องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 774
“พานเซิ่งไฉ เมื่อก่อนเจ้าเป็นกองโจรม้าที่เมืองกานโจว ต่อมามาทำการค้าเกลือ มีลูกน้องราวหกร้อยกว่าคนใช่ไหม เจ้าไม่ใช่ขี้คุยประจำว่าตนเองปีก่อนใช้กำลัง 600 ชนะทหารทางการ 6,000 ที่เหยียนสุยงั้นหรือ?”
“เถียนต้าเชียน กองกำลังหลังม้า 400 กว่าของเจ้าเอง เป็นพวกที่เผ่าเคอเอ่อชิ่นส่งมาให้เจ้า พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมากมายมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ส่งสินค้าไปตะวันออกโดยไม่เกรงกลัวกองโจรม้า?”
“…….กำลัง 300 ในมือเจ้า……”
“…….รังโจรทางภูเขาตะวันตกนั้นเป็นของเจ้ากระมัง น่าจะหลายร้อยได้ ปีก่อนเจ้าพากลับมายังเมืองกุยฮว่าเฉิงทั้งหมด เตรียมทำการค้าใหญ่ ……”
หวังทงกล่าวแต่ละประโยค ก็มีคนคุกเข่าลงทีละคน แต่ละคนหวาดกลัวตื่นตระหนก ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะรู้กระจ่างเพียงนี้ พวกเขาพบว่า พวกที่หวังทงเรียกไว้ ล้วนมีกำลังในมือทั้งสิ้น ไม่ใช่พ่อค้าสุจริตทั่วไปพวกนั้น
ที่แท้สืบเรื่องพวกนี้มาก็ง่ายมาก ในเมืองกุยฮว่าเฉิง พฤติกรรมหลายคนล้วนไม่มีกฎหมายใดบังคับ แค่สอบถามก็รู้ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในนี้หลายคนยังเป็นคนอวดอ้างบารมีตนเองเสียด้วย ตอนนั้นดูยิ่งใหญ่ แต่ยามนี้กลัวว่าหวังทงจะรู้ พอถูกเปิดโปงก็พากันตื่นตระหนก
สีหน้าหวังทงไร้รอยยิ้ม ทำให้ทุกคนเริ่มลนลาน พวกเขารู้สึกถึงสายตาหวังทงที่กวาดตามองมา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาหวาดกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“คนเช่นพวกเจ้า อยู่แผ่นดินหมิงก็เรียกได้ว่าโจรใหญ่ ไม่ก็นักเลงโต ต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่เป็นเพราะอยู่ในที่ไร้กฎหมาย พวกเจ้าจึงมีชีวิตอยู่ได้”
วาจาหนักหนาเช่นนี้ ทำให้หลายคนสิ้นหวัง แต่พวกเขาก็พอฟังออกว่าในวาจายังมีอันใดแฝงอยู่ ยามนี้อยู่ในพื้นที่ของหวังทง ความเป็นความตายไม่ได้ขึ้นกับตนเอง ย่อมได้แต่รอคอยด้วยใจระทึก
“พรุ่งนี้ไปทวงคืนกับพวกนอกด่าน พวกเจ้าไม่ต้องไป!”
ได้ยินหวังทงสั่งเช่นนี้ พวกที่คุกเข่าก็สิ้นหวัง แต่ก็ถอนหายใจออกมาได้ อย่างไรก็ไม่ใช่ภัยใหญ่ ก็แค่รวยน้อยหน่อยเท่านั้น พวกเขายังคงคิดเองเออเองต่อไป หวังทงนั่งเป็นประธานกล่าวต่อว่า
“ทุกฤดูหนาวพวกเจ้าจะรวมกำลังไว้ข้างกาย พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ข้าอยากเห็นพวกเจ้าเรียกรวมกำลังพล”
แม้ไม่รู้ว่าหวังทงต้องการอันใด แต่ทุกคนก็รับคำอย่างไม่ลังเล สีหน้าหวังทงปรากฏรอยยิ้มกล่าวว่า
“พรุ่งนี้จะมีทัพม้าออกไปนอกเมืองไล่ล่าเผ่าใหญ่พวกนั้น พวกเจ้าก็ตามไปด้วย!”
ถูกหวังทงตบซ้ายตบขวาอยู่นาน อยู่ ๆ ก็มีคำสั่งนี้ ทุกคนพากันอึ้งไป เมืองกุยฮว่าเฉิงมีทรัพยากรเพียงพอ หลายปีมานี้พวกเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้านอกด่านก็ชินเสียแล้ว ทุกหน้าหนาวก็จะมารวมตัวกันรอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง หนึ่งเพื่อทำการค้ากับเมืองกุยฮว่าเฉิง สองเพื่อเลี้ยงดูตนเอง
การรบเมื่อวาน เห็นทหารเผ่าอันต๋าพ่ายแพ้ยับเยิน เผ่าต่างๆ พวกนี้ย่อมไม่อยู่รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงต่อ คนหลายพันชีวิต สัตว์หลายหมื่นตัว ไม่อาจหนีได้รวดเร็ว
เผ่าพวกนี้ได้แต่ภาวนาให้โชคดี หวังว่าทหารหมิงจะสู้ติดพันในเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่กล้าออกมาไล่ล่าพวกเขาบนทุ่งหญ้า
หวังทงจะปล่อยไปได้อย่างไร เผ่าใหญ่พวกนี้หากปล่อยไป เผ่าอันต๋าถูกกำจัด เกิดช่องว่างทางอำนาจ เผ่าใหญ่พวกนี้ก็จะเป็นใหญ่แทนที่อย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นรอบด้านฟื้นคืน ยังคงเป็นภัยยุ่งยากต่อ
ทหารม้าเมืองต้าถงและทหารม้าเมืองจี้โจว และทหารส่วนตัวพ่อค้าเหล่านี้ ไม่ว่าสำหรับเผ่าใดแล้ว ก็ล้วนเป็นกองกำลังที่ไม่อาจต้านทานได้
สำหรับทหารม้าเหล่านี้ สำหรับพ่อค้าชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงไปปล้นเผ่าใหญ่ ผลพลอยได้ย่อมดีกว่าปล้นในเมืองมาก สามารถลงมือได้ตามอำเภอใจยิ่งมาก
พวกหนิวเกินกังครุ่นคิดได้ก็พบว่า หวังทงไม่ได้ลงโทษพวกเขาอันใด หากเป็นงานที่ทำได้ประโยชน์ก้อนโต
มิน่าพวกเขาจึงได้อึ้งไป ที่ได้สติเร็วสุดก็คือหนิวเกินกัง เขารีบโขกศีรษะอย่างแรงตะโกนดังว่า
“ขอแม่ทัพใหญ่วางใจ พวกข้าน้อยแม้ร่างแหลกสลาย ก็ต้องปฏิบัติงานตามที่แม่ทัพใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ”
หลายคนข้างๆ แอบสบถด่าหนิวเกินกังที่หัวไวเกินไป พลางโขกศีรษะแสดงความภักดี หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“หากพวกเจ้ารู้สึกว่าคนในมือตนเองไม่พอ นอกจากชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ยังมีเผ่าที่ขัดแย้งกับเผ่าอันต๋าอีกไม่น้อย คิดว่าวางใจได้ เป็นคนกันเอง ก็นำตัวมาใช้งานได้!”
วาจานี้กล่าวไป พวกหนิวเกินกังก็รู้สึกได้ว่าหวังทงเข้าใจดี ในใจคิดแต่ว่าแม่ทัพใหญ่ที่เข้าใจจิตใจทุกคนเช่นนี้เหตุใดจึงมาช้าเพียงนี้ หากมาก่อนหน้านี้ ทุกคนคงมีความสุขกันตั้งนานแล้ว
สั่งการเสร็จ หวังทงไม่ได้รั้งให้อยู่ต่อ ทุกคนก็รู้ตัวขอตัวกลับ ก่อนไป หวังทงจัดนายทหารม้าให้ติดต่อกับพวกเขาไว้ พรุ่งนี้รวมพลกองทัพม้า ก็จะได้ตามออกนอกเมืองไปได้
เผ่าพวกนี้นำสมบัติไปด้วยมาก และยังมีคนแก่และคนอ่อนแออีกมาก ย่อมเดินทางได้ไม่เร็ว ทหารม้ากระจายกำลังไล่ล่า ไม่ถึงสองวันก็ตามทัน
นับเวลาแล้วก็น่าจะเที่ยงคืนแล้ว หวังทงรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว นายทหารหมิงกินอาหารค่ำกันแล้ว หวังทงตอนนี้รู้สึกหิวบ้างแล้ว
ก่อนหน้าทหารติดตามด้านนอกอุ่นอาหารยกเข้ามาหลายครั้ง หวังทงยามนี้ค่อยๆ กินข้าว หัวหน้าสายลับที่ออกไปคนแรกกลับเข้ามารับคำสั่งอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เจ้านำคนของเจ้าแต่งเป็นทหารม้าเราออกไปด้วย จับตาดูพวกนั้นไว้ พวกเขาไม่กล้าสังหาร พวกเจ้าก็สังหารมากหน่อย จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด เข้าใจไหม?”
หวังทงกินไปกล่าวไป หัวหน้าสายลับรีบคำนับรับคำสั่ง หัวหน้าสายลับกำลังจะออกไป หวังทงหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“ที่นาอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรืองชั่วลูกหลาน อยู่ในวันสองวันนี้แล้ว เจ้าต้องจัดการให้ดี!”
ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าสายลับก็อึ้งไป คุกเข่าลงโขกศีรษะหลายที ก่อนจะเดินออกไป
พอสายลับออกไป หลังฉากกำลังด้านหลังหวังทง ไช่หนานขยี้ตาเดินออกมา พอเดินออกมาก็มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย หวังทงเอ่ยกับถานเจียงว่า
“ขันทีไช่ก็เหนื่อยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว คิดว่าเมื่อครู่จดจนเมื่อยมือแล้ว รีบให้คนยกอาหารมาเร็ว!”
ถานเจียงยิ้มรับไช่หนานสะบัดมือกล่าวว่า
“ใต้เท้า ในเมืองตอนนี้ต้องจัดการให้สงบ วันนี้ที่ท่านว่ามา เกรงว่าพรุ่งนี้ก็เกิดการสังหารใหญ่ หากมีเวลา ให้ทหารพักให้ดีๆ สักสองสามวันก็ดีนะ”
“ตอนนี้ข้ากลัวก็แต่บางเรื่อง จึงต้องให้ขันทีไช่ลำบากแล้ว”
หวังทงไม่ตอบ หากผายมือให้ไช่หนานนั่งลง ไช่หนานส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า บางครั้งท่านก็เด็ดเดี่ยว บางครั้งท่านก็ระแวดระวังตัวมากเกินไป ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยใต้เท้า ใต้เท้ามีสถานะใดในพระทัยฝ่าบาท ไยใต้เท้าต้องกังวลมากเพียงนี้ ก็แค่คุยกับพ่อค้าในเมือง ไยต้องให้ข้ามาเป็นพยานด้วย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดเลยจริงๆ”
“นำทัพออกนอกเมืองมา และยังมาอยู่ในเมืองศัตรู อย่างไรระวังรอบคอบไว้ดีกว่า งานครั้งนี้ ทางเมืองหลวงพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว พวกขุนนางราชสำนัก ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรคิดหาเรื่องกับข้า กองกำลังเราก็มีสายจากสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่ข้ารู้อยู่บ้าง ที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดถึง อย่างไรก็รอบคอบไว้ก่อนดีกว่า!”
ไช่หนานส่ายหน้า หากไม่กล่าวแย้งอันใดอีก ถานเจียงยกอาหารเข้ามา หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เมื่อครู่ขันทีไช่ถามข้า เหตุใดจึงต้องสังหารในเมืองอีก เสียเวลาพักผ่อนทหารเรา ขันทีไช่กินไปฟังไปละกัน เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ที่พวกแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านต้องการแย่งชิง ผู้ใดแย่งได้ ผู้นั้นก็จะเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้านี้ ชาวฮั่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงใช้ชีวิตตอนเหนือนี้มานาน ไม่ใช่ว่าทหารหมิงเรามาถึง เขาก็จะจงรักภักดีทันที หากมีการเปลี่ยนแปลงใด คนพวกนี้ หากไม่ใช่พวกที่ถูกนอกด่านกระทำมาเมื่อวาน หลายคนก็ย่อมคิดลุกขึ้นต่อต้านทัพเรา!”
วาจานี้ไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นความจริง ไช่หนานค่อยๆ พยักหน้า หวังทงกล่าวต่อว่า
“แต่ตอนนี้ พวกนอกด่านทำร้ายทุกคน ทำให้ชาวฮั่นในเมืองเจ็บแค้น อาศัยจังหวะนี้ทำให้พวกเขามีเรื่องกัน สังหารพวกนอกด่านในเมืองให้หมด มือเปื้อนเลือดแล้ว จะกลับไปเข้ากันอีกคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามีพวกที่เก่งกล้าผงาดขึ้นมาได้ พวกเข้าก็ย่อมไม่กล้าสวามิภักดิ์ ได้แต่สู้ตาย เพราะว่าพวกเขากับพวกนอกด่านมีความแค้นไม่อาจร่วมโลกแล้ว ไม่อาจกลับไปคืนดีกันได้อีก”
หวังทงดื่มซุปร้อนคำหนึ่งก็กล่าวต่อว่า
“พรุ่งนี้ในเมืองนี้ คนเผ่าอันต๋า เผ่าฉาฮาเอ่อ เผ่าเคอเอ่อชิ่นต้องสังหารให้หมด เหลือแค่อี้ลี่ปาหลี่ อู้เหลียงฮา และสามเผ่าทะเลทรายตอนเหนือไว้ ให้พวกเขาตามชาวหมิงเราไปสังหาร ให้กำลังพวกนี้ไม่ว่ายอมหรือไม่ก็ต้องอยู่ข้างเรา คุมพวกเขาได้ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็จะอยู่ในการควบคุมของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลง ขอเพียงแผ่นดินหมิงคุมที่นี่ได้หนึ่งปี ก็ย่อมขยายอิทธิพลออกไปรอบสี่ทิศ คุมสถานการณ์ให้มั่นคงต่อไปได้อย่างแท้จริง”
ไช่หนานฟังเพลิน ถือแผ่นแป้งไว้ในมือไม่ขยับ รอหวังทงพูดจบ ไช่หนานคิดส่ายหน้า แต่ก็พยักหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า
“ใต้เท้าคิดการณ์ไกล เป็นข้าที่คิดแคบไป!”
ล้วนคนกันเอง พอกล่าวจบก็หัวเราะดังลั่น รีบกินข้าว จากนั้นก็ไปพักผ่อน หลังจากชัยชนะตามหลักก็ควรเฉลิมฉลองและพักผ่อนให้เต็มที่ พวกหวังทงกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด
***************
ความจริงนั้น พ่อค้าในเมือง ย่อมไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน ไม่กล่าวถึงพวกหนิวเกินกังที่จะต้องตามทัพม้าออกไปไล่ล่านอกด่าน พวกที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวไว้พวกนั้นพอกลับบ้านไป ก็เริ่มติดต่อคนสนิทกัน
พวกนอกด่านปล้นล้างบางในเมือง จากนั้นทหารหมิงเข้าเมืองมา ราษฎรไหนเลยกล้าใช้ชีวิตอย่างวางใจได้ ทุกคนย่อมหวาดกลัว กลัวว่าจะสู้กันมาถึงตัว รอจนมีคนรู้จักกันมาติดต่อ ก็เรียกได้ว่าวางใจได้หายใจสะดวกขึ้น ถูกคนล่าสังหารปล้นชิงไหนเลยจะไม่มีความแค้น เพียงแค่ฝังลึกในใจเท่านั้น
ได้ยินทหารแผ่นดินหมิงยอมให้การสนับสนุน ให้พวกเขาทวงคืนความยุติธรรม และตระกูลใหญ่กล้าออกหน้า อารมณ์ทุกคนก็ย่อมถูกจุดประกายไฟขึ้นมา
ยังอยู่ในเดือนหนึ่ง ฟ้าเพิ่งสว่างรำไร ชาวฮั่นแต่ละทิศละทางก็ถืออาวุธมารวมตัวกัน แต่ละที่มีคนตะโกนดังว่า
“ล้างแค้น! ล้างแค้น!”