องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 772
“คนผู้นี้ตอนมาสวามิภักดิ์เฉ่อลี่เข้อ มีท่าทีปิดๆ บังๆ ต่อมาข้าน้อยรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสงสัย ย่อมต้องเป็นภัยต่อแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงใช้เงินก้อนโตซื้อคนของเฉ่อลี่เข้อ สืบได้ความมาว่าคนผู้นี้เป็นนักโทษแผ่นดินหมิง เป็นญาติสนิทขันทีใหญ่ในวังผู้หนึ่ง……”
หนิวเกินกังกล่าวอ้างคุณธรรมหนักแน่น ใช้เงินซื้อคนขององค์ชายมาได้ สถานะระดับใดในเผ่าอันต๋า ทุกคนย่อมรู้ดี
หวังทงอึ้งไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยหัวเราะถามว่า
“หรือว่าคนผู้นี้ก็คือหลินซูไฉ?”
ครั้งนี้ทำเอาหนิวเกินกังอึ้งไป ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยตอบว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยไม่รู้ว่าคนผู้นี้ชื่ออันใด รู้แต่คนสนิทรอบตัวคนแซ่หลินนี้เรียกเขาว่า ท่านสาม”
หวังทงหัวเราะดังลั่น ตบแขนพักเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า
“มาไม่เสียแรงเลย นำตัวมา นำตัวมาให้ข้าดูหน้าหน่อย!!”
ถานเจียงข้างๆ คำนับรับคำสั่ง ออกไปนอกกระโจม คนร้ายระดับนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้พ่อค้าที่มาสวามิภักดิ์ในวังตีเมืองได้เช่นนี้นำตัวเข้ามาเอง
ไม่นาน ทหารติดตามหวังทงก็คุมตัวชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในกระโจม ชายผู้นั้นสูงใหญ่ รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้า ผิวหนังหย่อนยาน ดูแล้วน่าเกลียดมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้จ้องมองหนิวเกินกังที่คุกเข่าอยู่ที่ฟื้นอย่างโกรธแค้น พอหันไปเห็นหวังทงนั่งอยู่ก็อึ้งไปทันที ตามมาด้วยท่าทางหวาดกลัว จากนั้นก็ร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นทันที
แม้ว่าทหารร่างกายกำยำสองคนกุมตัวไว้แน่ และเขายังถูกเชือกมัดไว้แน่นหนา แต่ก็สลัดหลุด ปล่อยให้เขาก้าวขึ้นหน้ามาได้สองก้าวในทีแรก ทหารด้านหลังรีบปรี่เข้ามา จับตัวกดลงพื้น จึงควบคุมตัวเอาไว้ได้
การเคลื่อนไหวไม่เบา ทหารด้านนอกตกใจถือดาบวิ่งเข้ามา หวังทงโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ชายวัยกลางคนผู้นั้นคำรามอยู่บนพื้นว่า
“หวังทง เจ้าสุนัขชั่ว ข้าจะกินเนื้อเจ้า จะดื่มเลือดเจ้า……”
“ท่านสาม กล่าวเช่นนี้มีประโยชน์อันใด รอให้กลับถึงเมืองหลวง ถูกดาบฟันเป็นหมื่นชิ้น เลือดเนื้อเจ้าก็เอาไปเลี้ยงสุนัข ยังเป็นสุนัขพันธุ์ทางเมืองหลวงด้วยนะ”
หวังทงลุกขึ้นเดินไปหน้าหลินซูไฉ จ้องมองเขาส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ไฉฝูหลิน คหบดีชนชั้นสูง เป็นเจ้าอ้วนหนักสองร้อยชั่ง ดูท่าแล้วดินน้ำที่ตอนเหนือนี้คงไม่สู้เมืองหลวงเรา เจ้าผอมไปหลายสิบชั่งกระมัง!?”
ผิวหนังหย่อนยาน เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เห็นได้ว่าผอมลงไปมากจริงๆ เขากัดฟันแน่นจ้องมองหวังทง หวังทงกลับยิ้มให้
ลัทธิไตรสุริยัน สำนักไตรสุริยันฟ้าดิน ตั้งแต่เจ้าจินเลี่ยงตอนตนเอง หวังทงก็เก็บความแค้นนี้ไว้ด้วย สองฝ่ายต่อสู้กันมา หวังทงย่อมเป็นฝ่ายคุณธรรม ใช้วิธีการสร้างแรงกดดันบีบบังคับจนค่อยๆ รุกทำลายลัทธิไตรสุริยันหลายรูปแบบ สุดท้ายสะเทือนทั่วเมืองและในวัง เกิดเหตุสังหารสลด จึงเรียกได้ว่าปราบปรามลัทธิมารลงได้อย่างแท้จริง
แต่จากอีกมุมมองหนึ่ง หลินซูลู่ใช้สถานะขันที เข้าใกล้ชิดไทเฮา ขุนนางราชสำนัก ขุนนางบู๊ ชนชั้นสูงและคหบดีใหญ่ ไปจนถึงระดับชาวบ้าน อาศัยจังหวะลงมือ สุดท้ายเกือบลงมือสำเร็จ เรียกได้ว่าน่าตกใจพอสมควร
แต่หลินซูลู่ตายในวัง หลินซูฝูตายตามไป หลินซูไฉก็คือไฉฝูหลินที่ลอบหนีออกนอกด่านมาผู้นี้ มาขอสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายนอกด่าน
ตามรูปแบบที่เป็นมาของแผ่นดินหมิง ไฉฝูหลินผู้นี้ควรจะได้แก่เฒ่าตายที่เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้แล้ว แต่ผู้ใดคงคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถึงกับปฏิบัติการอันน่าตกใจเช่นนี้ได้ นำทหารออกนอกด่านบุกมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง สังหารข่านเผ่าอันต๋าก็เท่ากับทำลายเผ่าอันต๋าลงได้แล้ว คาดว่าเมื่อวานถึงเช้าตรู่ ไฉฝูหลินผู้นี้ไม่ได้คิดจะหลบหนี มาจนถึงบัดนี้
หวังทงก้มตัวลงตรงหน้าไฉฝูหลิน จ้องมองไฉฝูหลินแววตาเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดคุกรุ่น ถามน้ำเสียงเรียบขึ้น
“เจ้ายังจำเมื่อหกปีก่อนได้ไหม ถนนทักษิณมีครอบครัวหนึ่ง ตอนปีใหม่ สามีภรรยาฆ่าตัวตาย ลูกชายวัยห้าขวบตัดสินใจตอนตนเองเพื่อล้างแค้นครั้งนี้”
ไฉฝูหลินที่ท่าทางราวกับกินเลือดกินเนื้อมาแต่ต้น คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา ถึงกับอึ้งไป เรื่องเจ้าจินเลี่ยงพวกนั้นแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เขาจะไปรู้เรื่องราวเบื้องลึกได้อย่างไร
เห็นสีหน้าสงสัยของเขาแล้ว หวังทงอยู่ ๆ ก็กระชากผมของไฉฝูหลินดึงขึ้น ก่อนจะกดลงไปอย่างแรง
แม้ว่าพื้นในกระโจมปูด้วยพรมขนสัตว์ แต่ด้านล่างก็ยังคงเป็นพื้นที่หนาวเหน็บเป็นน้ำแข็ง หวังทงเป็นทหารมานาน มือย่อมมีกำลังมาก ไฉฝูหลินอยู่ ๆ ถูกกระชากขึ้น จากนั้นก็กดลงที่พื้นอย่างแรง
หวังทงดึงผมเขาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าไฉฝูหลินถูกกระแทกจนอาบไปด้วยเลือด สายตาที่มองหวังทงเริ่มฉายแววหวาดกลัว
“แน่นอนว่าเจ้าจำการตายของครอบครัวสามชีวิตไม่ได้ แน่นอนเจ้าจำไม่ได้ว่าเด็กน้อยคนหนึ่งต้องตอนตนเองอย่างไร แน่นอนเจ้าจำบรรดาคนที่ถูกลัทธิไตรสุริยันทำร้ายจนตายไม่ได้……”
พูดจบ หวังทงก็พ่นลมลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนจะก้มลงมองไฉฝูหลินอย่างรังเกียจกล่าวว่า
“พอถึงเมืองหลวง จะลงโทษตามกฎหมาย ตอนสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้นค่อยๆ คิดก็ได้ ได้ยินว่าสามวันสับไม่หมด คืนแรก คืนสอง ยังป้อนน้ำโสมให้เจ้าด้วย นำตัวไป เฝ้าให้ดี อย่าให้เขาคิดสั้นได้!”
ทหารรับคาสั่งลากตัวออกไป กำลังจะออกไปตอนนั้นเอง ปากไฉฝูหลินกำลังพึมพำสาปแช่ง เสียงค่อยๆ เบาลง ตอนกำลังพ้นประตู ไฉฝูหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนดังว่า
“หวังทง ไม่สิ ใต้เท้าหวัง ไม่สิ แม่ทัพใหญ่ ไว้……ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยยอมมอบเงินสามแสนสองหมื่นตำลึงให้แก่แม่ทัพใหญ่……ไว้ชีวิตข้าน้อย……”
พอออกไปนอกกระโจม น้ำเสียงก็เริ่มแหบ หวังทงในกระโจมได้ยินเสียงตะโกนแหบพร่าของไฉฝูหลินร้องขอชีวิต สุดท้ายยังได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้า ข้าน้อยขอเพียงตายไม่ทรมาน……’
“เจ้าตัวตลก!”
หวังทงยิ้มแค่นเสียงเยียบเย็น ด้านนอกไม่ได้ยินเสียงร้องขอไว้ชีวิตของไฉฝูหลินอีก หวังทงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามที
ด้านนอกไม่ได้เงียบสงบ หวังทงอยู่ ๆ รู้สึกว่าตนเองเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ลัทธิไตรสุริยันเป็นเรื่องที่ตนติดตามมานานหลายปี จับตัวไฉฝูหลินผู้นี้ได้ก็เหมือนว่าจบคดี แต่มาถึงวันนี้ ไฉฝูหลินกับตนเองนั้นไม่ใช่คนระดับเดียวกันอีกแล้ว ลงมือกับไฉฝูหลินเหมือนว่าบี้มดบี้แมลงตาย แต่อย่างไรก็นับว่าจบแล้ว
พวกหนิวเกินกังที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นมาแต่ต้นเริ่มรู้สึกบรรยากาศไม่ถูกต้องแล้ว ในกระโจมมีทหารยืนอารักขาน่าเกรงขาม พวกเขาย่อมไม่กล้าส่งเสียงดัง
เงียบไปไม่นาน หวังทงก็ตบต้นขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าตามจับเจ้าหมอนี่มานาน คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หนิวจะจับได้แทน เถ้าแก่หนิวมีใจภักดีแผ่นดินหมิงและยังช่วยเหลือแผ่นดินหมิงขจัดภัย ข้าจะจดจำไว้ และจะทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมพระราชทานรางวัล”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หนิวเกินกังก็หัวไว โขกศีรษะอย่างแรง ก่อนจะรีบกล่าวตามมาว่า
“ข้าน้อยใช้ชีวิตในดินแดนศัตรูมาหลายปี ถูกกดขี่เหยียดหยามรังแกมาตลอด คิดแต่จะกลับไปแผ่นดินเกิดแต่ก็ไม่อาจทำได้ดังหวัง วันนี้ได้พบแม่ทัพใหญ่ ได้รับการดูแลจากแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล อยากจะมอบชีวิตนี้ให้เพื่อตอบแทนๆ !”
พูดได้ซาบซึ้งกินใจ ยังมีเสียงสะอื้นเล็กๆ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างไว้หน้ากันก็แค่นั้น
หวังทงยิ้มพยักหน้า เอ่ยชมว่า
“เถ้าแก่หนิวจงรักภักดีเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ ในเมืองกุยฮว่าเฉิงมีประชากรเกือบสองแสน ไม่นับชาวนาที่ทำนา ในเมืองมีพ่อค้าราวเจ็ดหมื่น ตอนข้าอยู่แผ่นดินหมิงได้ยินว่าชาวบ้านที่เมืองกุยฮว่าเฉิงแบ่งเป็นสี่ระดับ ชาวฮั่นเป็นลำดับสาม นอกเมืองชาวนาเป็นลำดับสี่ ไม่ทราบว่าชาวฮั่นระดับสามสี่นี่ให้ความเคารพผู้ใดที่สุด? ปกติผู้ใดคอยออกหน้าให้พวกเขากัน?”
ขณะหวังทงถาม สายตาก็มองไปยังบรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ราวสิบกว่าคนตรงหน้า ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ หากในเมืองทำการค้ากันก็ย่อมเป็นชาวฮั่นสิบกว่าคนตรงหน้านี้นั่นเอง สามารถมีหน้ามีตามาพบหวังทงได้ พวกเขาล้วนเป็นชาวฮั่น ย่อมเป็นระดับแกนนำในเมือง
ในเมื่อถามเช่นนี้ เมื่อครู่ยังได้รับคำชมจากหวังทง หนิวเกินกังเองจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยพอมีหน้ามีตาในหมู่ชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงแห่งนี้ ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้นำ แต่ก็เรียกได้ว่าทุกคนรู้จัก”
“วันนี้ข้าเข้าเมืองมาจึงได้รู้ว่า เมื่อวานพวกนอกด่านรบแพ้กลับมา ในเมืองเกิดเหตุสังหารปล้นชิง ชาวฮั่นตายอนาถไปมาก ทรัพย์สินก็ถูกทำลายไปมาก เรื่องพวกนี้ชาวฮั่นคิดเช่นไร?”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงอยู่ๆ ถามเช่นนี้ หนิวเกินกังอึ้งไป ชายร่างอ้วนดำข้างๆ เขารีบโขกศีรษะกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ไม่เพียงแต่ราษฎรถูกปล้นอนาถ แม้แต่พวกข้าน้อยเองที่ปกติมีหน้ามีตาอยู่บ้างก็ยังถูกปล้นทำลายทรัพย์สินไปด้วย พี่น้องข้าน้อยมีร้านค้าอยู่ตอนเหนือของเมืองก็ถูกเผาตายทั้งเป็น ทั้งครอบตัวเหลือแค่ผู้หญิงคนเดียว ยังถูกย่ำยีจนเสียสติ ข้าน้อยมีตำแหน่งอยู่ในหมู่ชาวนอกด่าน ยังถูกกระทำเช่นนี้ คนอื่นๆ ในสายตาพวกนอกด่านก็ไม่ต่างกับสุกรสุนัข ดีที่แม่ทัพใหญ่นำทัพมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นแม้ข้าน้อยต้องทนกัดจนฟันแตกสลายก็ไม่รู้ว่าจะแก้แค้นเอาคืนพวกนอกด่านนี้ได้อย่างไร ข้าน้อยรู้สึกเช่นนี้ ราษฎรชาวบ้านก็ย่อมอยากจะลอกหนังพวกนอกด่านทิ้ง จับมาหักกระดูก ดื่มเลือด มีไม่น้อยที่รู้จักกันร้องขอให้ข้าน้อยต่อสู้กับพวกนอกด่าน ทหารหมิงเข้าเมืองมา ข้าน้อยก็ส่งคนไปนำทาง และยังส่งสุราอาหารไปดูแล แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยกับชาวบ้านในเมืองต่างเจ็บแค้นพวกนอกด่านเข้ากระดูก แม่ทัพใหญ่เข้าเมืองมาช่วยเหลือ ช่างเป็นดังพุทธะมีชีวิตเสียจริง!!”
วาจาเขากล่าวได้เร็วและเร่งรีบ ราวกับว่าเป็นสำเนียงชาวส่านซี กัดฟันกล่าวจนจบ หนิวเกินกังสีหน้าไม่ดีนัก แต่กลับทำให้หลายคนส่งเสียงขึ้น ทุกคนพากันส่งเสียงตอบรับ แต่ละคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด่าทอไม่หยุด
ทหารติดตามหวังทงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง จึงได้พากันเงียบลง สายตาหวังทงยินดียิ่ง สีหน้าเป็นการเป็นงานส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า
“ชาวบ้านบริสุทธิ์ ชาวบ้านประสบภัย พวกนอกด่านถึงกับทำตัวเป็นดังสัตว์ป่าเช่นนี้ได้ ทำเรื่องน่ารังเกียจที่น่าโมโหเช่นนี้ได้ น่าแค้นใจยิ่ง!!”
หวังทงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“หรือว่าราษฎรจะยอมรับกรรมเช่นนี้ไป?”