ยิงทันที ระยะห่างร้อยกว่าก้าว ทหารพวกนอกด่านจะเข้าใกล้อีกได้อย่างไร
ตำแหน่งที่พลปืนไฟสองแถวแรกยิงนั้น เริ่มมีด้านหลังเข้ามา ตำแหน่งที่ยืนยิงก็ต้องเขยิบขึ้นหน้า ยิงชั่วพริบตาก็ลงจากกำแพงเข้าไปด้านใน พากันบรรจุกระสุนดินปืนใหม่อย่างเร่งรีบ หวังทงกับทหารติดตามก็บุกขึ้นหน้าไม่หยุด เพื่อตั้งแถวคุ้มกันพลปืนไฟ
หัวหน้าทหารพวกนอกด่านเริ่มบ้าคลั่งเร่งเร้าให้ทหารเติมกำลังเสริมแนวหน้าไม่หยุด มีคนใช้ดาบฟันใส่ทหารที่ลังเลไม่กล้าขึ้นหน้า แต่ทว่าก็ถูกปืนไฟบีบให้ถอยหลังไม่หยุด
สถานการณ์รบเช่นนี้ทำให้คนแทบคลั่ง ทหารมีความกล้ามาก แม้ยังมีม้า แต่พอเข้าใกล้ทหารหมิงได้ราว 70 ก้าว ก็จะถูกปืนไฟยิงตาย มีไม่น้อยที่เป็นมือธนู แต่ระยะ 70 ก้าว ย่อมยิงไม่ถึงและไม่มีแรงพอจะยิง คนระยะห่างร้อยก้าวพากันล้มตายไม่หยุดอย่างไม่อาจทำอันใดได้
มองพลปืนไฟทหารหมิงยิงกันตาปริบๆ ปืนไฟยิงไปทั่ว ทหารตนก็ค่อย ๆ ถอยหลังทีละน้อย ศัตรูกรูเข้ามากันยิ่งมากขึ้นจากช่องบนกำแพงที่เปิดออก
พอเข้ามาในเมืองตั้งแถวตีนกำแพงเมืองกันเต็มพื้นที่ หลังยิงระลอกสอง สถานการณ์ก็ตกอยู่ในความควบคุมแล้ว บุกเข้ามาฝ่ายเดียว แม้ว่านักรบจะกล้าหาญเพียงใดก็ย่อมทนสภาพรบเช่นนี้ไม่ได้ นับประสาอันใดกับทหารนอกด่านที่หดหัวอยู่แต่ในกำแพงเมือง ย่อมไม่ใช่นักรบผู้กล้าอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าแม่ทัพและหัวหน้าทหารจะสังหารทิ้งก็ไม่อาจยับยั้งทหารสติแตกได้ หัวหน้าทหารไม่อาจส่งกำลังอุดช่องโหว่ได้อีก แนวป้องกันแตกพ่ายแล้ว
ปืนใหญ่ด้านนอกยังคงยิงไม่หยุด พลปืนไฟออกมาตั้งยิงรอบๆ พื้นที่ปากช่องโหว่บนกำแพงเมืองแล้ว คุ้มกันช่องทางนี้ไว้แล้ว ใช้ปืนไฟยิงเปิดทาง แต่ก็ยังมีทหารนอกด่านที่ยังมีความกล้าไม่ยอมหนีอีก
ทหารราบกองกำลังหู่เวยในชุดเกราะพร้อมทวนยาวเริ่มบุกเข้ามา มาจัดแถวหน้าพื้นที่ว่างตรงปากช่องโหว่เสร็จ ก็ทำตามบัญชาการหวังทง มุ่งไปยังประตูกำแพงเมืองที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
พอพวกเขามาถึงตีนกำแพงเมือง ประตูเมืองแม้ว่าถูกปืนใหญ่ถล่ม แต่ด้านในก็ยังมีการต่อต้านอยู่ มีทหารโผล่หัวขึ้นตามช่องหินบนกำแพงเมืองยิงธนูใส่
พอได้ยินเสียงดังสนั่น ป้อมประตูเมืองพังทลายลงกว่าครึ่ง พลธนูที่โผล่หัวขึ้นยิงก็ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ร่วงลงจากกำแพงเมืองไปในทันที
สภาพการณ์นี้ น่าจะเป็นปืนกระสุน 12 ชั่งยิงโดนประตูเมือง อิฐหินพังทลายเต็มพื้น ทำให้ทหารราบกองกำลังหู่เวยเริ่มชุลมุน ถูกหัวหน้าหน่วยอย่างหลี่หู่โถวตะโกนด่ายกใหญ่ว่า
“บอกให้ไอ้บ้าด้านนอกนั่นหยุดยิงปืนได้แล้ว ยิงมารดามันอีก คงได้ถล่มพวกเดียวกันแล้ว!!”
ปืนกระสุน12 ชั่งคิดจะปรับปากกระบอกปืนใหญ่กับมุมยิงไม่ง่าย เดาว่าด้านนอกนั้นก็ลำบากลำบนตั้งปากกระบอกปืนไม่น้อย กว่าจะยกปากปืนกระสุน 12 ชั่งขึ้นได้ จึงได้เล็งมายังประตูเมืองแม่นได้เช่นนี้
สำหรับการป้องกันกำแพงเมืองแล้ว ป้อมประตูเมืองก็เท่ากับตำแหน่งธงชัยแม่ทัพ ประตูเมืองเป็นทางเข้า หากพังทลาย ก็มักเป็นสัญลักษณ์ของการแตกพ่ายในการป้องกันเมืองทั้งหมด
ปืนใหญ่นั้นแม้ว่าเกือบยิงโดนทหารราบกองกำลังหู่เวย แต่ปืนใหญ่ก็ช่วยกำจัดพวกนอกด่านบนป้อมประตูให้ราบคาบไปหมดเช่นกัน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่อาจมีแรงต่อต้านได้อีก
ด้านหลังป้อมประตูเมืองมีบันไดขึ้นไปยังกำแพงเมือง พลทวนยาวในชุดเกราะ 10 กว่านานเดินขึ้นไปแรกสุด ด้านหลังเป็นพลปืนไฟ เริ่มวิ่งตามขึ้นไปบนกำแพงเมือง
มีทหารนอกด่านเริ่มคำรามใส่ทหารกองกำลังหู่เวยพร้อมยิงธนูใส่ แต่ธนูยิงโดนเกราะกับหมวกเกราะ ไม่มีประโยชน์อันใด กลับทำให้พวกที่โผล่หัวออกมายิงถูกปืนไฟยิงตายในทันที
ทหารกองกำลังหู่เวยกรูขึ้นบนกำแพงเมือง ทหารนอกด่านบนกำแพงเมืองรู้สึกว่าการรบนี้สิ้นหวังแล้ว ต่อหน้าอาวุธไฟที่ร้ายกาจของทหารหมิงนี้ พวกเขาถึงกับไม่อาจเข้าต่อสู้ตัวต่อตัวปะทะแลกชีวิตได้ แม้อีกฝ่ายยิงปืนไฟหมด แต่แถวที่เรียงตัวกันแน่นหนาของทหารหมิงที่ตั้งทวนยาวแนวราบเหมือนกับกำแพงเคลื่อนที่ ดาบโค้งในมือพวกเขากับทวนไม้ไหนเลยจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้ ได้แต่ถูกอีกฝ่ายแทงตายมากกว่า
รอทหารราบเข็นปืนกระสุนหนึ่งชั่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ การรบก็ไม่มีอันใดต้องกังวลอีก กระสุนปืนยิงกราดทำให้การต่อต้านบนกำแพงเมืองหมดไปอย่างรวดเร็ว
“พวกนอกด่านยังคิดตีโต้อีกหรือไง แม้แต่ป้อมประตูยังได้แต่ป้องกันหละหลวมเพียงนี้!”
หวังทงนำกำลังมาถึงประตูเมือง ก็เห็นว่ามีราวไม้กั้นและกระสอบทราย แต่กระสอบทรายนั้นวางกองอยู่สองข้างประตู ยังไม่ได้นำเข้าอุดประตูไว้
“พลปืนไฟคอยระวัง พลทวนยาวขจัดสิ่งกีดขวาง รีบปล่อยสะพานลง!!”
หวังทงออกคำสั่งดัง ทหารติดตามรีบถ่ายทอดคำสั่ง ประตูเมืองตรงนี้แบ่งประตูเมืองชั้นในและประตูเมืองชั้นนอก ระหว่างสองประตูยังมีพื้นที่ พวกนอกด่านไม่ทันได้ปิดประตูเมืองชั้นใน ทหารหมิงกรูเข้ามาทางช่องโหว่กำแพงเมืองแล้วก็บุกเข้ามายังพื้นที่ช่องว่างระหว่างสองประตูเมือง
แค่ราวไม้กั้น เคลื่อนย้ายไม่ยาก ครอบครองพื้นที่หน้าประตูเมืองปล่อยสะพานลงก็ไม่ยาก นอกประตูเมืองมีทหารจี้โจวที่ถูมือรออยู่ พอเห็นประตูเริ่มขยับปล่อยตัวลง ก็ส่งเสียงเฮโลดังด้วยความดีใจ
สีหน้ารองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวมีสีหน้าคาดไม่ถึง แต่ก็ยังเคลื่อนกำลังทหารม้า เริ่มจัดทัพม้ากับทหารราบเข้าเมือง
สู้กันมาถึงบัดนี้ พวกนอกด่านที่ปกป้องกำแพงเมืองก็รู้แล้วว่าแนวป้องกันแตกพ่ายแล้ว สู้บนสนามรบก่อนหน้าก็ถูกทหารหมิงตีพ่าย ป้องกันเมืองยังถึงกับถูกตีพ่ายในวันเดียว การรบเช่นนี้ไม่อาจมีหนทางใดให้ชนะได้อีก ไม่มีความกล้าหรือความมั่นใจใดๆ อีก คิดแต่จะต้องหนีเอาตัวรอดแล้ว
ควบคุมปากทางนั้นได้แล้ว ทหารราบเมืองจี้โจวเริ่มปีนกำแพงเมืองเข้ามากำจัดศัตรูบนกำแพงให้ราบคาบ ยังมีทหารราบอีกสองกองที่เริ่มเก็บกว่าการป้องกันต่าง ๆ ริมด้านในกำแพง ทหารที่เหลือก็เตรียมตัวอยู่รอบ ๆ ประตูเมือง จัดการสถานการณ์โดยรอบให้สงบลง ให้ทหารกองหลังเข้าเมืองมา
ขณะกำลังจัดการกองกำลังกันอยู่นั้น ทหารด้านนอกสุดก็เห็นธงแดงสะบัด ราษฎรผ้าคลุมหน้าแดงเข้ามาระยะประชิด พวกเขาได้รับคำสั่งมาว่า หากเจอราษฎเช่นนี้ ให้รอแม่ทัพใหญ่ก่อน
ราษฎรที่แต่งตัวเช่นนี้สิบกว่าคนมาถึงหน้าหวังทง หวังไม่ถาม หากสั่งการไปว่า
“คลังเสบียง ค่ายทหาร วังข่าน คลังอาวุธ จวนชนชั้นสูงในเมือง พวกเจ้ารายงานจุดนำทางและนำทางไป!”
ราษฎร 10 กว่าคนมองดูก็ปกติ มี 3-4 คนยังแต่งกายแบบชาวมองโกล แต่ยามนี้ไม่มีเหมือนเดิม พากันเท้าชิดคำนับแบบทหาร ล้วนเป็นระเบียบแบบทหารกองกำลังหู่เวย ได้ยินหวังทงกล่าว ทุกคนก็ขานรับบอกจุดที่ตนจะนำทางไป หวังทงหันไปกล่าวว่า
“กองกำลังหู่เวยหน่วยที่ 1 หน่วยที่ 2 ไปวังข่าน คลังเสบียงและคลังอาวุธให้ทัพม้าดูแล ที่เหลือแต่ละหน่วยให้หยางจิ้นสั่งการ!”
วังข่าน คลังเสบียงและคลังอาวุธย่อมเป็นจุดยุทธศาสตร์ป้องกันที่สำคัญ เป็นจุดที่มีการต่อสู้ดุเดือดที่สุด หวังทงให้ทหารตนเองไปจัดการ ที่เหลือมอบให้ทหารจี้โจว
รองแม่ทัพหยางจิ้นรู้ดีว่าทัพเมืองจี้โจวได้เปรียบในการนี้ แต่ก็รู้สึกบอกไม่ถูก เดิมคิดว่าเมืองจี้โจวเป็นกำลังหลัก ยามนี้ราวกับสิ่งไร้ค่าที่ต้องการการดูแลจากกองกำลังหู่เวย แม้แต่การรบปะทะหนักก็ไม่วางใจให้พวกเขาไปสู้ ในใจอึดอัดยิ่ง หากก็ยังต้องฟังคำสั่ง
ยังไม่ทันได้สั่งการ หวังทงกล่าวว่า
“ยามรบ ไม่ว่าอันใดขวางการปฏิบัติการ หรือเข้าปะทะเรา ไม่ว่าชาวนอกด่านหรือชาวฮั่น ไม่ว่าผู้หญิงคนแก่หรือเด็ก ล้วนเป็นศัตรูเรา สังหารให้หมด ให้ทหารเราลงมือได้เลย ไม่ต้องมีเมตตาสงสารอันทำให้ตนเองต้องตายแทน รถใหญ่ปรับเป็นรถเกราะ เคลื่อนกันด้านหน้า เก็บกวาดทีละถนน!”
ทุกนายรับคำสั่ง แต่ละนายไปจัดการตามคำสั่ง หวังทงหันไปถามถานเจียงว่า
“ถานเจียง เจ้านำกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยกับคนงานทางนั้นไปช่วยกองพลปืนใหญ่ทางมู่เอิน นำปืนใหญ่ขึ้นบนกำแพงเมือง ไม่ว่าในหรือนอกเมือง ปืนใหญ่ยังใช้การได้อีกมาก ถ่ายทอดคำสั่งให้จางอู่นำปืนใหญ่ที่นำขึ้นกำแพงเมืองไม่ได้ ไปที่วังข่าน !! ถานเจียงรับคำสั่ง รีบออกไปปฏิบัติการ หวังทงโดดขึ้นม้ารีบไปยังทหารหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2
***************
วังข่านในเมืองกุยฮว่าเฉิงวุ่นวายชุลมุนไปทั้งวัง ทหารนอกด่านที่รักษาการที่นี่ล้วนเป็นทหารที่จงรักภักดีที่สุด ยามนี้ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ปกติหากสวมรองเท้าหนังก็ห้ามย่ำบนพรม แต่ยามนี้เต็มไปด้วยโคลนและคราบเลือด ถึงกับมีคนขี่ม้าเข้ามา ตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงนางกำนัลขันทีระดับล่าง ทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า เพียงวันเดียว ทหารหมิงถึงกับตีเข้าเมืองมาได้
หลายร้อยปีมานี้ ไม่ใช่ว่านักรบทุ่งหญ้านอกด่านทำอะไรก็ได้บแผ่นดินหมิงงั้นหรือ? หลายร้อยปีมานี้ ใช่ว่าชาวทุ่งหญ้านอกด่านเป็นหมาป่า ชาวหมิงเป็นแพะงั้นหรือ? หลายร้อยปีมานี้ ใช่ว่านักรบทุ่งหญ้านอกด่านตีทหารหมิงที่มากกว่าหลายเท่าหลายสิบเท่าให้แตกพ่ายไปงั้นหรือ?
แต่ทหารเผ่าอันต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อวานนี้ถูกตีพ่ายยับเยินมา วันนี้ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็ตีเมืองแตกได้ในวันเดียว ถึงกับเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม ก็ถูกตีแตกแล้ว
เฉ่อลี่เข้อในชุดเกราะรีบวิ่งเข้าวังมา พอเข้ามาถึงก็อึ้งไป เห็นเซิงเก๋อตูกู่เหลิงในชุดเกราะถือดาบใหญ่ในมือ นั่งอยู่บนบังลังก์ สีหน้าเหม่อลอยมองไปเบื้องหน้า เฉ่อลี่เข้อเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“พระบิดา รีบหนีพะยะค่ะ ประตูเมืองอื่นพวกสุนัขหมิงยังไม่ได้เข้าควบคุม พระบิดา ตอนนี้หนียังทัน…….”
“หนีอันใดกันเล่า ไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าอันต๋ายังจะทำอันใดได้ ไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าอันต๋าก็จบสิ้นแล้ว…….”