องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 787
จูฉางลั่วเป็นโอรสเกิดจากพระสนมกง เป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้ว่านลี่ ลำดับโอรสแต่ไรถือเป็นธรรมเนียมใหญ่ โดยเฉพาะโอรสองค์โตในยุคสมัยพิเศษนี้
โอรสพระสนมกงเป็นพระโอรสองค์โต มีข้อได้เปรียบเรื่องการได้เป็นผู้สืบทอดราชบังลังก์ ตามหลักกฎหมายแล้ว ตอนนี้ย่อมเป็นรัชทายาท
ทว่าในวังรู้ ขุนนางทั้งหลายก็รู้ ใต้หล้าราษฎรก็รู้ เด็กอายุไม่ถึงสองขวบใช่ว่าสามารถเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ได้ทุกคน ตายด้วยโรคภัยก็มีความเป็นไปได้มาก ในวังมีเหตุเหนือคาดหมายมากมาย ยังไม่เติบใหญ่ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
อย่างน้อยพระโอรสต้องได้ออกไปมีตำหนักพำนักเองนอกวัง ความอันตรายนี้จึงน้อยลง มีความเป็นไปได้ในการสืบทอดราชบังลังก์มาก
เรื่องเช่นนี้ก็มีประเด็นมาก่อนหน้า ก็คือยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะพระราชทานสถานะโอรสให้หรือไม่ แม้ว่ามีขุนนางยื่นฎีกา แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เพิกเฉย ถือเสียว่าไม่มีโอรสองค์นี้
คนในวังรู้พระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ดี ตั้งแต่ปีก่อนที่ขันทีมารายงานเรื่องวันประสูติจูฉางลั่ว ปรากฏว่าถูกสั่งปลดไปดูแลสุสานที่เฟิ่งหยางในเวลาไม่กี่วัน ทุกคนไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ผู้เดียวที่กล้าเอ่ยถึงและเอ่ยถึงบ่อย ๆ ก็คือไทเฮาฉือเซิ่ง ทว่าทุกครั้งที่เอ่ยก็จะมีทำให้เกิดเรื่องขัดใจกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงระบายอารมณ์ใส่เสด็จแม่พระองค์ แต่ใช้วิธีเงียบใส่
ทุกคนในตำหนักฉือหนิงกงล้วนรู้ว่า ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ค่อยได้เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ที่ทำได้ก็เพียงแค่ให้พระสนมกงได้ร่วมเสวยกับฮ่องเต้ว่านลี่ แต่วิธีนี้ก็ไร้ผล
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไทเฮาฉือเซิ่งจะทรงรับสั่งถึงเรื่องนี้อีก เมื่อครู่คุยเรื่องอื่น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่พอพระทัยแล้ว มาพูดเรื่องนี้อีก สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็บึ้งตึง ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“ทูลเสด็จแม่ น่าจะสองขวบได้แล้ว”
“……อะไรที่ว่าน่าจะสองขวบ ฝ่าบาทเป็นเสด็จพ่อของฉางลั่ว ถึงกับจำอายุไม่ได้หรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย ไม่ตรัสตอบอันใด เห็นท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็ดำคล้ำลง หากสุรเสียงก็ผ่อนลงตรัสว่า
“แม่ก็แก่มากแล้ว ได้เห็นฝ่าบาทมีพระโอรส ก็ขอบคุณบรรพชนแล้ว นี่เป็นวาสนาของแผ่นดิน แต่เด็กคนนี้อายุสองขวบแล้ว กลับยังไม่มีสถานะ ฝ่าบาทยังมีแต่งตั้งรัชทายาท แผ่นดินยังไม่มั่นคง พวกคิดการไม่ซื่ออาจฉวยโอกาสได้!”
ได้ยินรับสั่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนานก่อนจะพึมพำตรัสว่า
“ไยต้องทำเช่นนี้ ก็แค่ลูกนางกำนัลเท่านั้น!”
สุรเสียงไม่ดังมาก แต่ในพื้นที่เสวยสามคนล้วนได้ยินกันชัดเจน นางกำนัลจิ่นซิ่วรีบก้มหน้าลงยิ่งต่ำลงทันที ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก
ไทเฮาฉือเซิ่งที่สงบพระสติอารมณ์มาตลอด เริ่มสีพระพักตร์แดงก่ำ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็รู้สึกว่าพระดำรัสรุนแรงไปสักหน่อย จึงได้แอบเงยพระพักตร์มองไปยังไทเฮา เสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น ถ้วยชาหน้าไทเฮาฉือเซิ่งถูกปัดร่วงลงพื้น ทว่าพื้นเป็นพรมหนา จึงไม่ได้ตกแตก
“ลูกนางกำนัล เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าก็เป็นลูกนางกำนัล!!”
สุรเสียงเฉียบขาด คำเรียกขานก็กลายเป็น ‘เจ้า’ ไม่ใช่ ‘ฝ่าบาท’ ขันที นางกำนัลและองครักษ์รอบๆ ตำหนักที่รอปรนนิบัติ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดัง ก็พลันเงียบกริบรอ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าหาที่มาของเสียง พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งคาดว่าคงมีหลายคนได้ยิน แต่ทุกคนแทบอยากจะไม่ได้ยินดำรัสนี้
ไทเฮาฉือเซิ่งในตอนนั้นเป็นนางกำนัล เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หลงชิ่ง ซึ่งก็คืออ๋องอวี้ในตอนนั้น มีพระโอรส ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระสนม พระสนมเอก มาจนถึงตำแหน่งไทเฮาในเวลานี้
‘นางกำนัล’ คำนี้เกรงว่าได้กระทบพระทัยไทเฮาฉือเซิ่งเข้าแล้ว จึงทำให้ทรงกริ้วหนักเช่นนี้ทันที
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ยังเป็นเพียงท่านชายรัชทายาทสืบต่อตำแหน่งอ๋อง ก็เคยพบเห็นพระอารมณ์กริ้วของไทเฮาฉือเซิ่งมาหลายครั้ง ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนไม่เคยไม่หวาดกลัว
เพราะยามไทเฮาฉือเซิ่งทรงกริ้ว ย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้ว่านลี่กระทำผิด เพราะมีเหตุผลตำหนิ และเพราะความกตัญญูของฮ่องเต้ว่านลี่ ทุกครั้งก็ล้วนยอมรับผิดและขอโทษ
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยได้เห็นเสด็จแม่พระองค์ทรงกริ้วเช่นนี้ จิ่นซิ่วลงคุกเข่าแล้ว ก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก
ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลครู่หนึ่งก็ประทับยืนและคุกเข่าลงตรัสว่า
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงกริ้ว ลูกผิดไปแล้ว ๆ เสด็จแม่รักษาพระวรกายด้วย เป็นความผิดของลูกเอง!”
มองฮ่องเต้ว่านลี่คุกเข่าลงกับพื้น ไทเฮาฉือเซิ่งที่โมโหจนพระพักตร์แดงก่ำก็ค่อยๆ หายใจเข้าออกสองสามที คิดจะตรัสอันใดก็กัดพระทนต์กลั้นไว้ สุดท้ายได้แต่ตรัสสุรเสียงเรียบว่า
“แม่เป็นแม่แท้ๆ ของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ต้องทรงรู้สึกว่าแม่คิดวางแผนใดไว้ แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาท แม่เหนื่อยแล้ว ฝ่าบาทกลับพระตำหนักไปพักผ่อนพระวรกายได้แล้ว”
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงกริ้วจนกระเทือนพระวรกายนะพะยะค่ะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะให้หมอหลวงมาดูพระอาการ ขอเสด็จแม่พักผ่อนพระวรกายให้ดี รักษาพระวรกายด้วย”
ความนิ่งเงียบของไทเฮาฉือเซิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดมากอันใด ได้แต่โขกศีรษะทูลลา
************
“หลายวันนี้ มีฮูหยินตระกูลใดบ้างเข้าเฝ้าไทเฮา ไปตรวจสอบมารายงาน!”
ออกมาจากตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้กลับพระตำหนักเฉียนชิงกง และไม่ได้ไปยังตำหนักพระสนมเอกเจิ้งอย่างที่เคยเป็น หากทรงกลับไปยังห้องทรงอักษร จางเฉิงและโจวอี้ถูกตามตัวมา
รับสั่งออกไป จางเฉิงรีบเขียนข้อความส่งให้เจ้าจินเลี่ยง ให้เขาไปสั่งการทันที เจ้าจินเลี่ยงออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงร้อนพระทัยเปิดฎีกาไปมา ตรัสว่า
“เรื่องในครอบครัวเรา คนในคนนอกมาเป็นห่วงกันมากมาย ไม่ใช่ภรรยาพวกเขาสักหน่อย ลูกๆ พวกเขาก็วุ่นวายกันพอแล้ว เรื่องครอบครัวเรา พวกเขามีสิทธิ์อันใดมาพูดนั่นพูดนี่กัน!”
จางเฉิงกับโจวอี้เองก็ก้มหน้านิ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่อาจกล่าวอันใดเสริมความ ฮ่องเต้ว่านลี่มองสองคนนิ่งเงียบ ก็อดไม่ได้ร้อนพระทัยยิ่งขึ้น กวาดฎีกาบนโต๊ะลงพื้นทั้งหมด คำรามเบาๆ ว่า
“จะต้องมีคนหาความเป็นแน่ เสด็จแม่ไม่ได้ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้นานแล้ว ตรวจสอบมา จะต้องสอบความมาให้ได้!”
ตรัสจบ พระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ค่อยๆ สงบลง นั่งนิ่งเหม่ออยู่หลังโต๊ะทรงอักษรตรัสเบา ๆ ว่า
“เราเสียใจแล้ว วันนั้นที่หวังทงว่ามาแม้ว่าล่อใจ แต่เราเป็นฮ่องเต้ ควรจะรอบคอบสักหน่อย ไม่ควรหวั่นไหวกับผลงาน ทำให้หวังทงต้องตกในอันตราย ไม่รู้เป็นหรือตาย เขาทำหลายเรื่องเพื่อเรา เรากลับทำเช่นนี้”
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะยาว บรรยากาศผ่อนลงกว่าเมื่อครู่ โจวอี้กับจางเฉิงสบตากัน คิดว่าเข้าใจที่จางเฉิงแอบบอกแล้ว ก็กระแอมไอทูลว่า
“ฝ่าบาท ข่าวจากสำนักรักษาความสงบว่า ขุนนางนอกเมือง ยังมีพวกในเมือง ล้วนมักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรัชทายาท มักจะพูดจาไม่อาจรับฟัง นอกจากข้างนอกแล้ว ในวังก็มีบางคนมักบ่น ๆ เรื่องลำดับอาวุโสขององค์ชาย….”
กล่าวถึงตรงนี้ ก็เหมือนติดอ่างไป เพราะเขาสังเกตเห็นสายตาดุของจางเฉิง สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ดำคล้ำจนน่ากลัว
โจวอี้รู้สึกว่าไม่น่าพูดเลย รู้ว่าพูดผิดแล้ว ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ประทับนั่งนิ่งตรัสถามขึ้น
“พวกหัวสมองทื่อไม่รู้จักปรับเปลี่ยนนอกวังพวกนั้นไม่อยากให้เรามีความสุข ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องให้เรา ย่อมต้องจับตาดูไม่ปล่อย ทำไม ในวังเองก็มีเรื่องบัดซบเช่นนี้ด้วย?”
พระดำรัสนี้ก็เท่ากับด่ามารดาแล้ว โจวอี้รีบคำนับต่ำลงไปอีก จางเฉิงหรี่ตามอง คำนับทูลรายงานว่า
“ฝ่าบาท ในวังมีคนไม่น้อยติดต่อกับพวกข้างนอก สำนักศึกษาเราก็มีอาจารย์ข้างนอกเข้ามาสอน วิธีคิดกับการกระทำจึงไปทางคนด้านนอก ก็ไม่แปลก เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว”
ได้ยินจางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงเข้าพระทัย ตอนนี้ขันทีในวังส่วนใหญ่เข้ามาในวังแต่เด็ก ก็เหมือนกับเด็กนอกวังที่ต้องเรียนตำราปราชญ์บัณฑิต จากนั้นค่อยเริ่มปฏิบัติหน้าที่ วิธีคิดก็ย่อมไม่แตกต่างจากคนข้างนอก
“เหลวไหลสิ้นดี คนของเราไม่พอใจการกระทำของเรา เรื่องพวกนี้พวกเขาควรได้รับการสั่งสอน!”
จางเฉิงถอนหายใจ โจวอี้กล่าวเช่นนี้คงสร้างความยุ่งยากให้คนในวังไม่น้อย และหากแพร่ออกไป จางเฉิงกับโจวอี้ย่อมต้องถูกโดดเดี่ยว ถึงตอนนั้นทำอะไรก็ย่อมยาก
แต่ก็พูดออกไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชัดๆ ว่าทรงกริ้ว จึงต้องหาทางแก้ไขวาจาที่กล่าวไป จางเฉิงก้าวออกมาทูลเบาๆว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าว ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัย วาจานี้ปีก่อนก็เคย สองปีก่อนก็เคยกล่าว เหตุใดวันนี้อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอีก?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์เงียบไปครู่หนึ่ง เงยขึ้นตรัสว่า
“เพราะหวังทงขึ้นเหนือไปหรือ?”
ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถอนพระปัสสาสะยาว ตรัสว่า
“การสู้รบมีหวังทง การเมืองมีพวกเจ้า เราจึงได้กล่าวอันใดก็เด็ดขาดในที่ประชุมขุนนาง ไม่ต้องคอยฟังเสด็จแม่ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ เหมือนว่าจะถอยหลังกลับไป………ไม่สิ ข่าวยังไม่มาสักหน่อย ทำไม่ทุกคนจึงตัดสินใจไปแล้ว หากหวังทงเกิดเรื่องจริง หรือว่าแผ่นดินหมิงจะได้ประโยชน์อันใด หรือว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อันใดกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ระเบิดอารมณ์ จางเฉิงลังเลไปมา ก็ทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทหากเป็นเช่นนั้นจริง พวกกระหม่อมย่อมจงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง ความช่วยเหลือตอนนี้ก็คงมาจากทางไทเฮาแล้ว”
จางเฉิงเริ่มเปลี่ยนจุดยืน เห็นได้ชัดว่าเริ่มไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ที่วิเคราะห์ก่อนหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน ก่อนจะคว้าแท่นหมึกปาออกไป
*****************
เริ่มเข้าเดือนสอง ข่าวจากตอนเหนือมาเมืองหลวงเริ่มขาดไปได้ร่วมสิบวันแล้ว เสนาบดีกรมทหาร จางเสวียเหยียนเริ่มเอ่ยถึงว่า มณฑลซานซีและเขตปกครองเหนือต้องเตรียมกำลัง ขุนนางอื่นๆ ก็ส่งเสียงโวยวายกันอย่างไม่ต้องพูดถึง
ฮ่องเต้ว่านลี่กลับถึงตำหนัก ก็ถูกทูลเชิญไปยังตำหนักฉือหนิงกงเสวยพระกระยาหารค่ำ ไทเฮาฉือเซิ่งยังคงมีสีพระพักตร์อ่อนโยนเมตตา รอฮ่องเต้ว่านลี่วางตะเกียบและชามลงก็แย้มสรวลตรัสว่า
“ฝ่าบาท ที่แม่จะพูดก็เป็นเรื่องคราก่อน…….”