องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 773
หวังทงถามออกไป ทุกคนเงียบครู่หนึ่ง พ่อค้าใหญ่พวกนี้แม้ว่าอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับขุนนางบนแผ่นดินหมิงไม่น้อย ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ แม้ว่าจะหวาดหวั่น แต่ไม่ว่าแม่ทัพถามอันใด ตนเองก็ตอบไปตามนั้น ล้วนเป็นระเบียบปฏิบัติ ตอบตามที่ถามย่อมไม่ผิดพลาดอันใด
นับประสาอันใดกับแม่ทัพใหญ่วัยหนุ่มอายุน้อยที่ทำการใดก็เดาทางไม่ถูกผู้นี้ อยู่ ๆ ถามเช่นนี้ ชาวฮั่นที่คุกเข่าอยู่ก็รู้สึกงงอยู่บ้าง ไม่กล้าตอบ
หนิวเกินกังลังเลครู่หนึ่ง เขาคิดเอาเองว่าตนเองเป็นชาวฮั่นลำดับหนึ่งในเมือง ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงเปลี่ยนผู้นำเซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับเฉ่อลี่เข้อตายไป จากนี้หากต้องหาทางรักษาสถานะตนเองไว้ให้ได้ ก็ย่อมต้องสานสายสัมพันธ์ชนชั้นสูงผู้นี้ วาจาหวังทงเขาคิดไปเองว่าเข้าใจ จึงรีบตอบไปว่า
“แม่ทัพใหญ่วางใจได้ ราษฎรล้วนรู้งาน ตอนนี้ในเมืองสงบแล้ว พวกเขาย่อมเชื่อฟังการจัดการของแม่ทัพใหญ่”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หันไปถามชายร่างอ้วนดำที่กล่าววาจาออกมาตรงไปตรงมาผู้นั้นว่า
“เถ้าแก่หูทำการค้าเครื่องหนังที่นี่มาราวสิบห้าปีแล้ว นับว่าเป็นคนในพื้นที่แล้ว ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไร?”
ชายที่คุกเข่าพากันอึ้งไป เดิมคิดว่าหวังทงมาที่นี่ครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าถึงกับรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี เมื่อครู่ไมได้แนะนำตัวเองกันแต่อย่างใด หากหวังทงกลับตะโกนเรียกชื่อและการค้าออกมาได้
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเถ้าแก่หูดูเหมือนเป็นผู้ประสบเหตุตอนพวกนอกด่านเข้าปล้นชาวฮั่นหนักไม่น้อย เขาย่อมไม่ทันสังเกตว่าหวังทงเรียกชื่อเขา และไม่คิดอันใดมาก กลับมองจ้องหนิวเกินกังด้วยความโมโห หวังทงถาม เขาไม่ได้ยิน เป็นคนด้านหลังที่สะกิด เขาจึงได้สติ
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เถ้าแก่หูก็กัดฟันกรอดกล่าวว่า
“จะให้ชาวบ้านในเมืองทนได้อย่างไร ตอนนั้นมีคนไม่น้อยหนีโรคระบาดจากซานซีมาที่นี่ พอมาถึง รู้ว่าไม่ใช่แผ่นดินเกิด ไม่ว่าเจอเรื่องใดก็ต้องอดทน อดทนและอดทน บางทีอีกฝ่ายอาจมีเมตตาให้บ้าง ผู้ใดจะคิดว่าพอถึงตอนฆ่าก็ฆ่าทิ้ง ตอนปล้นก็ปล้นเอาไป เมื่อคืนวาน ครอบครัวใดบ้างไม่มีญาติถูกทำร้าย ครอบครัวใดบ้างไม่อยากสู้ด้วยชีวิต แม่ทัพใหญ่สังหารพวกนอกด่านไปมากมายเพียงนั้น พวกข้าน้อยสะใจยิ่ง แต่ในเมืองก็ยังมีชาวนอกด่านอยู่อีกมาก มีไม่น้อยที่ปล้นชิงวางเพลิงเมื่อวานนี้ เจ้าเดรัจฉานมือเปื้อนเลือดพวกนั้น ขอใต้เท้าออกหน้าแทนพวกเราด้วย!!”
กล่าวจบก็โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง ยังไม่ทันรอให้หนิวเกินกังกล่าวอันใด ด้านหลังก็มีคนรับคำกล่าวตามว่า
“พวกนอกด่านนอกจากดื่มสุราร่อนเร่ไปมา ไม่ทำงานทำการอันใดสักอย่าง เราชาวฮั่นทนลำบากลำบนทำงาน สร้างครอบครัว เมืองนี้เป็นเมืองพวกนอกด่านสร้างขึ้น แต่พวกเราชาวฮั่นมาใช้ชีวิตที่ดีกว่าพวกเขาที่นี่ พวกเขาก็ย่อมโกรธแค้นพวกเราชาวฮั่น เมื่อวานก็เหิมเกริมกระทำการตามอำเภอใจ ทำร้ายชาวฮั่นเรา ตอนนี้จะทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น จะได้อย่างไร พี่น้องเราเมื่อวานตายไปอยู่บนสวรรค์จะสงบได้อย่างไร!”
“ขอแม่ทัพใหญ่ออกหน้าจัดการด้วย!!”
“ขอแม่ทัพใหญ่ผดุงความเป็นธรรมให้ชาวฮั่นเราในเมืองด้วย !!”
หนิวเกินกังรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว มองสีหน้าหวังทงยิ่งยินดีมากขึ้น เขาจึงได้กล่าวตามน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“แม่ทัพใหญ่ จวนด้านนอกอีกหลังของข้าน้อยเมื่อวานก็ถูกพวกนอกด่านทำลาย ร้านค้าก็ถูกปล้นชิงไปสองร้าน แม่ทัพใหญ่ออกหน้าให้พวกข้าน้อยด้วย ขอให้ความเป็นธรรมแก่ชาวฮั่นในเมืองด้วย!”
บรรยากาศในกระโจมอยู่ ๆ เริ่มคึกคักขึ้น หวังทงเก็บรอยยิ้ม ยืนขึ้นกล่าวว่า
“ทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นราษฎรแผ่นดินหมิง ถูกพวกนอกด่านทำร้ายรังแก จะให้ข้าทนได้อย่างไร เมื่อคืนวานต้องประสบเหตุน่าสลดใจ ยิ่งไม่อาจทนได้ เรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดมาถึงที่นี่ก็ต้องออกหน้าให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่าน!!”
ทุกคนพากันโขกศีรษะขอบคุณ ชุลมุนกันสักพัก หวังทงก็แสดงสีหน้าลำบากใจกล่าวว่า
“แม้กล่าวว่าจะออกหน้าให้ความเป็นธรรม แต่ทหารเราก็มีจำกัด ต้องทั้งป้องกันทั้งปราบปราม การจะออกหน้าให้ความเป็นธรรมเกรงว่ากำลังคนไม่พอ!”
ทุกคนสีหน้าเริ่มผิดหวัง หวังทงก็กล่าวต่อว่า
“ความยุติธรรมอย่างไรต้องมี ราษฎรถูกกระทำ ย่อมต้องให้พวกเขาชดใช้ พรุ่งนี้ขอให้ทุกท่านเป็นแกนนำ นำราษฎรชาวฮั่นไปทวงความเป็นธรรมจากพวกสัตว์ป่าชั่วร้ายพวกนั้น!”
ทหารไม่เข้ายุ่ง ให้ราษฎรนำราษฎรไปจัดการเอง พ่อค้าทุกคนที่นั่นเป็นคนฉลาด พอได้ยินก็ย่อมไม่ยินยอม ในใจแต่ละคนผิดหวัง หากสีหน้าย่อมไม่แสดงออก มีเพียงเถ้าแก่หูที่โขกศีรษะรับคำ กัดฟันกรอดเตรียมตัวออกไปรวบรวมคนไปจัดการ
สีหน้าคนที่นั้นล้วนอยู่ในสายตาของหวังทง เขายิ้มกล่าวว่า
“เมื่อครู่ได้ฟังทุกท่านว่ามา พวกนอกด่านในเมืองโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้ความเป็นคน มักจะรังแกปล้นชิงชาวฮั่นในเมือง การทวงความยุติธรรมนี้ ทรัพย์สมบัติก่อนหน้าย่อมคืนสู่เจ้าของเดิม ทุกคนไม่ต้องเป็นกังวล หากพวกนอกด่านยังกล้าต่อต้าน ทหารทางการย่อมยื่นมือเข้าจัดการ”
กล่าวจบ ในกระโจมก็เงียบไปครู่หนึ่ง บรรดาคนที่คุกเข่าไม่สนใจสถานะหรือมารยาทอันใดกันแล้วยามนี้ พากันมองหน้ากันไปมา ที่หวังทงว่ามา ความหมายโดยนัยนั้นพวกเขาไม่กล้ามั่นใจ มีคนใจกล้ามองสีหน้าหวังทง จึงได้มั่นใจทันที
สายตาทุกคนเริ่มฮึกเหิม ทวงทรัพย์สินคืน เห็นชัดว่าอนุญาตให้ทุกคนแย่งคืนมาได้ตามสบาย แย่งคืนมาได้ก็เป็นของตนดังเดิม หากเจอเหตุอันตราย ทหารจะเข้าช่วยเหลือ
นี่เป็นเรื่องดีอย่างมาก เมื่อครู่รู้สึกเสี่ยงภัยไม่อยากไปทำ แต่ตอนนี้ทุกคนคิดแต่จะไปแย่งคืนมา หากรวบรวมคนได้ยิ่งมาก ของที่แย่งคืนมาก็ยิ่งมาก ทรัพย์สินก็ยิ่งทวีคูณ มีคนฉลาดคิดต่อได้ว่า หากตนเองรวบรวมคนได้มากพอ ออกหน้าช่วยทวงความยุติธรรมให้ทุกคนได้ ทุกคนก็ย่อมยกให้ตนเป็นหัวหน้า ทหารที่เข้าครองพื้นที่ย่อมต้องกลับไป คนของตนเองยิ่งมาก วันหน้าก็จะได้ประโยชน์จากพื้นที่ยิ่งมาก
ขุนนางแผ่นดินหมิงที่พวกเขาเคยคบค้าสมาคมด้วย คนพวกนั้นไม่กล้ารับผิดชอบอันใด ไม่อยากให้ชาวบ้านมีกำลังอันใด หรือถึงขั้นไม่อยากให้ชาวบ้านได้ประโยชน์อันใด คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่หนุ่มน้อยทำงานเปิดเผยเปิดทางเช่นนี้ อยากให้ทุกคนได้มีเงินมีทองกัน
หลังจากความยินดีผ่านไป ก็มีคนเริ่มได้สติ ปล้นชิงทรัพย์สินในเมือง ไม่ต้องลงทุนลงแรงอันใด ตนเองจะร่ำรวยคนเดียวได้อย่างไร ทำเช่นนี้เรียกได้ว่าทำงานไม่เป็น
ยามนี้หนิวเกินกังจึงได้แสดงให้เห็นว่าเหตุใดการค้าเขาจึงทำได้ยิ่งใหญ่ เขาคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวเสียงดังว่า
“แม่ทัพใหญ่ รอให้พรุ่งนี้ข้าทวงของคืนมาได้ก่อน ขอมอบสามส่วนให้แก่กองทัพ ตอบแทนแม่ทัพใหญ่ที่เมตตาช่วยเหลือ!”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ได้สติคิดได้ โมโหตัวเองที่คิดได้ช้ากว่า เจ้าก็โขกศีรษะ ข้าก็โขกศีรษะ ผู้นี้บอกสามส่วน ผู้นั้นย่อมบอกสี่ส่วน สุดท้ายมีคนตะโกนว่าหกส่วน
ของที่แย่งชิงคืนมาได้ ไม่ลงแรงอันใดมาก มีคนคิดไปถึงขั้นจะสานสายสัมพันธ์ใต้เท้าผู้นี้ ย่อมนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมาย มอบให้หวังทงหมดก็ไม่เห็นแปลก
ดีที่ในยามนี้หวังรีบเอ่ยขึ้น เขายิ้มกล่าวว่า
“พวกนอกด่านปล้นชิงของทุกท่านกับของราษฎร ข้าไม่ได้เกี่ยวอันใดด้วย หากข้ารับไว้ ใช่ว่าเป็นเรื่องน่าละอายหรอกหรือ ทุกท่านไปดำเนินการเถิด มีอันใดก็มาหาข้าได้ ทหารหมิงเราย่อมออกหน้าให้ชาวหมิงเราแน่นอน”
ทุกคนแม้ไม่รู้ว่าหวังทงพูดจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องโขกศีรษะขอบคุณ หวังทงกล่าวว่า
“อู้เหลียงฮาและเผ่าเล็กอื่น ปกติอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิงถูกพวกเผ่าอันต๋ารังแก อันนี้ต้องยกเว้น หากปกติช่วยเหลือพวกนั้นรังแกเราก็ย่อมต้องจัดการให้หนัก หากเป็นพวกถูกรังแกเหมือนกัน เช่นนี้ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวหมิงเรา ทุกคนจำให้ดี!”
พวกหนิวเกินกังอย่างไรก็ต้องรับคำ เห็นว่าสายมากแล้ว ลองคิดดูตั้งแต่หวังทงเข้าเมืองมายังไม่ได้พัก จัดการการงานไม่ได้หยุด ทุกคนก็ขอตัวกลับ
“หนิวเกินกัง พานเซิ่งไฉ เถียนต้าเชียน …ทุกท่านอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
หวังทงเรียกชื่อสองสามชื่อ ที่เหลือก็ออกนอกกระโจมไป คนที่ถูกเรียกตัวไว้เริ่มงง ไม่รู้ว่าเรียกตัวไว้เพื่อการใดกัน
พอทุกคนออกไป หวังทงกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ยิ้มให้หนิวเกินกังกล่าวว่า
“เถ้าแก่หนิวบอกว่าท่านเองก็ได้ความเสียหาย ข้าได้ยินว่าท่านมีกำลังผู้คุ้มกันนับพันพร้อมม้าและอาวุธดาบ พวกนอกด่านไม่มีตามองหรืออย่างไร ถึงกับกล้าแตะต้องกิจการเถ้าแก่หนิวได้?”
ทุกคนเดิมยืนอยู่ แต่พอหนิวเกินกังได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ อยู่ ๆ ก็เข่าอ่อนอย่างไรสาเหตุ ยืนทรงตัวไม่อยู่ ทรุดตัวลงคุกเข่าทันที อึ้งไปนานก่อนจะอธิบายกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเลี้ยงดูคนพวกนี้ไว้ ก็เพื่อ……เพื่อป้องกันตนเองจากกองโจรม้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน ไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งพวกนอกด่าน ขอแม่ทัพใหญ่พิจารณาด้วย ขอแม่ทัพใหญ่พิจารณาด้วย…”
“ผู้คุ้มกันของท่านพวกนี้เจ็ดส่วนเป็นชาวฮั่น สามส่วนมาจากเผ่าอื่น ไม่มีคนเผ่าอันต๋า คนพวกนี้มีเจ็ดส่วนอยู่โรงเลี้ยงสัตว์กับโรงบ้านนอกเมือง ใช่หรือไม่?”
หนิวเกินกังคิดไม่ถึงว่าหวังทงถึงกับรู้ละเอียดเช่นนี้ได้ หนิวเกินกังยังมีตำแหน่งนายกองพัน พวกนอกด่านไม่ค่อยมีตำแหน่งลอยๆ คิดจะเป็นนายกองพันก็ย่อมต้องมีทหารในมือพันนายออกรบได้ รุ่นบิดาหนิวเกินกังออกรบกับข่านเผ่าอันต๋าองค์แรก ในมือย่อมมีกำลังทหาร
ในพื้นที่พวกนอกด่าน กองกำลังเช่นนี้มักเป็นกำลังส่วนตัวที่สืบทอดต่อมา หนิวเกินกังเองก็เช่นกัน เพราะเขาเป็นชาวฮั่น เผ่าอันต๋าแบ่งระดับชนชั้น แต่ตระกูลเขานั้นรับใช้มานาน การค้าก็ยิ่งใหญ่ ในยามสงบสุข พวกนอกด่านย่อมทำอันใดเขาไม่ได้
หนิวเกินกังรู้ว่าตนเองในตอนนี้ มีกำลังป้องกันมาก ลูกน้องเขาล้วนเป็นชาวฮั่นตอนเหนือ ยังมีกำลังชายฉกรรจ์จากพวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋า กองกำลังเช่นนี้ย่อมไม่ถูกพวกนอกด่านรังแก สามารถดูแลตนเองให้ปลอดภัยได้
ที่จริงแล้วเมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเหตุวุ่นวาย กิจการหนิวเกินกังไม่ได้รับความเสียหายมากนัก กำลังในมือเขาย่อมใช้งานได้ประโยชน์มาก แต่พอหวังทงเข้าเมืองมา หนิวเกินกังย่อมรู้ว่ากำลังใจมือตนนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม แต่เขาก็ตัดใจทิ้งไม่ได้ คิดจะแอบไว้ คิดว่าหวังทงไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกระจ่างเช่นนี้
หนิวเกินกังรู้สึกตกใจกลัว ไม่รู้ว่าจะจัดการตนเองอย่างไร