องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 769
เซิงเก๋อตูกู่เหลิงนั่งอึ้งอยู่บนบังลังก์ปากก็พึมพำ แต่เหมือนไม่ใช่เสียงเขา เฉ่อลี่เข้อโมโหมาก ตะโกนดังขึ้นว่า
“พระบิดา หนีตอนนี้ พวกเรายังมีกำลังทหารม้าอีกสองหมื่น กำลังระดับนี้อาจยังคงให้เราเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้านอกด่านได้ มาตายที่นี่ เราจะจบสิ้นไม่เหลืออันใด!”
“สองหมื่น ครอบครัวเขาอีก อาหารการกินอีกเล่า ม้ากินหญ้าที่ใด ไม่มีเมือง ผู้ใดจะยังยอมสยบให้พวกเราอีก!”
ตอนนี้สีหน้าเซิงเก๋อตูกู่เหลิงซีดเผือดแทบไร้ชีวิต ตอนนี้เขาหมดหวังสิ้นแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงตั้งอยู่บนศูนย์กลางของแม่น้ำถูม่อชวน เป็นศูนย์กลางเมืองนี้ แม่น้ำถู่ม่อชวนเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่เผ่าอันต๋าใช้ควบคุมชาวทุ่งหญ้านอกด่าน มีชาวฮั่นมาทำไร่ทำนาสะสมเสบียงให้ทุกปี ทหารมากมายอาศัยเสบียงเหล่านี้ยังชีพ และพื้นที่ศูนย์กลางนี้ยังเป็นพื้นที่การค้าทำกำไรมหาศาล เพราะเหตุผลเหล่านี้ ดังนั้นเผ่าอันต๋าจึงได้เหนือว่าเผ่าอื่นบนทุ่งหญ้านี้ทั้งกำลังคนและระดับการดำรงชีวิต
ไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เผ่าอันต๋าก็เหมือนเผ่าอื่นทั่วไปเท่านั้น ข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า รบดินแดนทั่วหล้า แม้แต่อู้เหลียงฮาเผ่าใหญ่เช่นนั้นยังทำลายราบมาได้ ไม่รู้สร้างความโกรธแค้นมากมายเพียงใด กำลังทหารในสังกัดอื่นๆ ขอเพียงเผ่าอันต๋าครองอำนาจอยู่ พวกเขาก็ยอมสวามิภักดิ์ ยอมรับคำสั่งเผ่าอันต๋า ไม่มีฐานอำนาจนี้แล้ว ทุกอย่างก็ดับสิ้น
ฤดูหนาวเช่นนี้ ทหารม้าสองหมื่นอยู่ทุ่งหญ้าต้องใช้เสบียงเท่าไร ต้องเลี้ยงดูเท่าไร ออกจากเมืองสวรรค์เช่นเมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ไป ที่ใดจะมีทรัพยากรได้มากมายเพียงนี้อีก
ไม่มีเสบียง พื้นที่สำคัญยังถูกแย่งชิงไป ความหวาดหวั่นยามต้องอยู่บนทุ่งหญ้า ความขัดแย้งที่เคยอัดแน่นเก็บลึกก็ย่อมปะทุขึ้นมา ผู้ใดจะยอมฟังคำสั่งเผ่าอันต๋าอีกเล่า
ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงมองการณ์กระจ่าง เฉ่อลี่เข้ออึ้งไปและก็เข้าใจในบัดดล เฉ่อลี่เข้อที่องอาจกล้าหาญ อยู่ๆ ก็รู้สึกหมดแรง แรงกำลังทั่วร่างเหือดหายไปหมดสิ้น โงนเงนทำท่าจะล้มลง
เดิมชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วง อยู่ๆ พังทลายไปหมดสิ้น สองวันมานี้ ช่างปืนใหญ่หุยหุยที่เฉ่อลี่เข้อพามาจากซีอวี้ เป็นวิธีการที่เรียนรู้มาจากการโจมตีเมืองของชาวหมิง คิดการใหญ่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เริ่มจากกองโจรม้า อยู่ๆ ทหารหมิงก็เคลื่อนทัพมาบนทุ่งหญ้า ลอบทดสอบกำลังก็แพ้ นำกำลังออกรบจริงก็แพ้ เดิมคิดว่าแพ้แล้ว แต่เมืองยังอยู่ ยังไม่เป็นไรมาก
ตอนนี้ยังถึงกับตีเมืองทลายอีก ทหารหมิงบุกเข้ามาในเมืองไม่หยุด อยู่ ๆ ทุกอย่างก็สิ้นหวัง
“พวกเจ้ามัวอึ้งอันใดกัน ไปสู้กับสุนัขหมิงสิ!!”
ในวังเงียบลง มเหสีสามเดินเข้ามาพร้อมทหารคุ้มกัน แต่ไรมาก็สวมแต่ชุดแบบชาววังหมิง ครั้งนี้กลับมาในชุดเกราะนักรบ ทหารข้างกายมเหสีสามแต่ละคนก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่าทางพร้อมสละชีพ
เห็นพ่อลูกท่าทางรันทดใจเช่นนี้ สีหน้ามเหสีสามก็โมโหมาก ตวาดเสียงแหลมว่า
“อดีตท่านข่านสร้างมากับมือ ตอนนี้พังทลายไปเช่นนี้ พวกเรานอกจากรบจนตัวตายแล้ว หรือว่ายังมีหน้าไปพบอดีตท่านข่านอีก?”
ในตำหนักเงียบกริบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิงเก๋อตูกู่เหลิงยกดาบชี้ไปที่บังลังก์ ยิ้มเศร้ายืนขึ้น กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ตอนนี้พวกเราจึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดพระบิดาจึงได้โปรดเจ้านัก เฉ่อลี่เข้อ เราพ่อลูกไม่มีหน้าไปพบท่านข่านแล้ว แต่ความกล้าหาญรบจนตัวตายยังมีอยู่ เจ้าเป็นลูกชายคนโตข้า พี่น้องเจ้าให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีละกัน!”
***********
ในเมืองไม่มีการต่อต้านที่ดูมีปัญหาอันใดอีก ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่ชั่วยาม ทหารหมิงก็ตีเข้าเมืองมาได้เช่นนี้
ทุ่งหญ้านอกด่านหลายปีมานี้มีแต่เมืองกุยฮว่าเฉิงที่เรียกได้ว่าเมืองเท่านั้น ในเมืองเป็นศูนย์กลางพักอาศัยของชาว มองโกล ตอนเมืองกุยฮว่าเฉิงยังไม่แตก ทหารหมิงตีมาถึงชานเมืองก่อน จากนั้นก็ตีกำแพงเมือง ทหารนอกด่านกับชาวบ้านรู้ว่านอกเมืองมีทหารหมิง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตีเข้าเมืองมาได้แล้ว
ถึงกับยังเตรียมกำลังกันอยู่ในเมืองอีกมาก คืนวานพวกปล้นชิงอย่างเหิมเกริมยังไม่รู้ว่าทหารหมิงตีเข้าเมืองมาแล้ว พวกเขาถูกหัวหน้าเรียกตัวในเวลากระชั้นชิด พอออกมาตามท้องถนนก็เห็นทหารหมิงเข้ามากันแล้ว ก็พากันรีบหนีกระเจิดกระเจิงทันที
ทหารหมิงถึงกับเข้าเมืองมาได้ ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีอะไรติดอยู่ในใจ แต่ไรคิดเสมอว่าตนเองมีอันใดได้เปรียบเก่งกล้ากว่าพวกฮั่นพวกหมิงนั้นก็หมดสิ้นไปในทันที
รถเกราะนำหน้ามา พลธนูกับปืนใหญ่ขนาดเล็กตามมาด้วย ทหารราบอยู่ด้านหลัง ทหารจี้โจวเดินเข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงไปตามถนนหนทาง ในเวลากระชั้นชิดนี้ ทหารม้าเผชิญทหารราบย่อมไม่ได้เปรียบอันใด พวกนอกด่านไม่อาจรวมกำลังกันได้ อีก กองเล็กๆ ที่รวมตัวกันได้ก็หมดแรงต้าน
คุมเมืองจัดการปราบปรามตามท้องถนนมักเป็นผลแห่งสงครามที่โหดร้ายที่สุด แต่ทหารหมิงพอเข้าเมืองมา กลับไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นการรบกับประเทศศัตรู เพราะในเมืองมีชาวฮั่นมากมาย เพราะในเมืองที่ชาวฮั่นถูกพวกทหารนอกด่านปล้นชิงไปเมื่อคืน ทุกคนล้วนโกรธแค้นและชิงชังพวกนอกด่านมาก
หลายคนเดิมยังกังวลอยู่ วันนี้รบป้องกันเมืองเสร็จ พวกทหารนอกด่านที่ยังเจ็บแค้นจะกลับมาปล้นระบายอารมณ์กับชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นอีกหรือไม่ ทรัพย์สินจะถูกปล้นอีกหรือไม่ ผู้หญิงจะถูกย่ำยีอีกหรือไม่ ทหารหมิงเข้าเมืองมา ทุกคนก็รู้สึกโล่งอก
ไม่มีใครช่วยทหารนอกด่านที่กระจัดกระจายอยู่พวกนี้ ทหารนอกด่านพวกนี้ถูกชาวบ้านหมิงรุมตีตาย ทหารหมิงที่เข้าเมืองมามีบ้างเดินไปผิดทางก็มีคนมาบอกทางให้
ในฤดูอากาศหนาวเหน็บนี้ อยู่ในเมืองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ชนชั้นสูงนอกด่านมากมาย หัวหน้าเผ่าใหญ่เล็กก็ล้วนมีจวนอยู่ในเมืองไว้พักผ่อน พวกเขามั่นใจในเมืองกุยฮว่าเฉิงมาก แต่พอกำแพงเมืองถูกตีพ่าย พวกเขาก็พลุ่งพล่านราวกับมดในหม้อต้มเดือด เก็บของที่มีราคาพกพาได้ พานางคนรักที่สุดหนีไปด้วย หลายคนไม่สนใจอันใด หากขี่ม้าหนีออกนอกเมืองไปทันที ทหารหมิงตีเข้าเมืองมา ไม่หนีก็ไม่ทันแล้ว
ชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นอยู่ในเมืองต่อ หากคนที่เกี่ยวข้องกับพวกนอกด่านต่างหนีออกนอกเมือง หลายคนไม่รู้ว่าเมืองแตกแล้ว ต้องรอให้ทหารหมิงมาถึง พวกเขาจึงได้รู้
ยามนี้คิดหนีก็สายไปแล้ว ในเมืองตามถนนหลายสายไม่น้อยถูกทหารหมิงคุมไว้หมดแล้ว ประตูเมืองหลายแห่งก็เช่นกัน ถูกทหารหมิงยึดครองไปแล้ว
ถนนเบียดแน่นไปหมด คิดหนีก็ต้องเบียดกันไป สังหารกันเอง ขุนพลทหารที่หนีไปพวกนี้สั่งการลูกน้องให้ลงมือ ก็คือลงมือกับคนที่ตนเองเพิ่งคุ้มครองอยู่พวกนั้น สั่งการให้ลงมือกับชนชั้นสูงที่คุ้มครองมาเพื่อปล้นชิงเงินทองทรัพย์สมบัติพวกเขา สังหารพวกเขาเพื่อเปิดทางให้ตนเองได้หนี
*************
เทียบกับความชุลมุนในเมืองแล้ว บริเวณวังข่านนี้เป็นระเบียบกว่ามาก ที่นี่อย่างไรก็เป็นศูนย์กลางของเผ่าอันต๋า เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามและเฉ่อลี่เข้อล้วนอยู่ที่นี่ ทหารที่นี่เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอันต๋า ทุกคนคนล้วนเชี่ยวชาญการรบบนหลังม้าและบนพื้นราบ ล้วนยิงธนูเก่งและแม่นยำราวกับเทพ
แต่การต่อต้านของพวกเขาเพียงแค่ทำให้ทหารสองหน่วยของกองกำลังหู่เวยช้าลงเท่านั้น พลปืนไฟกองกำลังหู่เวย เรียงแถว พวกที่มองเห็นพวกศัตรูก่อนก็คือพลปืนไฟ พลปืนไฟยิงก่อน ยังมีทหารก่อกวนรอบๆ เป็นทหารติดตามหวังทงออกไปเก็บกวาดให้สิ้น
มีพวกหัวไวใช้เศษซากอาคารกำบังหลบ อาศัยความชำนาญพื้นที่ต่อสู้กับทหารหมิง กองกำลังหู่เวยเริ่มมีทหารบาดเจ็บล้มตาย วิธีการพวกเขาก็ง่ายมาก ให้ม้าไปลากปืนใหญ่มาทันที ยิงไปตรงๆ ทำลายซากอาคารที่พวกศัตรูใช้เป็นกำบังทิ้ง คนและสิ่งกีดขวางถูกปืนใหญ่ยิงราบ ไม่ก็ถูกซากอาคารทับไว้ข้างใต้
วังข่านเป็นหมู่สถาปัตยกรรมที่สะดุดตาที่สุดในเมือง ประตูเมืองแต่ละประตูล้วนมุ่งสู่วังข่าน เป็นถนนที่กว้างและเรียบที่สุด ไม่นานนัก สองหน่วยของกองกำลังหู่เวยก็มาถึงประตูใหญ่หน้าวังข่าน
ที่จริงแล้ววังข่านเป็นพื้นที่ฐานที่มั่นของเมือง เพียงแต่ตกแต่งสวยงามก็เท่านั้น ที่นี่พบการต่อต้านที่ดุเดือดแล้ว
พลปืนไฟกองกำลังหู่เวยปรากฏตัวหัวมุมถนน มีห่าธนูเตรียมต้อนรับพวกเขาอยู่ ถนนสายนี้ต้องพบกับการต่อต้าน ระยะยิงธนูกับปืนไฟใกล้เคียงกันมาก แต่ระยะนี้ครั้งนี้กลับไกลจากระยะยิงปืนไฟ
พลปืนไฟแถวหน้าป้องกันไม่ทัน พริบตาก็ถูกธนูยิงไปทั้งแถบ ขุนพลทหารรีบสั่งให้หยุด มองไปยังวังข่านด้านหน้า ทหารนอกด่านใช้ธนูยาวกว่าธนูทั่วไปหนึ่งเท่าได้ ลูกธนูยิงให้ทหารหมิงก็ยาวกว่าปกติ
“ถอย ถอย ขนปืนใหญ่มาถล่มมารดามันเลย!!”
ขุนพลทหารตะโกนดัง ด้านหน้าเริ่มหยุด เปิดทางให้ ม้าห้าตัวลากปืนกระสุนสามชั่งมาถึงด้านหน้า ปืนใหญ่ขนาดเล็กใช้เวลาเตรียมการง่าย พลปืนใหญ่ตะโกนคำสั่งติดตั้งปืนใหญ่ ปืนใหญ่บรรจุดินปืน เล็งปืนใหญ่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จุดไฟยิง
ตอนขนปืนใหญ่ออกมา พลธนูหน้าวังก็เริ่มหลบกันให้วุ่น ธนูยิงระยะไกลได้แต่ไม่อาจสู้ระยะไกลของปืนใหญ่ได้ แม้เข้าใกล้มายิง ก็อาจถูกปืนไฟทหารหมิงยิงตายได้ ธนูยิงต้องใช้ระยะน้าวธนูให้มั่น แต่ปืนใหญ่อีกฝ่ายตั้งอยู่บนแท่นยิง พวกเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะเข้าไปยิงระลอกแรกได้
ปืนใหญ่ยิงดัง พลธนูพวกนอกด่านแตกกระเจิง ขุนพลทหารออกคำสั่งให้พลปืนไฟกับพลทวนยาวบุกขึ้นหน้า พวกนอกด่านตอนนี้ไม่มีทหารถืออาวุธดาบเข้ามาปะทะเป็นกลุ่มอีกแล้ว แม้ว่าเป็นนักรบนอกด่านที่กล้าหาญที่สุด ขอเพียงแค่บุกมาหน้าปืนไฟทหารหมิง ไม่ว่าขี่ม้าหรือเท้าเปล่าวิ่งมาก็ล้วนแต่ถูกยิงตายเท่านั้น
พวกนักรบนอกด่านที่คุ้มกันวังข่านเข้ามาในวัง ประตูใหญ่ปิดแน่น สองหน่วยกองกำลังหู่เวยจัดแถวหน้าประตู ปืนไฟกับปืนใหญ่เริ่มคุมศัตรูบนกำแพงได้แล้ว
พวกเขากำลังรอการมาของปืนใหญ่ ปืนใหญ่ขนาดใหญ่ยิงทลายประตูกับกำแพงแล้ว ก็ไม่มีอันใดขวางการบุกเข้าไปของกองกำลังหู่เวยอีก
ในเมืองแต่ละแห่งเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ แต่ละแห่งเต็มไปด้วยเสียงสังหาร แต่บรรยากาศที่นี่กลับผ่อนคลาย เพราะการรบถึงที่สุดแล้ว
ยามนี้ หวังทงตามหลี่หู่โถวกับถานปิงมา กำชับหนักแน่นว่า
“วังพวกนอกด่าน ไม่มีผู้รอดชีวิต!”