องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 786
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา พูดถึงไทเฮา ไทเฮาฉือเซิ่งก็ส่งคนมา ทำให้ทั้งสองในห้องทรงอักษรเงียบลง จางเฉิงมองไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ แย้มสรวลตรัสว่า
“เราไปตำหนักเสด็จแม่ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด วันก่อนก็ไปมา……”
หลังเกิดเหตุลัทธิไตรสุริยันในวัง อำนาจสูงสุดในวังจากไทเฮาฉือเซิ่งก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือฮ่องเต้ว่านลี่โดยปริบาย แต่บางครั้งฮ่องเต้ว่านลี่แม้จะไม่พอพระทัยกับพระอำนาจและสั่งการราชสำนักของไทเฮาฉือเซิ่ง หากแม่ลูกอย่างไรก็ไม่อาจขัดกัน ตอนนี้ในราชสำนักขุนนางต่างโจมตีฮ่องเต้ว่านลี่ ขุนนางบัณฑิตตำหนิที่พระองค์หลงใหลสุรานารี แต่ที่ทุกคนไม่อาจตั้งคำถามได้ก็คือความกตัญญูของฮ่องเต้ว่านลี่
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จตำหนักฉือหนิงกงเพื่อถวายพระพรก็ยังคงดำเนินต่อไป แม่ลูกยังคงร่วมโต๊ะอาหาร ทว่าสองฝ่ายกลับไม่ค่อยได้คุยเรื่องราชกิจนัก
นางกำนัลหงอวี้มาทูลเชิญ บอกว่าจวนอู่ชิงโหวเมื่อวานนำไก่ป่ามาถวาย ให้ในวังปรุงแบบหอรุ่งเรืองเป็นไก่ป่าผัดซอส รสชาติหวานหอม ทูลเชิญฝ่าบาทไปลองชิม
อู่ชิงโหวทูลถวายอาหาร ย่อมไม่ให้แต่ไทเฮา แล้วไม่ให้ฮ่องเต้ กล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อหาเหตุผลเท่านั้น
หากในยามปกติ ไทเฮาฉือเซิ่งส่งคนมาทูลเชิญ ก็ย่อมเป็นเพราะแม่ต้องการเรียกลูกไปกินข้าวด้วยกัน แต่ตอนนี้ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสับสน คิดมากไปไกลเสียแล้ว ทว่าก็ยังสั่งให้คนไปเตรียมตัว
************
พอเข้ามาในตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงรู้ว่าเสด็จยังที่ใด แม้พระบาทเสด็จไม่คล่องนัก แต่ทว่าเสด็จได้เร็วมาก นางกำนัลนำทางต้องวิ่งจึงจะมาอยู่นำทางด้านหน้าได้
พอเข้าไปในตำหนักเสวย ฮ่องเต้ว่านลี่ถวายคำนับตามธรรมเนียม ไทเฮาฉือเซิ่งประทับอยู่ที่โต๊ะเสวยตรัสว่า
“ลูกเราช่างมากธรรมเนียมเช่นนี้เสมอ วันหน้าไม่ต้อง รีบมานั่งนี่เร็ว!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขอบพระทัยก่อนจะทรงลุกขึ้น พอยืดพระวรกายตรง ก็ขมวดพระขนง ทรงเห็นเงาด้านหลังไทเฮาฉือเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“นางหวง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เราจำได้ว่าไม่ได้เรียกตัว!”
“เจ้าลูกคนนี้ รู้กันว่าแต่งตั้งนางเป็นสนมกงแล้ว ยังเรียกแบบเดิมได้อย่างไร ยังเรียกนางหวงๆ เหมือนชาวบ้านอย่างไรอย่างนั้น”
ไทเฮาฉือเซิ่งแย้มสรวลตรัส ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงนิ่ง ตรัสถามตรงๆ ทันทีว่า
“เสด็จแม่ ทรงเรียกตัวนางหวงมาทำไมกัน?”
“ยังจะมีอะไรได้อีก เรากับลูกเราและสะใภ้เราร่วมทานอาหารค่ำกัน หรือว่าต้องมีเหตุผลด้วย”
แม้ไทเฮาฉือเซิ่งจะทรงแย้มสรวลสัพยอก แต่สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ดีนัก เงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สุรเสียงดังขึ้นว่า
“นางหวง เรากับเสด็จแม่ร่วมโต๊ะเสวย มีหลายเรื่องเป็นความลับส่วนตัว แม้แต่ฮองเฮายังต้องออกไป ที่นี่ไม่ต้องการเจ้าปรนนิบัติ เจ้ากลับไปได้แล้ว!”
พระสนมกงเข้ามาก็เอาแต่ก้มหน้ายืนอยู่ด้วยความนอบน้อมยิ่ง สมกับตำแหน่งพระราชทานคำว่า กง ที่แปลว่านอบน้อมยิ่งนัก ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส ก็เงยหน้าเล็กน้อย แต่ก็รีบก้มหน้าลงทันที รับคำเบาๆ ก่อนจะถวายบังคมออกไป
เห็นพระสนมกงออกไป สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็เคร่งเครียด ทว่ากลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปมองซ้ายขวาก่อนจะรับสั่งว่า
“ตามธรรมเนียมปกติที่เป็นมา พวกเจ้าก็ถอยออกไปได้ ให้จิ่นซิ่วปรนนิบัติก็พอ!”
ในตำหนักฉือหนิงกง คำสั่งนี้มีแต่ไทเฮาฉือเซิ่งที่สั่งได้ แต่เพราะพระอำนาจฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มเข้มแข็ง ทุกคนก็ย่อมปฏิบัติตามด้วยความเคยชินไปเอง
ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นสีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งแปรเปลี่ยน เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ให้พระสนมกงออกไป จากนั้นก็เหลือไว้แค่จิ่นซิ่ว สีพระพักตร์ไทเฮาก็ยิ่งเปลี่ยน
ปฏิกิริยาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเป็นไม่เห็น ฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์ปีที่เก้าได้ร่วมบรรทมกับพระสนมกงคืนหนึ่งในตำหนักฉือหนิงกง เดิมคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้จะตั้งครรภ์ได้ เดิมตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ว่านลี่ ทรงต้องการให้ปิดบังเรื่องนี้ไว้ ไม่ต้องเปิดเผยให้เป็นที่รู้กัน
ทว่าที่ทำให้พระองค์คิดไม่ถึงก็คือ ทรงมีรับสั่งให้ไม่เอิกเกริก แต่ไทเฮาฉือเซิ่งทันทีที่ได้รับข่าวนี้ก็บอกว่าฝ่าบาทเจริญพระชนมายุ 20 ชันษาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีโอรส นางหวังตั้งครรภ์ เป็นความยินดียิ่งของบรรพชน เหตุใดจึงไม่สนใจกัน ไทเฮาฉือเซิ่งแม้ไม่ยุ่งเกี่ยวราชกิจ แต่เรื่องนี้ก็ทรงตรัสได้มีน้ำหนักมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่ต้องจำใจแต่งตั้งพระสนมกงขึ้น
จากนั้น พระสนมกงก็ประสูติพระโอรส ความสำคัญของโอรสองค์โตย่อมรู้กันดี ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ดีพระทัย ทรงใกล้ชิดพระสนมกงมากขึ้นอีกหน่อย
เทียบกับฮองเฮาที่แข็งทื่อน่าเบื่อ พระสนมเอกเจิ้งที่เฉลียวฉลาดร่าเริง พระสนมกงที่อ่อนโยนก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ เริ่มแรกฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกไม่เลว แต่ต่อมาก็ทรงรู้สึกถึงความผิดปกติ นางหวังไม่เคยทูลขออันใดให้ครอบครัวนาง กลับนำกระแสรับสั่งไทเฮามาแทน ช่วยทูลแทนไทเฮาฉือเซิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ถือที่สุดก็คือการยื่นมือเข้าข้องเกี่ยวราชกิจของไทเฮา ทรงกุมอำนาจใหญ่ไว้ได้แล้ว คนข้างพระวรกายมีมาก หูตาไม่ต้องพูดถึง ไม่นานก็ทรงรู้ พระสนมกงเชื่อฟังไทเฮาฉือเซิ่งทุกอย่าง แม้แต่งตั้งเป็นพระสนมแล้ว ก็ยังคงดำรงท่าทีแบบนางกำนัลในตำหนักฉือหนิงกงเหมือนเดิม
มิน่าเล่า ไทเฮาจึงทรงร้อนใจเรื่องสถานะพระสนมกง ต้องการสถานะให้โอรสพระสนมกง ที่แท้คิดจะยื่นพระหัตถ์มาข้องเกี่ยวราชกิจอีกนี่เอง ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่คิดได้เช่นนี้ทันที จากนั้นที่ได้ยินได้ฟังมาจากตำหนักฉือหนิงกงในวังก็ยิ่งทำให้ทรงเชื่อเช่นนี้อย่างมั่นพระทัย
แต่นั้นมา พระองค์ก็ทรงออกห่างพระสนมกง พูดไป พระสนมเอกเจิ้งตั้งครรภ์ได้สี่เดือนเรื่อง ดังนั้นแม้ขุนนางราชสำนักถวายฎีกาให้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงสนพระทัย รอให้พระสนมเอกเจิ้งมีพระประสูติก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ใช่องค์เดิมเช่นเมื่อหลายปีก่อน ตำหนักฉือหนิงกงรู้กันดี จากนั้นไทเฮาฉือเซิ่งก็ไม่ได้ตรัสอันใดต่อ ได้แต่รับสั่งให้ยกอาหารขึ้นมาได้
ไก่ป่าผัดซอนยกออกมา เพราะว่าเป็นซอสชั้นดี น้ำซอสทำตามแบบเทียนจินเติมผลกุ้งลงไป ดังนั้นจึงรสหวานหอมยามเข้าปาก ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสวยเอร็ดอร่อย เติมข้าวอีกด้วย
เห็นฮ่องเต้ว่านลี่เสวยอร่อยดีพระทัย ไทเฮาฉือเซิ่งก็แย้มสรวล หันไปรับสั่งจิ่นซิ่วว่า
“จิ่นซิ่ว ไก่ป่าผัดซอสนี้รสดี แต่พอกินแล้วคาวปาก เจ้าไปสั่งให้ต้มน้ำขิงมาชามหนึ่ง”
จิ่นซิ่ว รีบรับคำถอยออกไป พอออกไป ในห้องก็เหลือแค่ฮ่องเต้ว่านลี่กับไทเฮาฉือเซิ่งสองแม่ลูก ไทเฮาฉือเซิ่งจิบน้ำชา ตรัสว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้ในวังนอกวังมีข่าวลือหนาหู บอกว่าหวังทงนำกำลังออกปราบชายแดนตอนเหนือ รุกล้ำเข้าไปในดินแดนศัตรู ตอนนี้ขาดการติดต่อไปหรือ?”
“ทูลเสด็จแม่ ข่าวลือเชื่อไม่ได้ ตอนนี้ผู้ตรวจการเมืองต้าถงกับผู้บัญชาการมณฑลทหารซานซีและองครักษ์เสื้อแพรล้วนยังไม่มีสารรายงานทางการมา ล้วนเป็นพวกกล่าววาจาเลอะเลือนกันเท่านั้น”
อาหารมื้อนี้ถูกปากฮ่องเต้ว่านลี่มาก ทว่าได้ยินไทเฮาฉือเซิ่งถามเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็วางชามลง ยังเหลือข้าวอีกครึ่งชาม ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยไม่ลงแล้ว
ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ พยักพระพักตร์ แย้มสรวลตรัสว่า
“แต่คงแค่เสียงโวยวายกันเท่านั้น ฝ่าบาทไม่ต้องทรงสนพระทัย มีอู่ชิงโหวคุมกำลังเมืองหลวง ในวังคุมกองกำลังสังกัดวังหลวงให้ดี พวกเขาแม้จะก่อเรื่องก็คงได้แต่ส่งเสียงโวยวายเท่านั้น ไม่ต้องไปสนพระทัย”
“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง ที่พูดก็มีแต่พวกขุนนางบัณฑิต เบื้องหลังพวกเขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีหลักฐานแน่ชัด ดังนั้นจึงได้แต่พูดจากันเหลวไหลเท่านั้น”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอบไปหนึ่งประโยค อยู่ ๆ ก็ทรงรู้สึกอิ่มตื้อ กำลังจะเสวยของหวาน ตอนนี้รู้สึกเสวยไม่ลงแล้ว
ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์ เสวยขนมแป้งไปชิ้นหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยน้ำชา ตรัสว่า
“ฝ่าบาท แม่รู้สึกว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญในการเก็บภาษี เป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งในสี่ของในวัง หลายตระกูลในเมืองหลวงก็มีกิจการที่นั่น อู่ชิงโหว เซียงเฉิงป๋อ ล้วนลงทุนไปที่นั่นไม่น้อย …….”
พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล ยกพระสุธารสชาขึ้น สีพระพักตร์เรียบนิ่งฟัง ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสต่อว่า
“แม้ว่าตอนนี้ไม่ข่าวที่ชัดเจนแน่นอนมา แต่ข่าวลือเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องทรงคิดระดับเลวร้ายที่สุดเอาไว้ด้วย เตรียมการหากเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย เมืองหลวงควบคุมแน่นหนา ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลไป แต่เทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญ อย่างไรก็เตรียมการล่วงหน้าไว้ดีกว่า”
“ตามความเห็นเสด็จแม่ ควรจะเตรียมการเช่นไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่วางจอกพระสุธารสชาลงถาม ไทเฮาฉือเซิ่งสังเกตเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ หากยังทรงตรัสต่อว่า
“ตอนนี้ที่ดูแลเทียนจิน ก็แค่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร เมื่อก่อนนายกองพันผู้นี้ก็เป็นแค่พลทหาร สถานะต้อยต่ำ งานใหญ่เช่นนี้ จะจัดการดูแลได้อย่างไร นายกองตรวจการเทียนจินกับนายอำเภอก็ไร้สามารถ ช่วยอันใดไม่ได้ ได้แต่สร้างความวุ่นวายเพิ่มเติม แม่คิดว่า ควรให้เสริมตำแหน่งขุนนางไปเทียนจิน นอกจากงานกองตรวจการแล้วก็ให้ควบตำแหน่งดูแลงานราษฎรและการเก็บภาษี ยังมีเรื่องการขนส่งทางทะเลด้วย”
กองตรวจการสังกัดสำนักตรวจสอบ ปกติก็ดูแลการเตรียมทหาร ตามความหมายของไทเฮาฉือเซิ่ง ที่จริงแล้วก็เท่ากับแต่งตั้งผู้ตรวจการไปเทียนจิน แน่นอน ตอนนี้เทียนจินล้ำค่าและคู่ควรที่จะแต่งตั้งผู้ตรวจการไปคุมอำนาจ
ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งคิด ประทับยืนขึ้น ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เสด็จแม่ ตอนนี้ชายแดนตอนเหนือยังไม่รู้ผล เมืองหลวงกับชายแดนนอกเมืองต้าถง ม้าเร็วไปมา อย่างน้อยก็ต้องสิบวัน ไม่มีข่าวมาก็ไม่แปลกอันใด ลูกคิดว่าตอนนี้ที่ต้องรับมือก็คือการจัดการความสงบในเมือง ตอนนี้หากทำอันใดไปย่อมทำให้คนนอกวังเข้าใจผิดได้ง่าย คนตื่นตระหนกไปกลับไม่ดี นับประสาอันใด หากหวังทงได้ชัยชนะกลับมา เห็นการจัดการเช่นนี้ ใต้หล้าเห็นเช่นนี้ ใช่ว่าทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บงั้นหรือ ลูกรู้สึกว่าไม่เหมาะ ขอเสด็จแม่ทรงพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง”
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็สีพระพักตร์ดำคล้ำ เงียบไปนานก่อนจะตรัสสุรเสียงเบาขึ้นว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทเตรียมการไว้แล้ว เช่นนี้แม่ก็ไม่พูดอันใดให้มากอีก”
ยามนี้จิ่นซิ่วก็ยกน้ำขิงเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่รับไป ในห้องเงียบลง สักครู่ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ตรัสว่า
“ฉางลั่ว ปีนี้สองขวบแล้วกระมัง?”