องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 770
บุกมาถึงหน้าประตูวังข่านพวกนอกด่านแล้ว การรบยังคงดำเนินต่อไป ทุกหน่วยรู้ว่าควรปฏิบัติการเช่นไร ไม่ต้องให้หวังงทงสั่ง
หัวหน้าหน่วยที่ 1 กับหน่วยที่ 2 หลี่หู่โถวกับถานปิงมาถึง ได้ยินที่หวังทงพูดก็อดอึ้งไม่ได้ หวังทงมองจ้องพวกเขากำชับหนักแน่นอีกรอบว่า
“ข้าพูดอีกรอบ ในวังข่าน ไม่มีผู้รอดชีวิต!!”
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องพูดรอบสอง แม้หลี่หู่โถวกับถานปิงไม่ใช่ว่าฉลาดที่สุด แต่วาจาหวังทงพวกเขาเข้าใจในทันที หลี่หู่โถวกับถานปิงรับคำนับรับคำสั่งหนักแน่นว่า
“รับคำสั่ง!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หัวหน้าหน่วยทั้งสองออกไปปฏิบัติการ ทหารนอกด่านในเมืองไม่น้อย แต่ในเมืองไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวของทหารม้า ที่จริงแล้วตอนทหารหมิงบุกเข้าเมืองมา ทหารนอกด่านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่บนหลังม้า ทหารราบนอกด่านไหนเลยจะสู้ทหารราบจี้โจวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารราบกองกำลังหู่เวย
ถนนทุกสาย ที่ทำการทุกแห่ง หรือแม้กระทั่งบ้านเรือนชาวบ้านที่เกิดเหตุปะทะ แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางต้านทานกำลังทหารกองนี้ได้แม้แต่น้อย
เมื่อเข็นปืนใหญ่ขึ้นบนกำแพงเมืองได้ และค่อยๆ คืบคลานเข้าพื้นที่ทุกประตูเมืองเรียบร้อย ก็เรียกได้ว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงตกอยู่ในความควบคุมทหารหมิงเรียบร้อยแล้ว งานที่ต้องดำเนินการถัดมาก็คือสังหารศัตรูทิ้ง
ในเมืองที่ไม่ใช่ชาวฮั่นก็มีราวหกส่วน แต่ส่วนใหญ่มาอาศัยในเมืองไม่นานนัก หลายคนมาพักกันแค่ฤดูหนาว ฤดูอื่นๆ ก็จะเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนกันบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเขาไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของเมืองนี้แต่อย่างใด
คนพวกนี้แม้รู้ว่าทหารหมิงเป็นทัพศัตรู แม้คิดอยากสู้กับทหารหมิงด้วยความกล้าหาญ แต่พวกเขากลับไม่มีความกล้าพอที่จะสู้กับทหารหมิงที่บุกเข้ามาในเมืองชุดนี้ สถานการณ์ถึงขั้นนี้ นักรบนอกด่านที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งก็ย่อมทิ้งเมืองหนีไปก่อน วันหน้าค่อยกลับมาสู้ใหม่
มีความคิดและวิเคราะห์เช่นนี้ การรบก็ย่อมไม่ทุ่มเทมาก ทหารที่คิดแต่จะหนีในการรบ จะไปรบชนะได้อย่างไร นับประสาอันใดกับส่วนใหญ่ยังเป็นชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนเผ่าต่างๆ
ในเมืองถูกทัพม้าหมิงกับทัพเมืองจี้โจวควบคุมพื้นที่ไว้หมดแล้ว หลายประตูเมืองยังมีปืนใหญ่คุมอยู่ ปืนใหญ่หันหน้าเข้าในเมือง ในเมืองไม่มีการต่อสู้ตามถนนหนทางของบรรดาทหารที่คิดเข้าปะทะอีก มีเพียงไล่ล่าและควบคุมพื้นที่เท่านั้น
มีทหารกองกำลังจี้โจวกองหนึ่งไปถึงหน้าวังข่าน หน้าวังข่านหลายประตูมีประตูแผ่นไม้ใหญ่ปิดแน่นหนา
ปืนกระสุนหกชั่งสี่กระบอกเรียงแถวหน้าประตู เตรียมพร้อมแล้วก็ยิงพร้อมกัน ไม้ประตูหนาไม่อาจต้านทานได้ บางทีด้านหลังอาจเอาไม้ค้ำยันหรือหาสิ่งใดกองอุดกั้นไว้ แต่เวลาสั้น ๆ ไม่อาจทำได้ทันการ
ประตูใหญ่แตกกระจุยล้มครืนไปด้านหลัง ทหารนักรบนอกด่านหากที่กำบังกันให้วุ่นวาย ประตูล้มลง ก็มีคนส่งเสียงร้องตะโกนดังลั่น ทหารนอกด่านรักษาประตูวังมีความกล้าสู้ตายมากกว่าทหารอื่นมากนัก กรูกันออกมาทันที สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ทันหนีไปหลบด้านหลังสิ่งก่อสร้างอีกแล้ว
พวกเขาใช้เพียงแค่ดาบและเลือดเนื้อเข้าปะทะขวางกั้นทหารหหมิงเอาไว้ เพื่อให้กำลังอื่นในวังได้มีเวลาเตรียมตัว พลธนูเริ่มยิง
แต่สนามรบยามนี้ไม่ใช้เวลาของการใช้อาวุธดาบเข้าประหัตประหารแล้ว เมื่อก่อนทหารหมิงใช้ปืน แต่ปืนในตอนนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นเพราะขี้ขลาดและไร้ความกล้าหาญแบบนักรบ มักจะถูกทหารม้าพวกนอกด่านบุกมาโจมตีถึงด้านหน้าได้ ยามนี้อาวุธปืนกลับเป็นอาวุธสังหารร้ายแรงได้
พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยในชุดเกราะชั้นดีอาจยิ่งทำให้ฮึกเหิมกล้าหาญ แต่ส่วนใหญ่บนสนามรบไม่ใช่หน้าที่พวกเขา หากเป็นปืนไฟกับปืนใหญ่เข้าจัดการ พวกเขาเพียงแค่เป็นด่านคอยป้องกันระวังให้พลปืนไฟเท่านั้น
หน้าประตูใหญ่วังข่านสู้กันดุเดือด พวกทหารนอกด่านเต็มเป็นด้วยความกล้าหาญบุกขึ้นมา ถูกกองปืนไฟชุดใหญ่แผงหนายิงถล่มแหลกกระจุย ทิ้งไว้เพียงร่างไร้ชีวิตกองอยู่ ได้แต่ถอยกลับ
พลปืนไฟอยู่ด้านหน้า พลทวนยาวอยู่ด้านหลัง ยังมีพลปืนใหญ่ตามมาพร้อมปืนใหญ่เล็กด้านหลัง การรวมตัวกันเช่นนี้ ทหารพวกนอกด่านในวังไม่ใช่คู่ต่อสู้เป็นแน่ ได้แต่ถอยไปทีละก้าว
ในวังกับในเมืองเริ่มมีเปลวไฟลุกหลายแห่ง ควันหนาปกคลุมไปทั่ว กลางวันถมคูโจมตีเมืองก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ยามนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
ควันกับความมืดทำให้ระยะการมองเห็นเริ่มเลือนราง แต่ความเลือนรางนี้ไม่ได้ทำให้พวกนอกด่านได้เปรียบอันใด การต่อต้านของพวกเขาไม่ได้ประโยชน์อันใดอีก
ทหารนอกด่านรักษาวังค่อยๆ ถอย พวกเด็ดเดี่ยวที่คิดสละชีพก็ค่อย ๆ ถูกจัดการไปทีละคน เริ่มล้มตาย เริ่มมีคนคุกเข่ายอมแพ้ วังข่านเท่ากับเป็นพื้นที่แทบถูกปิดตาย คิดจะหนีก็ไม่ได้ง่าย ทหารหมิงหลายพันเข้าปูพรมตรวจค้น บุกเข้ามาจนไม่มีที่ให้หลบพ้นความตาย
ทหารหมิงไม่ยอมรับการยอมแพ้ พวกที่คุกเข่ายอมแพ้กับโยนอาวุธทิ้งหรือยกธงขาวล้วนมีจุดจบเดียวกัน สังหารโดยไม่ไว้หน้า กองกำลังหู่เวยไม่เกรงกลัวพวกนอกด่านสู้ตาย เอาแต่สังหาร สังหารไปให้หมดก็พอ
บรรดาขุนพลทหารรายงานมาตามลำดับ สถานการณ์เลวร้าย ศัตรูยอมแพ้อาจเป็นแผนร้าย หากเราเมตตา อาจฉวยโอกาสที่เราเผลอทำให้พวกเราต้องเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็นได้ ขุนพลสูงสุดได้รับคำสั่งที่ง่ายและตรงไปตรงมาว่า ‘ในวังไม่มีผู้รวดชีวิต!’
ฟ้ามืดทั่วผืนฟ้าแล้ว นอกวังแต่ละแห่ง การต่อสู้ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น พวกที่คิดต่อสู้ พวกที่คิดหนีออกไปจากเมือง อาจจะอาศัยความมืดเร้นกายหลบหนีได้
แต่ในวังทางนี้ค่อย ๆ เงียบลง อากาศคละคลุ้งไปทั่วด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ละแห่งที่มีเปลวเพลิงลุกก็ถูกดับลงแล้ว
ซากศพที่กองเกะกะตามพื้น ทหารก็ลากไปรวมกันในตำหนักกลาง ทำให้ที่นี่แน่นขนัดไปหมด เห็นสภาพสิ่งก่อสร้างแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนวังของแผ่นดินหมิงย่อขนาด จากคำของคนนำทาง ที่นี่ปกติเรียกว่าตำหนักทองคำ ตอนนี้ดูแล้วช่างน่าขบขัน
“แม่ทัพใหญ่ หัวหน้าโจรนอกด่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงและลูกชายเซิงเก๋อตูกู่เหลิง เฉ่อลี่เข้อ ยังมีมเหสีสามและภรรยาน้อยของหัวหน้าโจรนี้อยู่ในตำหนักแล้ว เมื่อครู่ข้าน้อยเดากำลังในตำหนัก อย่างมากก็ 800”
ถานปิงรายงานเสียงนิ่ง รอบทิศของวังเริ่มจุดกองไฟขึ้น ทหารกองกำลังหู่เวยไม่น้อยถือคบไฟในมือสว่างรอบลาน หวังทงหามุมสูงขึ้นยืน ทหารติดตามรีบยกโล่ขึ้นกั้นรอบด้านอย่างแน่นหนา ในวังศัตรูหากมีผู้ใดยิงธนูมาจากความมืด ก็ย่อมยุ่งยาก
แม้ว่าแต่ละแห่งนอกเมืองวุ่นวาย เสียงสังหารยังคงดังต่อเนื่อง แต่สำหรับทหารหมิงยามนี้ ชัยชนะแน่นอนแล้ว ตอนนี้ปัญหาก็คือชัยชนะระดับใดเท่านั้น
รองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวกับหม่าหย่งหัวหน้าทหารม้าเมืองต้าถงมาถึงบริเวณวังข่านแล้ว คำนับหวังทงเสร็จก็ยืนรอข้าง ๆ หวังทงสังเกตเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าตื่นตระหนก แม้ว่าปกติคนพวกนี้จะเก็บท่าทีไว้ได้ แต่ตอนนี้เหมือนระงับท่าทีไม่อยู่
กลับเป็นขุนพลกับทหารกองกำลังหู่เวยที่รักษาท่าทีสงบเงียบได้มากกว่า ท่าทางนี้หวังทงเข้าใจดี ในวังข่านเป็นข่านพวกนอกด่าน ข่านผู้นี้ไม่ใช่หัวหน้าเผ่าคนไม่กี่พันกี่ร้อย แต่เป็นเจ้าผู้ครองกำลังทุ่งหญ้านอกด่านทั้งมวล ควบคุมฮ่องเต้แผ่นดินหมิงมาเกือบสามรัชสมัย ปล้นชิงมณฑลซานซี ตีไปถึงชานเมืองหลวงอย่างข่านเผ่าอันต๋า
ตั้งแต่ฮ่องเต้จูตี้ยกกำลังขึ้นปราบตอนเหนือมา แผ่นดินหมิงเคยได้รับชัยชนะเช่นนี้ที่ไหนกัน เหตุการณ์ฮ่องเต้อิงจงถูกจับเป็นเชลยในสงครามป้อมถู่มู่ พวกนอกด่านตีไปถึงชานเมืองหลวงหลายครั้ง ชายแดนถูกปล้นชิงโจมตี ทหารบาดเจ็บล้มตาย แผ่นดินถูกรุกรานมาเรื่อยๆ พวกนอกด่านลบหลู่แผ่นดินหมิงครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ 10 กว่าพระองค์ ที่พอเป็นหน้าเป็นตาได้ก็มีแต่การรบที่อิงโจวระหว่างฮ่องเต้อู่จงกับองค์ชายพวกนอกด่าน แต่ผลการรบก็คลุมเครือ ถูกปิดบังจนไม่กระจ่างชัด นอกจากนี้ บันทึกแห่งชัยชนะยังบอกว่าตัดหัวศัตรูไปได้ไม่กี่สิบ ตัดหัวได้สองสามร้อยก็เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะใหญ่แห่งประวัติศาสตร์แล้ว
แต่การรบนี้ ตั้งแต่ออกจากเมืองต้าถงมา เข้ารบโรมรันบนพื้นที่ศัตรูและยังเป็นศัตรูที่มีกำลังแข็งแกร่งได้เปรียบกว่าตนเอง ทำศึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกัน สุดท้ายถึงกับตีเมืองศัตรูมาได้ เข้ามาล้อมวังศัตรูได้
ในฐานะขุนพลทหาร ล้างแผ่นดินสังหารเจ้าผู้ครองได้ ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด ตัดหัวสองสามหมื่นเรียกได้ว่าเรื่องเล็กไปเลยทีเดียว มีชัยเหนือศัตรูเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ลำดับถัดมาก็คือจับตัวท่านข่านผู้เป็นใหญ่ของพวกนอกด่าน นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ระดับใดกัน
ทุกคนต่างไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นของตนได้อยู่สักหน่อย แต่พวกเขาอย่างไรก็เป็นขุนพลนำทหาร ยังต้องระลึกว่าต้องรอบคอบตรวจตรารอบๆ พวกเขาให้ทหารเพียงแค่ล้อมอยู่ไกล ปืนใหญ่กำลังถูกลากมาตั้งอยู่หน้าตำหนักหลัก
“เมื่อครู่ข้าได้สอบปากคำเชลยผู้หนึ่งก่อนตาย บอกว่า อ๋องซุ่นอี้ พระมเหสีและองค์ชายองค์หนึ่งถูกคนชั่วควบคุมตัวไว้ เกรงว่าคงสิ้นแล้ว ตอนนี้ในตำหนักหลัก ก็แค่พวกกองโจรม้าที่ปลอมตัวเป็นพวกอ๋องซุ่นอี้เท่านั้น เพื่อแก้แค้นให้อ๋องซุ่นอี้ เพื่อป้องกันทหารเราบาดเจ็บล้มตาย ข้าตัดสินใจจะใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มที่นี่ให้ราบ!”
หวังทงกล่าวจบกำลังจะโบกมือเป็นสัญญาณ รองแม่ทัพหยางจิ้นข้าง ๆ ก็ไม่สนใจตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้น้อย หากส่งเสียงดังรีบขี่ม้าเข้ามาใกล้ กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“แม่ทัพใหญ่ นำตัวหัวหน้าพวกนอกด่านส่งไปเป็นเชลยบรรณาการที่เมืองหลวง ฮ่องเต้ย่อมดีพระทัยใหญ่ แม่ทัพใหญ่ย่อมมีความดีความชอบสูงส่ง หากตายไป ถวายศีรษะ……”
“เหลวไหล ส่งคนเป็นๆ ไปเมืองหลวง หัวหน้าเชลยนี้ยังได้ชื่อว่าอ๋องซุ่นอี้ พวกขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงที่อ่านตำราจนหัวสมองช้าย่อมต้องแหกปากไม่หยุด สร้างความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น หากยังมีโอกาสได้ฟื้นคืน พวกเราลำบากเดินทัพมาไกล เสียสละทหารไปมากมายใช่ว่าสูญเปล่าหรือ สังหารให้สิ้นจึงหมดสิ้นเสี้ยนหนามแท้จริง!”
ถูกหวังทงตอกหน้ากลับ หยางจิ้นไม่รู้สึกโมโห หากอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า ในตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนร้องดังมาจากในวัง จากนั้นปืนไฟก็กระหน่ำยิง มีคนด้านในคิดบุกออกมาจริงๆ ถูกยิงให้ล่าถอยกลับไป
“ไฟไหม้ๆ พวกนอกด่านจุดไฟเผาจากด้านในแล้ว!!”
มีทหารร้องตะโกน หวังทงมองไปทางวัง ด้านในมีควันพวยพุ่งออกมา เขายิ้มเย็นยกมือขึ้น