องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 784
เมืองต้าถงขึ้นเหนือไปร้อยกว่าลี้ เป็นพื้นที่ชายแดนเผ่าอันต๋ากับแผ่นดินหมิง แม้ตอนนี้ยังไม่มีวิธีแบ่งเขต แต่ทุกฝ่ายก็ย่อมรับมาปฏิบัติ ทหารชายแดนคิดเช่นนี้ แม้แต่ขุนนางราชสำนักก็คิดเช่นนี้
ระหว่างหวังทงนำทัพ ขอเพียงทำได้ก็จะส่งม้าเร็วนำสารส่งไปเมืองหลวงทุกวัน ม้าเร็วนำสารไปเมืองต้าถง แล้วค่อยมุ่งต่อไปยังส่งเมืองหลวง ผู้ตรวจการเมืองต้าถงและผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซี ยังมีขันทีคุมกำลังและเสบียงเมืองต้าถง หรือแม้กระทั่งรองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถง ทุกวันก็ต้องมีสารออกไปยังที่ต่างๆ แน่นอน ส่วนใหญ่ส่งไปยังเมืองหลวง
หลังจากหวังทงข้ามเขตร้อยลี้ไป คนในเมืองหลวงก็รู้ข่าวนี้กันทันที พวกเขาไม่รู้อาวุธปืนทั้งหลายแท้จริงแล้วมีประโยชน์เช่นไร แต่พวกเขามีวิธีเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า หวังทงมีทหารราบไม่ถึงสามหมื่น ทหารพวกนอกด่านอย่างน้อยก็ทหารม้าห้าหมื่น จำนวนต่างกันอย่างมาก
เมื่อก่อนทหารม้านอกด่านรบกับแผ่นดินหมิง หากยกทัพสองฝ่ายปะทะกันจริงๆ ทหารม้าพวกนอกด่านหมื่นนายก็เพียงพอจะรับมือกับทหารราบแผ่นดินหมิงหลายหมื่นได้
หวังทงนำทัพทหารหมิงสามหมื่น แม้จะนำเสบียงไปเอง แต่ออกไปเดินทางโดดเดี่ยวบนทุ่งหญ้าแผ่นดินศัตรู อีกฝ่ายย่อมได้เปรียบทางทหารมากกว่า อีกฝ่ายยังชำนาญการรบ การไปครั้งนี้ เกรงว่าคงได้ราบคาบทั้งกองทัพ มีแต่ไปไม่มีกลับเป็นแน่
ทหารสามหมื่นราบคาบทั้งกองที่นอกด่าน ตายก็ตายไปเถอะ แต่ที่จะทำให้คนยุ่งยากก็คือ หากเกิดเรื่อง ย่อมทำให้เผ่าอันต๋าโกรธ ทำให้พวกเขานำกองทัพมาแก้แค้นคืน
ทหารเมืองต้าถงอ่อนแอยิ่ง ไม่อาจต้านทานได้ หากจะอาศัยทหารเมืองเซวียนฝู่ของหลี่หรูซงกับทหารเมืองจี้โจวของลี่อวิ๋นไหลก็พอไหว แต่ทหารเมืองจี้โจวสองหมื่นที่เก่งกล้ากลับถูกหวังทงเคลื่อนกำลังไปแล้ว ก็เหลือความหวังอยู่แค่กองกำลังเมืองเหลียวโจวของหลี่เฉิงเหลียงแล้ว
หากชีจี้กวงแห่งเมืองจี้โจวยังอยู่ ทุกคนยังคงสงบใจได้บ้าง แต่ตอนนี้ชีจี้กวงไปประจำที่กวางตุ้งเสียแล้ว พื้นที่ตอนเหนือกว้างใหญ่ ถึงกับไม่มีแม่ทัพใหญ่มีชื่อคุมกำลัง หรือว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยอดีต พวกนอกด่านตีเข้ามาล้างบางเมืองต้าถง จากนั้นค่อยยกมาสร้างโศกนาฏกรรมที่เมืองหลวงต่อ ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความผิดของหวังทงทั้งสิ้น เจ้าขุนนางบู๊บัดซบเหิมเกริมผู้นี้ อาศัยบารมีฮ่องเต้ที่ทรงโปรดกระทำการลืมตน ในที่สุดก่อให้เกิดเภทภัยใหญ่เช่นนี้ได้
ข่าวเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ขุนนางเมืองหลวงยังไม่เชื่อ เพราะว่าไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นเรื่องจริง มาเป็นขุนนางเพื่ออันใด ก็เพื่อก่อร่างสร้างตัว เพื่อมีภรรยาและสาวงามข้างกาย มีทรัพย์สินเงินทอง หวังทงทำเรื่องเช่นนี้ที่เมืองต้าถง ก็ย่อมเพื่อตำแหน่งและเงินทอง ได้รับตำแหน่งที่ยิ่งสูง
แต่การนำทหารออกนอกด่านเข้าไปในแดนศัตรูเป็นการทำเพื่อตำแหน่งเงินทองที่ไหนกัน เห็นชัดว่าไปหาความตาย หวังทงตายไปก็ดี แต่อย่าได้ดึงคนอื่นพลอยลำบากไปด้วย
จะว่าไป หวังทงทำการค้าวางรากฐานกิจการใหญ่ที่เทียนจิน เปิดร้านค้ามากมายเพียงนั้น ทุกวันทุกเดือนมีเงินทองหลั่งไหลเข้ามาราวกับภูเขาทองทะเลเงิน หากเขาล้มลง กิจการพวกนี้ผู้ใดดูแลต่อกัน เทียนจินตอนนี้มีรายได้ภาษี การจะจัดตั้งที่นั่นเป็นเขตปกครองโดยตรงก็ย่อมทำได้ หรือจะตั้งเป็นมณฑลก็ย่อมได้ ผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้กัน ยังไม่ทันตาย หากขุนนางต่างคิดกัน แม้แต่ฝ่ายในวังก็คิดเช่นกัน
เทียนจินทุกปีส่งเงินเข้าวัง ในวังย่อมต้องแต่งตั้งขันทีมาคุมภาษีส่วนนี้ ยังมีภาษีออกทะเลอีก อย่างไรนายท่าสักคนก็ต้องมี พื้นที่ส่งต่อเสบียง ตำแหน่งขันทีคุมเสบียงควรเพิ่มอีกสักคนหรือไม่ นี่เป็นงานที่สร้างรายได้กองโต ทำสองสามปี ดีไม่ดีไม่ต้องกินใต้โต๊ะเยอะนัก ก็สามาถใช้ไม่หมดไปหลายชั่วชีวิต
ขันทีในวังหวั่นไหวกันมาก แต่กล้าพูดและลงมือนั้นไม่มี จางเฉิงกับโจวอี้จับตาแน่น ข้างกายฮ่องเต้ยังมีเจ้าจินเลี่ยง ตอนนี้ลงมือหรือพูดจาก็คงไม่ได้ประโยชน์อันใด มีแต่ตนเองคงได้แหลกสลายไปเสียก่อน ได้ไม่คุ้มเสีย
คนในวังนิ่งเงียบ แต่คนนอกวังกลับเคลื่อนไหว ขุนนางในเมืองหลวงที่เดิมลังเลกันอยู่เริ่มมีเสียงกันขึ้น
แค่มีข่าววันแรก วันที่สองหน้าประตูกรมฎีกาก็มีพวกขุนนางบัณฑิตมาออกันรอยื่นฎีกา มีบางคนติดสินบนเจ้าหน้าที่ให้ส่งฎีกาที่เขายื่นวิจารณ์หวังทงขึ้นไปก่อน
“ไม่รู้จักเจียมตัว นำกำลังออกไปรนหาที่ตาย โจมตีตอนนี้ ผิดพลาดเป็นแน่!”
“เพื่อประโยชน์ตนผู้เดียว กลับทำให้ทหารนับหมื่นมาพลอยตายไปด้วย คนผู้นี้มีความผิดเทียมฟ้ามหาสมุทร ควรลงโทษให้หนัก”
“…….หวังทงแต่ไรมาก็ทำหน้าที่ด้วยความเฉียบแหลม เหตุใดครั้งนี้จึงมุทะลุไปได้ ออกไปตอนเหนือครานี้ จะต้องไปสวามิภักดิ์ศัตรูเป็นแน่….”
เนื้อหาฎีกาต่างๆ นานา ล้วนมุ่งเน้นให้มีโทษสังหารทั้งตระกูลเป็นหลัก ยังมีคนยื่นฎีกาว่าตอนนี้เทียนจินมีหน้าที่เก็บภาษีหลัก ไม่อาจไร้คนดูแล ขอฝ่าบาทส่งขุนนางมีคุณธรรมไปดูแล
ในวังล้วนมีปฏิกิริยาเป็นหนึ่งต่อฎีกาพวกนี้ ก็คือทิ้งค้างไว้ เจ้าส่งมา ข้าก็เก็บไว้ ไม่ทำอันใด
หลังหวังทงนำทหารเข้าไปในภูเขา สายลืบกับทหารจู่โจมของพวกนอกด่านก็มาก ทัพหวังทงก็ย่อมต้องหยุดส่งข่าว
ทุกวันมีข่าวไปยังเมืองหลวง แต่ข่าวพวกนั้นต้องสิบกว่าวันจึงจะถึง พอหยุดส่งข่าว ทางนั้นที่ส่งไปย่อมยังไม่หยุด ทางเมืองหลวงรู้ความล่าช้าด้านเวลานี้ดี ดังนั้นข่าวที่มาเป็นเช่นไรก็ตาม ส่วนใหญ่จึงไม่มีคนสนใจนัก แต่กลับมีข่าวลือต่างๆ นานามาแทนที่
วันนี้มีข่าวทัพใหญ่ถูกกวาดล้างหมด พรุ่งนี้มีข่าวว่าเผ่าอันต๋าบุกเข้าเมืองต้าถง ยังมีว่าหวังทงนำทัพสวามิภักดิ์ศัตรู ทัพใหญ่ออกจากมณฑลซานซีไปแล้ว เป็นต้น
ชาวบ้านเมืองหลวงยิ่งจิตใจไม่เป็นสุข เห็นๆ ว่าใกล้ปีใหม่แล้ว น่าจะอยู่ฉลองกันที่เมืองหลวง แต่กลับมีชาวบ้านออกนอกเมืองไปพึ่งพาญาติ อพยพหนีจากเมืองหลวงกันไปชั่วคราว
ถึงกับมีเรื่องบัดซบเช่นนี้เกิดขึ้น ก็คือมีคนไปตะโกนล้อเล่นที่ประตูเมืองว่า ‘พวกนอกด่านตีมาถึงแล้ว’ ปรากฏว่าท้องถนนที่เงียบสงบก็พลันแตกตื่น มีคนตะโกน มีคนวิ่ง ผู้หญิงและเด็กร้องไห้กระจองอแง
เริ่มจากนอกประตูเมืองเข้าไปในเมือง จากนั้นก็ไปทั่วสารทิศ ทั้งเมืองหลวง ในเมืองนอกเมืองล้วนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ยังมีพวกนักเลงหัวไม้ฉวยโอกาสออกปล้น เริ่มกวนน้ำให้ขุ่นก่อนจะจับปลา เข้าปล้นชิงร้านค้า เข้าปล้นบ้านเรือน
หากในยามปกติ สถานการณ์นี้เกรงว่าคงไม่อาจควบคุมได้ แต่ยามนี้ประตูเมืองด้านในปิดทุกด้าน ประตูออกนอกเมืองหลวงก็ปิดหมด จัดการระเบียบให้เข้มงวด จากนั้นส่งทหารออกปราบปรามในเมือง สถานการณ์วุ่นวายย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีคนตายก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนมีจำกัด ทหารศาลอาญาใหญ่ก็อ่อนแอ ปกติหากเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ การที่จะสามารถปกป้องสถานที่ราชการไม่ให้ได้รับผลกระทบก็ไม่เลวแล้ว คิดจะควบคุมทั้งหมดให้สงบนั้นเป็นไปไม่ได้
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนี้แล้ว สำนักองครักษ์เสื้อแพรตั้งหน่วยวินัยทหาร ตั้งกองลาดตระเวน ตั้งหน่วยฝึกทหาร ความวุ่นวายเริ่มเกิด ปฏิกิริยากองลาดตระเวนช้ากว่านิดเดียว เพียงแค่เข้าควบคุมสถานการณ์ตามถนนสายต่างๆ หากเจ้าหน้าที่ตามถนนสายต่างๆ ก็มีจำกัด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
แต่หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉตัดสินใจทันที ให้สารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารเริ่มลาดตระเวนทั่วเมือง หนึ่งถ่ายทอดคำสั่ง สองหากพบการฉวยโอกาสปล้นให้จับกุมลงโทษทันที โรงบ้านนอกเมืองที่เป็นที่ตั้งหน่วยฝึกทหารก็ได้รับคำสั่ง ให้รีบเข้ามารักษาสถานการณ์ในเมืองทันที
หน่วยวินัยทหารแม้ถูกหวังทงพาออกไปรบตอนเหนือไม่น้อย แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ที่นี่ ล้วนเป็นทหารเก่งกล้าแห่งสำนักบูรพากับในกองทัพ ขี่ม้าทะยานออกไปตามท้องถนน พวกนักเลงหัวไม้ที่ฉวยโอกาสเข้าปล้นคิดไม่ถึงเลยว่า ทางการจะมาไวเพียงนี้ และยังร้ายกายเพียงนี้ พวกเขาแม้แต่โอกาสหลบหนีก็ไม่มี ได้แต่คุกเข่าร้องขอชีวิต พวกหัวช้าก็ได้แต่ถูกดาบฟันคอขาดทันที
เจ้าหน้าที่กองลาดตระเวนได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติการ พวกเขาไม่แบ่งกำลังออกตามหน่วยงานของตน แต่รวมตัวกัน ใช้กระบองปิดทับด้วยแผ่นหนัง เริ่มออกรักษาความสงบเรียบร้อยตามท้องถนน
ราษฎรที่แตกตื่นออกมาวิ่งกันทั่วท้องถนน พอถูกกระบองตีอย่างไม่สนใจหน้าไหน ก็ส่งเสียงร้องเรียกหาพ่อหาแม่ จากนั้นก็ไม่กล้าแตกตื่นส่งเสียงเอะอะกันอีก ฟังคำสั่งทางการจัดระเบียบแต่โดยดี
กำลังสำนักรักษาความสงบในเมืองเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นก็เป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง พอทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวงเริ่มลาดตระเวนในเมืองนอกเมือง พวกที่คิดก่อเรื่องให้ใหญ่ ก็พากันสงบเสงี่ยมลง ไม่ต้องพูดถึงทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวง แค่สารวัตรทหารหน่วยวินัยทหารองครักษ์เสื้อแพรสวมเกราะขี่ม้าออกมาวิ่งตามท้องถนน ก็เพียงพอทำให้ผู้คนสงบลงได้แล้ว
สถานการณ์กลับคืนสู่ความสงบ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับทหารองครักษ์เสื้อแพรออกไปตีฆ้องประกาศว่า ทุกอย่างไม่เป็นความจริง
น่าแปลกที่ในเมืองอยู่ๆ ก็มีพวกก่อความไม่สงบนี้ได้ ยามนี้หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อกำลังเปิดประชุม บรรดาขุนนางกำลังรายงาน ฮ่องเต้กับขุนนางใหญ่หกกรมกองกำลังหารือราชกิจ พอได้ยินเช่นนี้ก็พากันตกอกตกใจ วิกฤตเผ่าอันต๋ายกทัพมายังไม่เท่าไร แต่พื้นที่ประทับฮ่องเต้เกิดเรื่องเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นภัยใหญ่
ทว่าข่าวสารเมืองหลวงกระจายเร็ว ไม่นานก็รู้กันว่า กองลาดตระเวนกับหน่วยวินัยทหารและหน่วยฝึกทหารองครักษ์เสื้อแพรออกปฏิบัติการ เริ่มจัดการให้สงบลงได้แล้ว ไม่นานก็มีข่าวมาว่า เมืองหลวงเกิดเหตุจลาจลนั้นเริ่มสงบแล้ว จากนั้นก็มีข่าวมาอีกว่า ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงอีก
แม้ว่าทุกคนตกใจกันเก้อ แต่ก็รู้สึกเสียหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วมาก ดังนั้นจึงมีดำรัสให้ตัดหัวประหารอย่างรวดเร็วว องครักษ์เสื้อแพรถ่ายทอดคำสั่งผ่านไปทางผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกง ผู้ใดที่ล้อเล่นเช่นนี้ในและนอกเมือง ผู้ใดป่าวประกาศให้วุ่นวาย ผู้ใดร่วมก่อความไม่สงบ ให้ประหารทิ้งตรงนั้นทันทีไม่ต้องรายงาน พวกที่ถูกจับได้ ก็ง่ายมาก ประหารทิ้งในทันที
ตอนบ่ายในเมืองแตกตื่นใหญ่ พอปราบปรามลงได้ ที่ประตูอู่เหมินก็เริ่มสังหาร มีคนหัวหลุดจากบ่า เลือดสดไหลนอง คนที่ได้พบเห็นต่างพากันกลัวจนปิดปากเงียบกริบ
ตอนแรกในเมืองต่างพากันวิจารณ์ว่าหวังทงมีความผิด แต่พอเรื่องสงบ เป็นระบบองครักษ์เสื้อแพรของหวังทงที่ทำให้ปลอดภัย ทุกคนจึงไร้คำกล่าวในเรื่องนี้
เทียบกับพวกขุนนางบัณฑิต ขุนนางใหญ่หกกรมกองกลับไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ เพราะไม่มีเวลามาสนใจ ด้วยหากเมืองต้าถงถูกพวกนอกด่านโจมตีจริง พื้นที่เมืองหลวงย่อมอันตรายมาก ตอนนี้เมืองจี้โจวส่งกำลังทหารเก่งกล้าสองหมื่นนายไป เมืองเซวียนฝู่ทหารน้อย ทางเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงก็เตรียมกำลัง แต่ละหน่วยเคลื่อนไหว เสบียงก็เริ่มสั่งสม ล้วนต้องทำงานหนักกัน พวกเขาเป็นศูนย์กลาง ย่อมเข้าใจดีว่าหากแผ่นดินล่มสลาย ตนเองก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีเช่นกัน แต่ขุนนางบัณฑิตทั่วไปกลับไม่มองไกลเพียงนั้นหรือไม่ก็ไม่อยากจะมองให้รอบด้าน
หวังทงเหิมเกริมทำให้จิตใจคนเมืองหลวงหวาดหวั่น ก็เป็นความผิดพลาดอยู่ แต่จุดจบฎีกาพวกนี้ก็ยังคงเป็นการเก็บไว้ไม่ส่งออก ทว่าพอเข้าสู่ต้นเดือนหนึ่ง ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ทัพหวังทงก็ไร้ข่าวคราว