องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 776
ปราบศัตรูที่อยู่คู่แผ่นดินหมิงมาเกือบร้อยปีลงได้ราบคาบ เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่อย่างที่สุด ความดีความชอบเช่นนี้ ขุนนางราชสำนักย่อมไม่พอใจ หวังทงมีความดีความชอบเช่นนี้ ย่อมต้องได้รับพระราชทานรางวัลความดีความชอบสูงสุด นี่เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้หวังทงจะราบรื่นไปหมดทุกเรื่อง
หวังทงเดิมเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ กล่าวอันใดก็มีน้ำหนัก ตอนนี้เขาได้รับชัยชนะใหญ่เช่นนี้อีก สร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ จากนี้หวังทงจะดำรงสถานะใดกัน วาจามีน้ำหนักเพียงใดกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดระแวง เมื่อก่อนลู่ปิ่งเพราะเป็นลูกชายแม่นมฮ่องเต้เจียจิ้ง ตอนเกิดเพลิงไหม้ในวังยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้เจียจิ้งไว้ สถานะจึงสูงส่งยิ่ง หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ก็เหมือนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้เช่นกัน มีคนมักนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ตอนนี้หวังทงมีความดีความชอบเช่นนี้อีก ยิ่งเกินหน้าลู่ปิ่งอย่างมาก เป็นเรื่องที่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
มีคนเช่นนี้ในราชสำนัก ย่อมกดหัวทุกคนเอาไว้อย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่ข้าในองค์ฮ่องเต้ไม่อาจยอมได้ ย่อมต้องหาทางหาเรื่องโจมตีให้ได้
หวังทงนำกำลังออกนอกด่านมา มุ่งตรงมาเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายทัพเผ่าอันต๋า จากนั้นบุกตีเมืองเผ่าอันต๋า การกระทำต่อเนื่องเช่นนี้ภายใต้ชื่อว่านำกำลังปราบกองโจรม้าเท่านั้น ตอนนั้นเขาเป็นผู้แทนพระองค์ เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถง ป้องกันการรุกรานพวกนอกด่านที่อาจเกิดขึ้น ตำแหน่งเขาไม่ได้ให้ออกรบกับพวกนอกด่าน และยังรบจนได้ผลสำเร็จเช่นนี้อีก
ทุกคนไม่ได้โง่ หวังทงบอกพวกนอกด่านตนเองมาปราบกองโจรม้า ขุนนางบุ๋นจะเดาไม่ออกได้อย่างไร แม้ว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
คิดถึงสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ พิธีใหญ่อย่างไรในสายตาคนนอกแล้วก็เป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น
หลังรบชนะไม่ใช่เวลาชื่นชมชัยชนะ หากเป็นเวลาที่ต้องคิดถึงว่าพวกในเมืองจะมีปฏิกิริยาเช่นไร นี่เป็นสิ่งที่หวังทงกำลังทำอยู่ในตอนนี้
**************
ต่อหน้ากลุ่มที่รวมตัวกันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร และด้านหลังชาวบ้านที่คิดจะแก้แค้นยังมีทหารทางการคอยช่วยอีก เหตุนองเลือดในเมืองกุยฮว่าเฉิงก็จบลงอย่างรวดเร็วในหนึ่งวัน
กลิ่นคาวเลือดเหมือนว่าจะคละคลุ้งไปทั่วเมือง ชาวฮั่นกับชาวเผ่าอื่นที่อารมณ์เย็นลงเริ่มช่วยทหารขนย้ายศพออกไปนอกเมืองเผาตรงที่ว่างห่างไกลจากแม่น้ำ
พ่อค้าในเมืองได้รับประโยชน์กันไป ชาวบ้านเองก็มีได้เช่นกัน ที่จริงแล้วก็เท่ากับแบ่งออกมาได้ถึงครึ่งหนึ่ง เป็นรายได้ระยะยาวก้อนหนึ่ง กลางวันนั้นสังหารกันสะใจแต่พอตกดึงกลับถึงบ้านตนกัน ก็คิดถึงมือที่เปื้อนเลือด คิดถึงชาวเผ่าอันต๋าที่ตนเองสังหารไปพวกนั้น
ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ดีว่าไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว ได้แต่จงรักภักดีต่อแผ่นดินหมิงอย่างแท้จริง เดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว แต่ทว่าได้แก้แค้นให้ครอบครัว ระบายแค้นที่สะสมมาหลายปี ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ในเมืองมีชาวฮั่นหลายหมื่น คนพวกนี้ยังเรียกได้ว่าชาวบ้าน หากยังมีชาวบ้านที่เป็นชาวฮั่นนอกเมือง นั่นยิ่งน่าเศร้ากว่า
แม่น้ำถู่ม่อชวนเป็นสบแม่น้ำหลายสาย ที่นาน้ำท่าอุดมสมบูรณ์สะดวกแก่การทำนายิ่ง แม้ว่าทำได้เพียงฤดูเดียว แต่ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าที่นาดี ที่นี่ดีกว่าที่อื่นๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน เพราะว่าใกล้ภูเขา และยังมีแร่หลายชนิดให้ขุด ดังนั้นเชื้อเพลิงจึงไม่เคยขาดแคลน มูลสัตว์ก็สามารถนำมาเป็นปุ๋ยได้ มีปุ๋ยมีน้ำ ย่อมสร้างผลผลิตได้ไม่น้อย
ชาวเลี้ยงสัตว์ทุ่งหญ้านอกด่านไม่เชี่ยวชาญการเพาะปลูก ที่นาพวกนี้ล้วนเป็นแรงงานชาวฮั่น ชาวฮั่นพวกนี้เป็นคนงานของชนชั้นสูงระดับต่างๆ ตอนรบกับทหารหมิง พวกที่อยู่แนวหน้าก็เป็นทหารราบชาวหมิงพวกนี้ พวกที่ถูกนำไปเป็นกำลังแนวหน้านั่นเอง
ทาสแรงงานพวกนี้ส่วนใหญ่กวาดต้อนมาจากแผ่นดินหมิง คนพวกนี้ไม่มีอิสระ เพาะปลูกได้มาก็ได้กินไม่เท่าไร พวกผู้หญิงก็มักถูกนำไปขายเป็นของเล่นให้พวกชนชั้นสูงนอกด่าน ชีวิตพวกเขายังไม่อาจสู้สัตว์เดรัจฉาน ลำบากอย่างมาก
ว่ากันว่าหลายครั้งที่คิดต่อต้าน แต่ก็ถูกพวกทหารม้านอกด่านเข้าปราบปราม ถึงตอนนี้ แรงงานทาสพวกนี้เริ่มชินชากันแล้ว ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้าย
ในเมืองเกิดเหตุสังหาร พ่อค้าหลายร้านที่เข้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมาก่อนภายใต้การคุ้มกันของทหารกองกำลังหู่เวย มุ่งไปยังพื้นที่บุกเบิกรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง
ตอนหวังทงนำกองกำลังมาถึง ทุกอย่างล้วนต้องมุ่งการรบเป็นอันดับแรก ยามนี้จึงได้มีเวลามาสนใจแรงงานชาวนา แรงงานพวกนี้ไม่ได้ดีไปกว่าชาวฮั่นที่อาศัยในเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเขาอยู่ในพื้นที่บุกเบิกเพื่อการทำการเกษตร หลังสงคราม ทหารนอกด่านที่เฝ้าคุมพวกเขาอยู่นั้นได้ถูกโยกกลับไป พวกเขาที่นี่ทำงานกันอย่างว่างเปล่าไร้ทิศทาง
ตอนหวังทงนำคนมาถึง กังวลมากว่าบรรดาชาวนาแรงงานพวกนี้จะแตกตื่นหนีกัน แต่พอตกดึกก็มีรายงานทำให้หวังทงคิดไม่ถึง ไม่มีแรงงานหลบหนี
ทหารม้าพวกนอกด่านที่เฝ้าพวกเขาไม่หนีไปก็รบจนตัวตายไป ไม่มีผู้ใดมาควบคุมพวกเขาอีก แต่พวกเขาก็ยังคงหลบอยู่ในเพิงพักตนเองไม่ไปไหน ไม่มีแม้แต่คิดจะต่อต้านหรือหลบหนี นี่ก็คือที่เรียกว่ากดขี่จนสิ้นหวังแม้แต่แรงปรารถนาจะดำรงชีวิต มีแต่ความชินชารอความตายเท่านั้น
พวกที่หนีไปล้วนเป็นเชลยที่เพิ่งจับตัวมาได้สองสามปีมานี้ คนที่มารายงานสีหน้าเจ็บปวดใจยิ่ง บอกว่าแรงงานชาวฮั่นพอได้ยินทางการมาช่วยพวกเขา ดูเหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายอันใด แต่ละคนรอคอยอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกบีบคั้นจิตใจอย่างมาก
หวังทงนำพ่อค้ามาจากหลากหลายเมือง ทุกวันนอนแค่วันละสามชั่วยาม ทุกวันมุ่งตรงไปยังพื้นที่บุกเบิก ต่อมาพวกเขายังอาศัยสำนักงานของพ่อค้าในเมืองรับคนจากในเมืองไปเร่งจัดการตรวจนับที่นาและแรงงานทำนาอย่างรวดเร็ว
ออกนอกด่านมาเดือนหนึ่ง วันที่ 18-19 เดือนหนึ่งก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย วันที่ 23 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 วันนั้น ทหารม้าที่ไล่ล่าเผ่าต่างๆ ไปก็กลับมารายงานครั้งที่ 1 มีสามเผ่าใหญ่ถูกทลายราบ ยังมีอีกสองเผ่าขอมาสวามิภักดิ์เอง หวังทงอนุญาตเพราะเป็นเผ่าที่ไม่ยอมลงให้เผ่าอันต๋ามาก่อน หารือกันได้
มีหลักการดำเนินการเช่นนี้ ทหารม้าก็รู้แล้วว่าควรดำเนินการเช่นไร ข่าวแพร่มาถึงหวังทง แสดงให้เห็นว่าแผนการที่หวังทงวางไว้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ดำเนินไปตามที่วางไว้ สถานการณ์เริ่มอยู่ในความควบคุม
ที่ทำให้หยางจิ้นและหม่าหย่งตกใจก็คือ ทหารม้ากลับมารายงานว่าทางเมืองต้าถงถึงกับมีคนมาเช่นกัน ทหารม้า 400 กว่าคุ้มกันพ่อค้า 200 กว่ามาที่นี่
ในเมืองจัดสรรที่พัก นอกเมืองตรวจสอบที่นา ทำกันจนเป็นที่รู้กันทั่ว คนจากมณฑลซานซีมาเรียกได้ว่าธรรมดา แต่มาเร็วไป ตอนนี้เส้นทางมายังมีพวกทหารหนีทัพกับพวกโจรอยู่ ไม่ปลอดภัย คนพวกถึงกับใจกล้าเพียงนี้ได้ ทหารม้าเป็นทหารจากเมืองต้าถงในสังกัดหม่าต้ง สนิทกับหม่าหย่งอยู่ พอทักทายกันเสร็จ ก็รู้เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า พ่อค้ามณฑลซานซีกำลังเดินทางมา
พ่อค้าคนงานที่มาล้วนเป็นคนทำการค้าจากบรรดาร้านแบบเดียวกับร้านสามธารา การค้านี้เป็นการค้าที่พวกหวังทงให้ความสนใจมาก แม้ไม่รู้ก็ดูออก อย่างไรสิ่งของจำเป็นสำหรับการทหารก็เป็นคนพวกนี้ออกหน้าจัดหาซื้อมาให้จนครบ
แต่พ่อค้ามณฑลซานซีมาในเดือนหนึ่งเช่นนี้ และยังมาในเวลาที่สงครามเพิ่งสงบไม่นาน ถึงกับมาถึงที่นี่ เป็นเรื่องน่าตกใจจริงๆ
ตามคำบอกเล่าของทหารม้าที่มาถึงก่อน บอกว่าพ่อค้าพวกนี้ไปหาผู้คุ้มกันกับผู้ติดตามจากส่านซีและเหอหนานมา พ่อค้าแค่ 300 กว่า มีผู้คุ้มกันเกือบ 3,000 คน และยังให้ทางมณฑลซานซีส่งทหารคุ้มกันมาอีกด้วย ร่วมเดินทางมายังเมืองกุยฮว่าเฉิง
หลังตกใจผ่านไป ก็ต้องอุทานเหลือเชื่อแทน มณฑลซานซีนอกจากทำกำไรจากการค้าชายแดนแล้ว ก็ไม่มีผลผลิตพิเศษใด พ่อค้าย่อมไม่พอใจกันอยู่แค่การค้าเกลือ ทางใต้ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์เพราะเหตุใด จากเรื่องนี้ก็พอมองเห็นที่มาที่ไปแล้ว ตอนนี้เป็นยามอันตรายอยู่ หากมากันย่อมมีความเป็นไปได้มากว่าจะถูกกองทัพบดขยี้ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
เริ่มจากทหารกับราษฎร หลายอย่างไม่อาจแลกก้อนเงินก้อนทองได้ พวกเขาต้องหาคนเปลี่ยนเป็นเงินสด ยามนี้ส่วนต่างราคาย่อมไม่น้อย และเมืองเพิ่งแตก มีของมากมายที่ขาดแคลนแน่นอน พ่อค้าที่มานำเสนอขายสินค้าย่อมได้กำไรถล่มทลาย
ที่นากว้างใหญ่แสนอุดมสมบูรณ์นอกเมืองนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ไม่ว่าการค้ายิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องลงเงินที่กำไรมาไปกับการจัดการหาที่นา เพื่อสร้างกิจการให้คงอยู่ชั่วลูกหลาน แต่ที่นาก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในครอบครองของเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง คนธรรมดาจะไปจัดการครอบครองได้อย่างไร
ตอนนี้รอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงล้วนเป็นที่นาชั้นดี และราคาก็ย่อมยังไม่แพงมาก หากเปิดขายก็ย่อมเป็นโอกาสอันดี
เมืองกุยฮว่าเฉิงเดิมก็เป็นขุมทรัพย์ บรรดาเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกซีอวี้ พวกทะเลทรายตอนเหนือ พวกทางตะวันออก ล้วนมาทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิง
ผู้ใดล้วนรู้ดีกว่าทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมทำกำไรมหาศาล แต่เมื่อก่อนไปชายแดนแผ่นดินหมิงตอนเหนือมีความไม่สะดวกมากมาย แม้ว่ามาถึง แต่ก็ยังมีทหารนอกด่านรีดไถ ชนชั้นสูงเผ่าอันต๋าเรียกภาษี ยังมีพ่อค้าในพื้นที่แย่งผลประโยชน์อีก ครั้งนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงแตก พวกเขาก็มีโอกาสมาปักหลักกันแล้ว มีโอกาสขยายการค้าของตนเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
เมืองกุยฮว่าเฉิงถูกตีแตกแล้วจริงๆ วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจเดาได้ แต่บรรดาพ่อค้าล้วนไม่กลัวตาย กล้ามาถึงที่นี่ ก็เท่ากับมีความกล้าไล่ล่ากำไรที่น่าตกใจเสียจริง มิน่าพวกเขาจึงร่ำรวย
วันที่ 25 เดือนหนึ่ง ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ บรรดาพ่อค้ามณฑลซานซีมาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง พอบรรดาพ่อค้ามาถึง เดิมคิดว่าคงได้เห็นกำแพงเมืองที่พังและในเมืองพังเละเทะ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเมืองที่เป็นระเบียบ ทำให้พวกเขาวางใจอย่างมาก
พอเข้าเมืองมาได้ ก็พบว่าคนในเมืองซ่อมแซมกันทุกวัน ล้วนเตรียมการกันอยู่ การดำเนินการเช่นนี้ก็เพื่อระยะยาว การค้นพบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองตัดสินใจมานั้นถูกต้องแล้ว
พ่อค้าซานซีไม่น้อยเมื่อก่อนก็มีการค้ากับพ่อค้าในเมือง จึงรีบติดต่อกัน คิดไม่ถึงว่ามาถึงก็ได้ทำการค้าทันที พ่อค้าในเมืองมีของที่ได้จากชัยชนะในการสงครามนี้มาก การค้านี้ทำกำไรอย่างมากที่สุด
บรรดาพ่อค้าอุทานกับสิ่งของที่ได้จากสงครามครั้งนี้มากมาย ยังรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้เข้าร่วมด้วย บรรดาพ่อค้าเองก็รู้หลักการดี ล้วนจัดคนไปตรวจตราที่ต่างๆ ทุกคนล้วนไปขอเข้าพบหวังทงก่อน ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นมหาเทพแห่งชายแดนตอนเหนือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด