องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 785
มีเงินก็ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้ ในวังช่วงปีใหม่ไม่เหมือนกับชาวบ้านนอกวัง ย่อมฟุ่มเฟือยกว่ามาก ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมก็ทรงโปรดความครึกครื้นรื่นเริงอย่างมาก ตั้งแต่เทียนจินส่งเงินก้อนจินฮวาสองแสนกว่าเข้าวัง เทศกาลในวังก็จัดกันอย่างเอิกเกริกหลากหลายรูปแบบ
ทว่าปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ก่อนวันที่ 7 เดือนหนึ่งยังนับว่าดี หากตอนนี้เสียงยินดีสรวลเสในวังกลับไม่ได้เป็นเช่นปีก่อนๆ เพราะในวังผู้คนจิตใจละเอียดอ่อน ล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์ไม่ดีนักในช่วงนี้
หลังวันที่ 7 ข่าวจากมณฑลซานซีก็เริ่มไม่ต่อเนื่อง พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มไม่ดีนัก
แต่น่าหัวเราะเยาะยิ่งก็คือระยะนี้ขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงไม่ค่อยมีคนยื่นฎีกามากนัก สาเหตุก็ง่ายมาก ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ผู้ใดก็ล้วนไม่มีเวลามาหาเรื่องต่อ และยังเป็นโอกาสในการเฝ้าดูสถานการณ์ก่อน
ข่าวที่ในวังได้รับมา ล้วนเป็นข่าวจากคนของหวังทงส่งมา เป็นข่าวจริงและเร็วกว่าข่าวจากขุนนาสายอื่นได้มามากนัก
แต่หลังวันที่ 7 เดือนหนึ่งมา ก็ไม่ค่อยได้รับข่าวทุกวันแล้ว แต่ข่าวก็ยังเรียกได้ว่าไม่เลว ล้วนเป็นการเล่าถึงความคืบหน้าที่ราบรื่นดี พวกสายสืบนอกด่านไม่กล้าเข้าใกล้กองทัพเราแล้ว แต่ทางมณฑลซานซีรายงานมากลับไม่ใช่เช่นนี้ เพราะล้วนเป็นข่าวที่ว่าทัพใหญ่พ่ายแพ้ใหญ่นอกด่านแล้ว ได้ยินว่าพวกนอกด่านมารวมกำลังใหญ่กันหนาแน่น ทางการหมิงรับมือไม่ไหว และยังมีฎีกาด่วนให้ทางราชสำนักส่งกองกำลังเสริมไปช่วยเหลือ
ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมเชื่อใจหวังทง ทรงรู้สึกว่าสถานการณ์ยังไม่เลวร้าย ฎีการองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถงก็เป็นกลาง ที่รายงานมาย่อมเป็นเรื่องจริง บอกว่าได้ยินว่าผู้บัญชาการมณฑลทหารใต้เท้าหวังนำกำลังพ่ายแพ้ใหญ่ กระหม่อมอยู่ที่นี่ไม่รู้ความจริงเป็นเช่นไร แต่ใต้เท้าหวังบัญชาการรบได้เฉียบแหลม จะแพ้ได้อย่างไร จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาถึงด่านชายแดนเมืองต้าถง ม้าเร็วสองวันถึง หากมีเรื่องใด เหตุใดไม่เห็นรายงาน
วาจาแม้ไม่กล่าวชัดเจน ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ก็เข้าใจ ความหมายก็คือ หากแพ้ใหญ่ หากถูกตีพ่ายจริง ทหารม้า 5,000 นายก็คงวิ่งมายังกำแพงเมือง เหตุใดไม่เห็นแม้เงา เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวลือ
ที่กล่าวกันว่า สามคนกล่าววาจาเหมือนกันก็ทำให้น่ากลัวราวกับเสือร้ายได้ แม้ฮ่องเต้ว่านลี่เชื่อใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานวาจาจากแหล่งต่างๆ ได้ ในพระทัยก็ย่อมไม่ดีนัก เป็นเช่นนี้มาจนถึงวันที่ 25 เดือนหนึ่ง ข่าวจึงได้ขาดการติดต่อถาวร
พวกขุนนางบัณฑิตที่เริ่มส่งเสียงก็ค่อยๆ หนาหูขึ้น ข่าวขาดการติดต่อไปแล้วจริงๆ แต่ทุกคนกลับไม่กล้ามั่นใจเท่าไร เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบไปพักหนึ่ง
สถานการณ์เลวร้ายสักเท่าใดก็ย่อมต้องกลับมารายงานบ้าง พวกนอกด่านก็ย่อมส่งคนมาอวดเบ่งท้ารบต่อบ้าง เหตุใดข่าวสารจึงไม่มีมาแม้แต่น้อย หรือว่าถูกล้อมไว้จริง ไม่มีผู้ใดหนีออกมาได้สักคน
มาจนวันที่ 28 เดือนหนึ่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มเซ็งแซ่ ฎีกาเริ่มด่าทอหวังทงคิดว่าสร้างความชอบใหญ่ถึงกับทำให้ชาวประชายากลำบากเพื่อประโยชน์ตนเอง ไม่สนใจราษฎรและแผ่นดินว่าจะเป็นเช่นไร ทหารกล้าหลายหมื่นเสียชีวิตบนแผ่นดินศัตรูไม่ว่า หากยังจะทำลายความสงบเรียบร้อยที่เฝ้ารักษามาหลายสิบปีไม่ง่ายนี้ลง
ความชั่วช้าเช่นนี้ สมควรได้รับโทษ กวาดล้างตระกูล ให้ลงโทษเร็วที่สุด ไม่เช่นนี้ก็ไม่ทางคืนความเป็นธรรมให้ใต้หล้าได้ ไม่มีทางรักษาระเบียบแห่งแผ่นดินได้
มีคนขอท่ามกลางการประชุมราชสำนักว่าจะไปตรวจสอบพวกหวังทงที่เหลือที่เทียนจินด้วยตนเอง เพื่อขจัดรากแห่งความชั่วร้ายให้หมดไป หากแต่ไรที่ไม่เคยได้รับการตอบสนองใดจากฮ่องเต้ว่านลี่ ครั้งนี้กลับทรงกริ้วและตำหนิรุนแรง
เทียบกับความวุ่นวายเมืองหลวงแล้ว พ่อค้าเทียนจินกลับเงียบสงบกว่ามาก แม้พ่อค้าบางส่วนเริ่มเตรียมการ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือแตกตื่นอันใด
ตามคำบอกกล่าวของคนที่เชื่อถือได้ ใต้เท้าหวังสังหารพวกนอกด่านราวกับหั่นผัก เคยแพ้เสียที่ไหนกัน ตอนนั้นนำกำลัง 3,000 ออกทุ่งหญ้านอกด่านตัดหัวศัตรูมาได้ตั้งหลายพัน ตอนนี้นำไปเกือบสามหมื่น พวกนอกด่านไม่คณามือหรอก
***************
“จางปั้นปั้น หวังทงทางนั้นจะเกิดเรื่องหรือไม่?”
การประชุมในวันนี้ ขุนนางหวังซีเจวี๋ยเสนอให้เคลื่อนกำลังเมืองเหลียวโจวกองหนึ่งไปยังอำเภอหวง หากเมืองหลวงเกิดเหตุ ก็สามารถมารับมือได้ทัน นี่เป็นถึงขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองที่เสนอออกมาชัดเจนเป็นครั้งแรก สถานะเขาสูงส่ง การตัดสินใจเรื่องต่างก็ล้วนต้องรอให้เห็นผลสรุปที่ชัดเจนจริงๆ เสียก่อนเสมอ
ตอนนี้เมืองต้าถง มณฑลซานซีทางนั้นไม่มีเอกสารทางการสักฉบับบอกเล่าว่าทัพหวังทงพ่ายแพ้อย่างไร แต่ทุกฉบับแอบส่งกันมาอย่างเป็นความลับบอกว่ามีข่าวลือมากมายในมณฑลซานซี ข่าวว่าทัพใหญ่เราทั้งหมดโดนปราบราบคาบแล้ว
หวังซีเจวี๋ยเสนอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ส่วนกลางเริ่มเล็งเห็นว่าเป็นเหตุร้ายแล้ว ทำให้พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดีนัก
ขณะหารือเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่แสดงออก แต่พอกลับมายังห้องทรงอักษร ก็อดถามถึงไม่ได้
จางเฉิงอายุมาแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ งานการมากมาย ขณะอยู่ห้องทรงอักษรปรนนิบัติฮ่องเต้ ส่วนใหญ่ก็นั่งจัดการราชกิจแทนฮ่องเต้ว่านลี่ที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างๆ โต๊ะทรงอักษร
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามเช่นนี้ จางเฉิงขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจากฎีกา หันไปส่งสายตาให้เจ้าจินเลี่ยง เจ้าจินเลี่ยงรู้งานรีบออกไปหน้าห้องทรงอักษรทันที
เจ้าจินเลี่ยงกระแอมไออยู่หน้าประตู คนในห้องได้ยินแล้ว จางเฉิงลุกขึ้นเข้าไปใกล้ทูลถามขึ้นสีหน้าจริงจังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมถามคำหนึ่ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซีกับผู้ตรวจการเมืองต้าถงถวายฎีกามาหรือไม่ บอกว่าหวังทงนำกำลังทหารพ่ายแพ้หรือ? กระหม่อมตรวจเอกสารในสำนักส่วนพระองค์ ไม่เห็นพะยะค่ะ หรือว่ามีสารลับ?”
ด้วยสายสัมพันธ์จางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ แม้ว่าสารลับก็ไม่ต้องปิดบัง วาจานี้รู้อยู่แล้วยังถาม ฮ่องเต้ว่านลี่ อึ้งไป ตอบอย่างไม่สบพระทัยว่า
“จางปั้นปั้นกล่าวอ้อมไปมาอีกละ ที่เราพูดนี่ท่านก็รู้ว่าเรื่องอันใด สถานการณ์ตอนนี้…….”
จางเฉิงทูลขออภัยโทษ หากก็ตัดบทอย่างไม่เกรงพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้หวังทงแพ้ชนะไม่รู้ เมืองหลวงก็เซ็งแซ่กันเช่นนี้ไปแล้ว วาจาเหลวไหลของขุนนางบัณฑิตทั้งหลาย มีคนต้องการไปปฏิบัติงานที่เทียนจินตอนนี้ คิดจะไปร่ำรวยกัน กระหม่อมขอกล่าวไม่เป็นมงคลสักประโยค ยังไม่รู้แพ้ชนะยังเป็นกันเช่นนี้ หากรู้ว่าแพ้ ยังไม่รู้จะก่อเรื่องกันถึงขั้นไหน?”
วาจานี้ทำเอาฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งอึ้งไป ก่อนจะได้พระสติตามมา ฮ่องเต้ว่านลี่ตบโต๊ะอย่างแรง กริ้วจัดตรัสว่า
“หากว่าแพ้ เราตอนนี้เกรงว่าคงถูกพวกเขาแย่งไปหมด กว่าจะได้ครอบครองมาไม่ง่าย ก็ต้องแบ่งให้คนพวกนี้ไป”
“ฝ่าบาท เทียนจินแม้ไม่ได้บอกกระจ่าง แต่ใต้หล้านี้ผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่ของฮ่องเต้ เป็นที่มาของรายได้ในวังแหล่งหนึ่ง แต่ยังคงมีคนมากมายยื่นฎีกาขอไปเป็นขุนนางที่เทียนจิน หลายวันนี้ พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงส่งคนมาเจรจาต่อรอง นี่ยังเห็นฝ่าบาทอยู่อีกหรือไม่”
จางเฉิงกล่าวสีหน้าเคร่งน้ำเสียงนิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์บูดเบี้ยว พระโอษฐ์พึมพำด่าแต่ว่า ‘บัดซบ’ ‘บัดซบ’ จางเฉิงกล่าวต่อว่า
“ฝ่าบาท วันนี้ทรงครองแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ฝ่าบาททรงพระปรีชาจึงได้มาถึงวันนี้ได้ ในนี้ก็เป็นเพราะเงินก้อนจินฮวาหลายแสนที่หวังทงนำส่งมอบเข้ามาทุกปี จนคลังหลวงเต็มคลัง สามารถให้พระองค์ได้พระราชทานแก่กองกำลังสังกัดวังหลวง กองกำลังเมืองหลวง คุมอำนาจการทหารเมืองหลวงไว้ได้ หวังทงยังตั้งสำนักรักษาความสงบ และจัดระเบียบสำนักองครักษ์เสื้อแพรให้ฝ่าบาททรงรับรู้ข่าวสารได้ฉับไว้ สามารถรับรู้เรื่องราวขุนนางแม้เพียงลมพัดยอดหญ้าในเมืองหลวงได้ราวกับอยู่ในฝ่ามือ หลายเรื่องก็สามารถวางแผนรับมือล่วงหน้าได้ หวังทงสร้างกองกำลังหู่เวย ก็เพื่อไว้กำราบพวกที่คิดไม่ซื่อต่อแผ่นดิน ให้ฝ่าบาทมีราชโองการจัดการได้ดังพระทัย ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน…….”
“…….ที่เจ้าพูดมาเราเข้าใจอยู่ เราสามารถครองอำนาจฮ่องเต้แท้จริงได้ เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของหวังทง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ หวังทงแพ้หรือชนะบนทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่รู้ได้ แม้เป็นหรือตายก็ไม่รู้ พูดเรื่องนี้มีประโยชน์อันใด…”
“ฝ่าบาท หากหวังทงพ่ายแพ้บนทุ่งหญ้านอกด่าน ย่อมมีคนต้องการให้ลงโทษความผิดเขา เช่นนั้นทุกอย่างก็ย่อมสั่นคลอน เขาทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาท ล้วนทำให้คนกังขา ล้วนมีคนคิดจะแย่งชิง ถึงตอนนั้น มหาอำมาตย์อาจคืนสู่อำนาจอีกครั้ง กระหม่อมไม่อาจได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ อาจมีขันทีใหม่เช่นเฝิงเป่าอีกครั้ง”
‘ปัง!’ ฮ่องเต้ว่านลี่ทุบโต๊ะอย่างแรง กัดพระทนต์กรอดตรัสว่า
“เราเป็นฮ่องเต้ ผู้ใดกล้าล่วงเกินอำนาจฟ้าเช่นเรา! คิดอยากถูกประหารเก้าชั่วโคตรหรือ!?”
จางเฉิงไม่ตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่ทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมอง ทอดพระเนตรเห็นจางเฉิงหันไปคำนับอีกทาง หากไม่ใช่ทิศทางที่พระองค์ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกแปลกพระทัย พอได้พระสติ มองไปทางจางเฉิง เป็นตำหนักฉือหนิงกง
“ทางเสด็จแม่…….แต่เสด็จแม่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชกิจ…….”
“ฝ่าบาท อู่ชิงโหวตอนนี้กำลังคุมกองกำลังเมืองหลวง”
“ท่านน้านั่น…….”
อู่ชิงโหวหลี่เหว่ยจากไปแล้ว บุตรชายคนโตอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อ ตอนนั้นลัทธิไตรสุริยันก่อการในวัง คนที่คุมอำนาจทหารต้องการหาคนที่ไว้ใจได้ หลี่เหวินเฉวียนย่อมเป็นตัวเลือก มาถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ส่งมอบอำนาจคืน ทว่าตามระเบียบกองกำลังเมืองหลวง ต้องให้เจ้ากรมทหารฝ่ายขวากับหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์สั่งการควบคุมดูแล ชนชั้นสูงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองหลวงส่วนใหญ่ไร้อำนาจแท้จริง
แม้ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ได้มายุ่งการปกครอง ตอนนี้แม้ว่าพระอำนาจจางลง แต่อิทธิพลก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ สถานะน้องชายไทเฮาอย่างหลี่เหวินเฉวียนย่อมทำให้ทรงมีพระอำนาจไม่น้อย
ฮ่องเต้ว่านลี่คิดสักครู่หนึ่งก็ทรงรู้สึกหนาวพระทัยขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว ถามขึ้น
“หวังทงแพ้ชนะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังตัดสินอันใดไม่ได้ เราควรทำเช่นไรดี?”
“ฝ่าบาท กองกำลังเมืองหลวงไม่อาจทำอันใดได้ในระยะเวลากระชั้นชิด แต่สี่กองกำลังส่วนพระองค์ในวัง กองกำลังสังกัดสำนักอาชาหลวง ยังพอควบคุมได้ สถานการณ์ไม่ว่าเป็นเช่นไร แต่ก็ต้องเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันไว้ ปีนี้เทียนจินส่งเงินก้อนจินฮวาเข้าคลังมาแล้ว ขอฝ่าบาทจัดสรร แจกเบี้ยทหารล่วงหน้าเพื่อซื้อใจทหารเอาไว้ พระราชทานให้หนักเพื่อให้พวกเขาตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ หากมีวันนั้นจริง ก็คงไม่ถึงกับทิ้งไปไม่สนใจ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ จางเฉิงทูลต่อว่า
“หากเมืองต้าถงยังไม่มีเอกสารทูลเป็นทางการมา เช่นนั้นการทำสงครามก็ยังไม่รู้ผล ขอเพียงฝ่าบาทจดจำเรื่องนี้ไว้ก็พอ ตอนนี้หากแตะต้องหวังทง ลงโทษหวังทง ย่อมกระทบถึงฝ่าบาทเอง มณฑลซานซีทางนั้นยืนยันมาช้าวันหนึ่ง ฝ่าบาทก็มีเวลาเพิ่มอีกวันหนึ่ง”
จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทูลว่า
“ทางเทียนจินนั้น…….”
จินเลี่ยงส่งเสียงดังมาจากด้านนอก ทูลรายงานว่า
“ทูลฝ่าบาท นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”