องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 775
เดือนหนึ่งบนทุ่งหญ้านอกด่านอากาศแจ่มใสหนาวเหน็บ พระอาทิตย์ขึ้นสูง ชาวฮั่นที่รวมกำลังฮึดฮัดถืออาวุธพากันมารวมตัวกันหน้าพื้นที่ว่าง
เผ่าอันต๋าในเมืองถูกทหารหมิงสกัดกั้นไว้อยู่ในหลายพื้นที่ กลายเป็นสุกรที่รอเชือด พวกที่มีกลิ่นไอสังหารรุนแรงไม่เพียงแค่ชาวฮั่น ยังมีพวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋ารวมอยู่ด้วย
แม้หวังทงกล่าวกับพ่อค้าชาวฮั่นพวกนั้นด้วยภาษาขุนนางแบบอ้อมค้อม แต่พวกเขาเองก็ฟังเข้าใจนัยแห่งวาจานั้น หากยังจำกัดขอบเขตอยู่ พ่อค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงกับบุคคลแนวหน้ากำลังตกใจกับสงครามนี้ ไหนเลยกล้าฝืนคำสั่ง หากกลับทำตามอย่างไม่บิดพลิ้วแม้เพียงนิด
เผ่าอันต๋าสร้างเมืองกุยฮว่าเฉิงมา ชาวบ้านในเมืองก็เลือกอย่างดี ข่านเผ่าอันต๋ากับชนชั้นสูงและทหารพวกเขาเป็นกำลังหลักในเมือง พวกชาวฮั่น พ่อค้าและคนงานใช้แรงงานทำงานล้วนอยู่ในเมือง พวกพ่อค้าเผ่าอื่นจากทะเลทรายตอนเหนือและทางซีอวี้ก็ให้อยู่ในเมือง แต่ชาวเผ่าอันต๋าในเมืองกลับต้องเป็นไปตามเกณฑ์อันหนึ่ง
มีกำลังคน มีเงินทอง มีสถานะ แต่ไม่อยู่ใต้บังคับของข่านเผ่าอันต๋า ไม่อนุญาตให้อยู่ในเมือง อย่างมากก็ไพวกเขานำเผ่าตนเองมาอยู่รอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิงได้เท่านั้น
พวกชนเผ่าอันต๋าในเมืองก็ล้วนยากจนไม่ก็เป็นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เร่รอนยากจน คนพวกนี้ไม่มีสมบัติทรัพย์สิน ได้แต่ทำงานใช้แรงงานให้กับพวกพ่อค้าชาวฮั่นและชาวเผ่าอื่น ไม่เช่นนั้นก็รับการจัดสรรงานจากเผ่าอันต๋ามาตามลำดับ หรือไม่ก็เป็นทหาร
จากข่านเผ่าอันต๋ารุ่นแรกมาถึงเซิงเก๋อตูกู่เหลิง มาจนเฉ่อลี่เข้อก็ทำเช่นนี้ ก็คือให้อาหารและของใช้จำเป็นแก่ชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนพวกนี้
ชาวบ้านยากจนเผ่าอันต๋าในเมืองพวกนี้ หนึ่งเพราะชีวิตพึ่งพากับชนชั้นสูงเผ่าอันต๋า สองเพราะความยากจน จึงมีความแค้นอิจชาวฮั่นและเผ่าอื่นๆ ในเมือง
ผลเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าต้องการให้เป็น ทำเป็นแค่เลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและออกรบ หากคิดจะธำรงเมืองต่อไปก็จำเป็นต้องอาศัยพ่อค้าชาวฮั่นและพ่อค้าชาวเผ่าทางซีอวี้และช่างฝืมือต่างๆ เท่านั้น แต่พอนานวันเข้า ทรัพย์สมบัติบรรดาพ่อค้าสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ ช่างแม้ไม่เก็บฝีมือเป็นความลับ แต่พวกเผ่าอันต๋าที่ชินกับการได้รับการดูแลก็ย่อมไม่อยากเรียนรู้ ที่นากว้างใหญ่นอกเมือง ก็ยิ่งต้องการชาวฮั่นมาดูแล
พวกที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋าเมื่อกุมทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น กุมสิ่งของจำเป็นมากยิ่งขึ้น หากเผ่าอันต๋ายังดีกับพวกเขาอีก กำลังควบคุมของผู้ปกครองก็จะยิ่งอ่อนกำลังลง
ดังนั้นข่านเผ่าอันต๋าจึงรักษาสมดุลส่วนใหญ่ไว้เช่นนี้ และอีกทางหนึ่งก็ยังมอบสถานะทางการเมืองการปกครองให้ชนเผ่าตนเอง ทำให้พวกเขาสามารถรังแกคนเผ่าอื่นได้โดยไม่ถูกลงโทษ
ชาวฮั่นโอนอ่อนผ่อนตาม ส่วนเผ่าอื่นที่กำลังกระจัดกระจาย สถานการณ์เช่นนี้จึงดำรงต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ชนเผ่าอันต๋าก็ยิ่งได้ใจใหญ่
รอจนหวังทงนำกำลังทหารหมิงตีเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายทัพพวกนอกด่านพ่ายแพ้ราบคาบกลับเมืองหลวง เพื่อปลอบขวัญให้ทหารที่พ่ายแพ้ศึกมาได้อารมณ์เย็นลง ยังปล่อยให้พวกเขาปล้นฆ่าชาวบ้านได้ ถึงกับมีชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าได้ประโยชน์จากการนี้อีกด้วย สร้างผลประโยชน์ให้กับตนเองจำนวนมาก
เพียงแต่ไม่มีคนคิดว่ากรรมจะตามมาเร็วเพียงนี้ แค่สองวัน ทุกอย่างก็ราบเตียน ราษฎรในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋า ล้วนถูกสังหารในวันนั้นวันเดียว สร้างความแค้นยิ่งใหญ่ เดิมมีกองกำลังกดไว้ ไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่ในเมืองเบื้องบนอนุญาต เช่นนั้นทุกคนก็ย่อมรวมกลุ่มกันออกมาเอาคืน
แผ่นดินหมิงเป็นเช่นนี้ นอกแผ่นดินหมิงอย่างเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เช่นกัน ชาวฮั่นชินกับการอดทนกล้ำกลืนความแค้น ไม่อันใดก็ยอมถอยให้ก่อน แม้ว่าจะกระทบกับผลประโยชน์ตน คนในครอบครัวก็คอยเตือน ให้อดทนต่อไป จึงไม่นำภัยมาสู่ตัว
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน มีผู้ชายบางบ้านไม่ยอมมา ถูกมารดาและภรรยาด่าทอ หญิงข้างบ้านออกมาเสียดสี จึงได้แต่หยิบอาวุธตามออกไป
สิ่งที่ตนเองไม่ต้องการอย่าได้มอบให้แก่ผู้อื่น วันนั้นปล้นฆ่าเหิมเกริม ชาวเผ่าอันต๋าเกรงว่าคงไม่เคยได้ยินประโยคนี้ ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ เสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว
ไม่มีผู้ใดออกคำสั่ง ทหารหมิงที่เข้าปิดกั้นพื้นที่ก็เปิดทางให้ชาวฮั่นเข้าไป ด้านหลังชาวฮั่นก็มีนายทหารตามไปดู หากมีปัญหาก็เข้าไปช่วยเหลือทันที
ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม เพราะตอนทหารหมิงเข้าเมืองมา ชาวฮั่นที่นำทางล้วนมีความแค้นใหญ่หลวงกับพวกนอกด่าน ตามทหารหมิงไปก็เล่าเรื่องความน่าอนาถของตนเองและครอบครัวในวันนั้นไป และมักจะส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญทุบอกชกตัว ได้ยินเรื่องนี้ ทหารหมิงก็แค้นใจจนต้องกัดฟันตาม
หากไม่ใช่ว่าหวังทงกลัวว่ารุมสังหารกันจะทำให้ทหารคุมไม่อยู่แล้วล่ะก็ ทหารตนก็คงลงมือเองไปแล้ว ชาวฮั่นเป็นเช่นนี้ ชาวเผ่าจากซีอวี้ที่ไม่ใช่ชาวเผ่าอันต๋ายิ่งโหดร้ายกว่าชาวฮั่นหลายเท่า เปิดโอกาสให้พวกเขา คนพวกนี้ก็ย่อมฮึกเหิมลงมือ เกรงก็แต่ว่าสังหารน้อยไป
พ่อค้าชาวฮั่นพวกนั้นก็ยิ่งมีเป้าหมาย เมื่อวานเมืองโดนตีแตกเร็วเกินไปไม่ทันตั้งตัว ทหารหมิงปิดเมืองเร็วมาก ในเมืองมีชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าหลายคนหนีไม่ทัน
แม้ว่าเมื่อคืนคนพวกนี้จะส่งสารให้พ่อค้าชาวฮั่น หรือว่าขอไปพบกับหวังทงโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ถูกสกัดไว้ไม่ให้เข้าพบ มีพ่อค้าชาวฮั่นคิดออกหน้าช่วยพูด แต่พ่อค้าชาวฮั่นก็ไม่มีโอกาสได้พบหวังทงอีก แนวทางดำเนินการนี้ทุกคนเข้าใจแล้ว
เทียบกับชาวเผ่าอันต๋าที่มีม้าตัวเดียวกับของไร้ค่าจำนวนหนึ่งแล้ว ชนชั้นสูงพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายลงมือที่คู่ควร พ่อค้าชาวฮั่นในเมืองมักมีกำลังของตนเอง
ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าก็มีผู้คุ้มกันเช่นกัน และยังแข็งแกร่งกว่ากำลังในมือพ่อค้าชาวฮั่นพวกนี้อีก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์ เพราะหากราษฎรจัดการไม่ได้ ก็ยังมีทหารหมิง
เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ในเมืองก็มีแต่การฆ่าฟันสังหารกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองเต็มไปด้วยการต่อสู้ฆ่าฟัน วันทั้งวัน เมืองกุยฮว่าเฉิงนองไปด้วยเลือด
************
หวังทงแม้นอนดึก แต่เขาก็ตื่นเช้าเหมือนทหารในกองทัพคนอื่นๆ หยางจิ้น หม่าหย่งและพวกมารวมตัวกันที่กระโจมหวังทงก่อน
กระโจมแม่ทัพอยู่ด้านหนึ่งของวังข่าน ที่นี่เคยเป็นพื้นที่รบดุเดือดมาก่อนหน้า ไม่มีบ้านเรือนชาวบ้าน ดังนั้นจึงเงียบสงบมาก
ก็เพียงแค่สงบเงียบกว่าที่อื่น เพราะความวุ่นวายในเมืองยังคงได้ยินมาถึงกระโจมนี้ รองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจวขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ การออกล่าสังหารเช่นนี้ ทหารเราทำได้เร็วกว่า ไยต้องให้ชาวบ้านลงมือด้วย มีดดาบไร้ตา อย่างไรคงต้องบาดเจ็บกันบ้าง”
“กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง ตามกฎต้องกลับไปป้องกันเมืองหลวง ทหารเมืองจี้โจวย่อมต้องกลับไปรปกป้องเมืองจี้โจว ทหารเมืองต้าถงก็ย่อมกลับไปยังสังกัดนายทหารตน หรือว่าพวกเราอยู่ต่อได้กัน หรือแม้ราชสำนักส่งกำลังมาอีก หรือว่าจะเก่งกล้ากว่าพวกเรา? ถึงตอนนั้นย่อมต้องอาศัยกำลังชาวฮั่นในเมืองป้องกันตนเอง”
หวังทงยิ้มอธิบาย ตอนนี้ต่างกับเมื่อคืน หวังทงเอ่ยต่อว่า
“ให้พวกเขาได้ลงมือเปื้อนเลือด ให้พวกเขาได้แข็งแกร่งด้วยตนเองดีกว่า ที่นี่โดดเดี่ยวห่างไกล แม้ว่ามาตั้งทัพที่นี่ เกรงว่ามณฑลซานซีกับส่านซีคงไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง ยังต้องให้พวกเขาดูแลตัวเอง ชาวบ้านสามัคคี ที่นี่ก็จัดการได้แล้ว”
เรื่องสังหารพวกนอกด่านจนวันหน้าไม่อาจแปรพักตร์ได้อีก แม้ว่าหวังทงไม่ได้ชี้แจงกระจ่าง แต่หยางจิ้นใช่ว่าคิดไม่ออก หากตอนนี้หวังทงกล่าวเหตุผลเป็นชั้นๆ ขึ้นไปอีก และยังมีแรงโน้มน้าว หยางจิ้นจึงได้แต่พยักหน้า ไม่มีวาจาอันใดกล่าวอี ก
สีหน้าหม่าหย่งกลับตื่นเต้น ทหารม้าเมืองต้าถงรวมตัวกัน วินัยทหารไม่เคร่งครัดนักยามนี้ ให้ออกปล้นชิงได้เต็มที่ วันนี้พ่อค้าในเมืองนำกำลังออกไล่ล่าเผ่าใหญ่ ผู้นำหลักก็คือทหารม้าเมืองต้าถง หม่าหย่งเป็นหัวหน้าทหารม้าเมืองต้าถงก็ย่อมได้ไปไม่น้อย
“ไล่ล่าพวกเผ่าใหญ่ที่จากไปพวกนั้น สิบวันก็น่าจะเก็บกวาดหมด หลังตีพวกเผ่าพวกนี้หมดแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงครึ่งปีนี้ไปก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดอีกแล้ว!”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า ไช่หนานพยักหน้ารับคำกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง กำลังเผ่าอันต๋าอยู่ในเมืองเป็นหลัก บรรดาเผ่าใหญ่ที่มาปักหลักหน้าหนาวที่นี่ได้ คิดแล้วน่าเป็นพวกเดียวกัน กวาดล้างพวกเขาทิ้ง ทหารม้าเผ่าอันต๋าหลายพันที่ยังอยู่ในถู่ฟาน ก็ย่อมไม่อาจรวมตัวกันเป็นกองกำลังใหญ่ได้อีก
ทุกคนพยักหน้า สีหน้ายินดียิ่ง หลังตีเมืองได้เมื่อวาน ได้พักผ่อนมาคืนหนี่ง เช้าตื่นมา คิดถึงเมื่อวาน แล้วมาคิดถึงว่าตนเองตอนนี้อยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นทหารแผ่นดินหมิงจะไม่ดีใจแทบคลั่งได้อย่างไร ถึงกับทำลายทัพพวกนอกด่านยึดเมืองได้ สังหารข่านพวกนอกด่าน เป็นความชอบระดับใดกัน ความรู้สึกนี้เมื่อวานยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก แต่ถึงตอนนี้ มีแต่ความดีใจเท่านั้น
หวังทงกวาดตามองทุกคน ยิ้มกล่าวว่า
“ทหารม้าไล่กวาดล้างเผ่าใหญ่พวกนั้น เดิมไม่มีอันใดต้องคิดให้มาก แม้ว่าตลอดทางมานี้ทุกวันมีม้าเร็วไปรายงานเมืองหลวง แต่วันนี้ก็ควรจะไปรายงานด่วนเช่นกัน!”
วาจานี้ทำเอาในกระโจมนิ่งอึ้งไปกันหมด พวกหยางจิ้นกับหม่าหย่งสบตากัน แม้ว่าสองคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่ก็ล้วนไม่อาจคุมสีหน้าและอารมณ์ได้ ความดีความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้ ม้าเร็วไปเมืองหลวง เป็นความดีความชอบเพียงใดกัน ช่างตื่นเต้นรอคอยเสียจริง สองคนลุกขึ้น กล่าวพร้อมกันว่า
“ขอน้อมรับคำสั่งแม่ทัพใหญ่!”
หยางจิ้น หม่าหย่งสองคนเป็นเช่นนี้ แม้แต่พวกถานเจียงสีหน้าก็ยินดีปรีดา ทุกคนล้วนเป็นทหาร ย่อมคิดไม่ต่างกัน หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ขอขันทีไช่ช่วยร่างสาร พวกข้าทุกคนประทับตราร่วมกัน!”
ทุกคนย่อมรับคำสั่ง เสียงสังหารด้านนอกดังมาเป็นระยะ แต่จิตใจบรรดาขุนพลทหารต่างอยู่ในความยินดีปรีดา บรรยากาศผ่อนคลายยิ่ง วันนี้มีแค่ออกไปลาดตระเวนนอกเมือง และป้องกันในเมืองเท่านั้น
หยางจิ้นกับหม่าหย่งเดินออกจากกระโจมไป หม่าหย่งหันไปมอง ยิ้มกล่าวว่า
“พวกเราทางนั้นได้แต่คอยยกคอยเอาใจขันทีคุมกำลัง แต่ใต้เท้าหวังนี่สิ ถึงกับใช้งานขันทีคุมกำลังเป็นคนเขียนสารได้ ข้าว่ากงกงคุมกำลังท่านนั้นก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ถุย ๆ ไม่เคยพบไม่เคยเห็น!”
“ใต้เท้าหวัง ทำงานไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นจะสร้างความสำเร็จระดับนี้ได้อย่างไร?”
“ใช่เลย ใช่เลย!”
สองคนหัวเราะคุยกันออกไปไกล หวังทงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสั่งการว่า
“พวกขบวนค้าแต่ละแห่งน่าจะอยู่ระหว่างทางแล้ว ให้พวกหม่าซานเปียวนำทหารม้าออกไปรับ”
ถานเจียงรับคำ หวังทงถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า
“หลังชัยชนะใหญ่นี้ พวกขุนนางบุ๋นคงจะหาความยุ่งยากให้พวกเราอีกแล้ว!”