องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 790
เดือนสองปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ ไทเฮาฉือเซิ่งประชวรกะทันหัน หมอหลวงรุดดูอาการ จากนั้นมีคำสั่งให้ใต้หล้าเฟ้นหาหมอมีชื่อมารักษาพระอาการ ใต้หล้าล้วนสรรเสริญในความกตัญญู
อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนไร้ความสามารถไม่อาจดูแลกำลังเมืองหลวงขอคืนกำลังอำลาจากตำแหน่ง เบื้องบนรั้งไว้หลายครา ต่อมาก็มีพระราชานุญาติ เรื่องเมืองหลวงเดิมเป็นฝ่ายในและขุนนางบุ๋นดูแล หลี่เหวินเฉวียนทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้จักหลักการรุกถอย
เฉินซือเป่า บุตรชายรองเซียงเฉิงป๋อ และถังซื่อไห่บุตรชายร้านตระกูลถังที่เป็นร้านจัดหาซื้อของให้สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และลูกหลานชนชั้นสูงสองสามคน ล้วนมาจากลานฝึกหู่เวย จงรักภักดี กล้าหาญองอาจ รู้การรบ ได้รับการแต่งตั้งให้ประจำหน่วยบัญชาการต่าง ๆ ในเมืองหลวง
ตั้งแต่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนพระองค์ไปมณฑลซานซี สถานการณ์เปลี่ยนแปลงวันต่อวัน เริ่มแรกบรรดาบัณฑิตต่างเห็นเรื่องสมควร ต่อมา สถานการณ์พลิกผัน วันนี้มีเรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ พรุ่งนี้เป็นเรื่องปราบโจร วันต่อมาเป็นเรื่องป้องกันพวกนอกด่าน ต่อมาอีกก็เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารเมืองต้าถงแล้ว ทุกคนล้วนงงๆ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรต่อดี ไม่รู้สาเหตุ
เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 มาจนเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 เมืองหลวงทุกคนก็ต้องตื่นตกใจ พวกเผ่าอันต๋าตีเมืองต้าถงแตกกำลังมุ่งมาเมืองหลวง มีคนเอะอะนอกเมือง ทั่วเมืองแตกตื่นเกิดเหตุจลาจลใหญ่ องครักษ์เสื้อแพรหลังได้รับการฝึกจากหวังทง ก็ราวกับพยัคฆ์อินทรี ได้ยินเหตุชุลมุนก็ออกปราบจนสงบได้ทันที เรื่องนี้มีความชอบ แต่ความกล้าหาญเช่นนี้ของเหล่าองครักษ์ทหาร วันหน้าย่อมเป็นภัยใหญ่หลวง…
น่าขันใต้หล้าช่างขี้ขลาด ปกติเรียกตนเองว่าแผ่นดินแห่งสวรรค์ หวังทงนำกำลังออกชายแดนเหนือ ไร้ข่าวคราว ล้วนพากันคิดว่าหวังทงนำกำลังพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว ไม่มั่นใจในตนเองเช่นนี้ได้ คิดแล้วก็ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี……
ราษฎรไม่รู้หนังสือ ย่อมถูกลวงหลอกได้ง่าย วันนี้เห็นบัณฑิตในเมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรอกหรือ ไม่มีเหตุไม่มีผล ล้วนหาว่าหวังทงพ่ายแพ้เสียได้ ว่าไปแล้วก็ช่างน่าขัน ปีแห่งความสงบสุขเช่นนี้ กลับมีคนคิดว่าไม่สงบสุข คิดว่ากองทัพพ่ายแพ้สิ้นชาติเสียได้
ผู้คนที่ผ่านเวลาหลายเดือนนี้มาล้วนบันทึกและรู้สึกกันเช่นนี้ ทว่าไม่ถึงห้าเดือน คนก็เปลี่ยนเสียได้ ความโกรธทุกข์สุขทั้งหลาย ล้วนเปลี่ยนไปไม่หยุด สถานการณ์ศึกเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นผลสำเร็จเยี่ยมยอด ทำให้คนจับตามองไม่กระพริบ
พวกที่ผ่านมาด้วยตนเอง บ้างก็บอกไม่ถูก บ้างก็นึกเยาะตนเอง บ้างก็หัวเราะเยาะผู้อื่น ล้วนคิดแตกต่างกันไป ทว่ามีเรื่องจริงหนึ่งก็คือผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า หวังทงถึงกับได้รับชัยชนะเด็ดขาดและยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้
อารมณ์ความรู้สึกราษฎรตรงไปตรงมาที่สุด ปฏิกิริยาก็ไวที่สุด เมื่อข่าวชัยชนะใหญ่แพร่มาถึง ความตื่นตระหนกในเมืองหลวงที่ยาวนานกับความตกใจก็มลายหายไปทันที ทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง
ร้านสุราอาหารแต่ละแห่งล้วนอัดแน่นไปด้วยผู้คน นักเล่านิทานก็เริ่มเล่าถึงหวังทงควบม้าถือทวน วันเดียวตีพ่ายแม่ทัพพวกนอกด่านร่วมร้อย สุรา อาหารและของหวานทั่วเมืองหลวงขายดิบขายดีราวกับเทศกาล ดื่มกินเฉลิมฉลองไปทั่ว
หลังข่าวชัยชนะยิ่งใหญ่มาถึง ที่ยุ่งที่สุดกลับไม่ใช่หกกรมกอง หากเป็นสำนักส่วนพระองค์กับกรมฎีกา ด้วยเรื่องที่ต้องการให้จัดการหวังทง ลงโทษให้หนัก และให้ส่งคนไปดูแลเทียนจิน ฎีกาพวกนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่ง ให้ส่งกลับคืนไปยังคนถวายฎีกา
พวกที่ว่าหวังทงเหิมเกริม ทำให้กองกำลังสามหมื่นต้องสูญสิ้น พวกที่ว่าเทียนจินเป็นพื้นที่สำคัญต้องส่งขุนนางบุ๋นไปดูแล ยังบอกว่าฮ่องเต้ควรสลัดจากความครอบงำของฝ่ายในและขุนนางบู๊ ให้ฟังความขุนนางบุ๋นให้มากพวกนั้นล้วนถูกตีโต้กลับไปหมดสิ้น
เห็นฎีกาตนเองถูกส่งออกมา แล้วหันมามองดูสถานการณ์แห่งความจริงตอนนี้ แม้ฎีกาไม่ได้มีกาชาดแดงไว้ แม้ว่าคนที่กล่าวรุนแรงไม่ได้ถูกตำหนิหรือลงโทษ แต่สถานการณ์เช่นนี้ หน้าหนาสักเท่าไรก็ย่อมไม่อาจทนรับได้ เหมือนว่ามีคนตบหน้าพวกเขาอย่างแรงซึ่งหน้า
ชัยชนะในครั้งนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ส่งแสดงออกอย่างบ้าคลั่ง คนอื่นแค่คิดก็ย่อมรู้ได้ บัณฑิตเมืองหลวงและขุนนางบุ๋นวิเคราะห์สถานการณ์ผิด พูดผิดไปคำเดียว ทำให้ต้องกลายเป็นใบ้ไร้วาจาในพริบตา
ในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องเล็กๆ พวกนี้ไม่มีค่าควรแก่การสนใจ เทียบกับเรื่องจวนอู่ชิงโหวมีบัณฑิตในจวนที่เลี้ยงไว้ขโมยขออู่ชิงโหว ยังแอบลักลอบมีอะไรกับนางในจวนอู่ชิงโหว ถูกจับได้ลงโทษตีแทบปางตาย ส่งตัวไปศาลซุ่นเทียน คนพวกนี้ตายก็ตายไป ไม่มีผู้ใดคิดสงสาร
ทว่า สายรายงานเข้าวังแต่ละสายล้วนกล่าวว่า คนในจวนอู่ชิงโหวพวกนี้พอถูกส่งไปศาลซุ่นเทียน ก็ตายเสียแล้ว ทว่าด้วยสถานะอู่ชิงโหว ลงโทษคนตายไปจะไปกระไรได้ เรื่องพวกนี้ทุกคนรู้แก่ใจ ปิดตามองผ่านไปก็เท่านั้น
**********
ต่อมาก็ไม่มีการข่าวหยุดชะงักอีก ฎีกาจากเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งมาเรื่อยๆ ภายใต้การเร่งรัดจากฮ่องเต้ว่านลี่ ในวังกับหน่วยงานนอกวังก็มีประสิทธิภาพยิ่ง นโยบายแต่ละอย่างถูกกำหนดทีละเรื่อง
เมืองจี้โจวส่งกำลังรวม 6,000 เมืองต้าถง 6,000 เป็นทหารรักษาเมืองกุยฮว่าเฉิง ทหารชายแดนให้รีบเคลื่อนกำลังไปเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นฐานที่มั่นทางทหาร ไม่แต่งตั้งขุนนางบุ๋นไปดูแล หากให้คนจากสำนักส่วนพระองค์ไปดูแล และให้สำนักอาชาหลวงส่งขันทีอีกสองไปช่วย หนึ่งเชี่ยวชาญการทหาร สองรู้การเงิน จัดการเรื่องการค้าที่นาและเก็บภาษี
เมืองกุยฮว่าเฉิงแต่งตั้งขุนนางบู๊เป็นขุนพลประจำการ ให้รับคำสั่งโดยตรงจากกองกำลังสังกัดวังหลวง ไม่ผ่านการควบคุมของเมืองต้าถง
เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงให้อำนาจเมืองกุยฮว่าเฉิงและขุนพลทหารตัดสินใจ และให้เมืองกุยฮว่าเฉิงเก็บภาษีและเสบียงเป็นเบี้ยทหารและเสบียงกองทัพ ก็เท่ากับว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับขุนพลทหารได้กลายเป็นผู้สั่งการเพียงผู้เดียว จำเป็นต้องตั้งระบบ
ระบบที่ว่าไม่ใช่ขุนนางบุ๋นไปควบคุม แต่ให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรไปดูแล กองพันนี้แบ่งออกเป็นหน่วยวินัย หน่วยลาดตระเวนจับกุมและหน่วยฝึก รับหน้าที่รักษาความสงบในเมืองและนอกเมือง คนอื่นห้ามยุ่งเกี่ยว
เรื่องการจัดการชาวบ้านก็ให้ขันทีจากสำนักอาชาหลวงที่ไปดูแลเรื่องเงินทองนี้รับหน้าที่ไป นอกจากเก็บภาษีและดูแลที่นาแล้ว ก็ให้ควบตำแหน่งขุนนางท้องที่ไปด้วย
ทว่าขุนนางท้องที่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานหกส่วนให้พ่อค้าใหญ่ในสมาคมพ่อค้าในเมืองรับหน้าที่ไป เช่นนี้ก็เป็นการรับประกันผลประโยชน์ของสมาคมการค้า
ในฎีกาหวังทง โครงสร้างการจัดการราษฎรในเมืองกุยฮว่าเฉิง มีคำเรียกที่แปลกประหลาด เรียกว่าคณะกรรมการบริหารเมืองกุยฮว่าเฉิง เรียกง่ายๆ ว่า คณะบริหาร
กล่าวว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงโดดเดี่ยวนอกแผ่นดิน ราษฎรมีความซับซ้อน ไม่อาจให้ตัดสินใจด้วยคน ๆ เดียว และไม่อาจให้ทุกคนผลักภาระกันไม่ตัดสินใ จ ดังนั้นจึงให้ทำตามผลประโยชน์แต่ละด้าน ให้พ่อค้าเมืองต้าถงและพ่อค้าในพื้นที่ ยังมีพ่อค้าที่ไม่ใช่ชาวเผ่าอันต๋า ยังมีคนใหญ่คนโตในหมู่ประชา ได้ร่วมกันเป็นคณะบริหารเพื่อสมดุลอำนาจ
แม้ว่ารอบๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงจะเป็นที่นานับหมื่นฉิ่ง มีผลผลิตมากมาย แต่ทุกปีก็จะไม่ส่งเข้าวังหมด หากเลือกเพียงเสบียงข้าวธัญพืชที่เมล็ดสมบูรณ์เป็นสัญลักษณ์ส่งไปพอ เสบียงเมืองกุยฮว่าเฉิงจะส่งไปขายยังมณฑลซานซีกับส่านซี หลังค้าขายแล้วก็ให้ให้ส่งเงินเข้าเมืองหลวงแทน
พ่อค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงต่างต้องให้ทางการลงบัญชีรายชื่อไว้ ขอเพียงเป็นพ่อค้าในบัญชีรายชื่อก็สามารถทำการค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิง สามารถได้รับการปกป้องจากทหารเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่เช่นนั้น ก็จะกลายเป็นพวกผิดกฎหมายทันที
หากลงชื่อในสมุดบัญชี ก็ต้องมีเงินค้ำประกัน จากนั้นก็รับหน้าที่ เช่นว่าผู้คุ้มกันพ่อค้าต้องถูกเรียกตัวมารวมพลได้ยามมีภัยมา
เมืองกุยฮว่าเฉิงนอกจากทหารนับหมื่นแล้ว ยังมีนโยบายคล้ายกับที่เทียนจินอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ หน่วยรักษาความปลอดภัย กลุ่มชายฉกรรจ์นี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์ ในบรรดาชาวบ้านในเมืองและรอบเมืองกุยฮว่าเฉิง ทุกร้อยคนต้องมีคนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมในนี้ คนที่ร่วมการฝึกจะได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน หากขี่ม้าเป็นและเข้าร่วมเป็นทหารม้าก็จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด
หวังทงถวายฎีกามาเช่นนี้ ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน ทว่าในราชสำนักก็ปล่อยผ่านในทันที เร็วกว่าที่หวังทงคาดไว้มากนัก
หนึ่ง ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งทรงบารมีสูงส่ง ผ่านเรื่องนี้ไป ไทเฮาฉือเซิ่งแทบไม่สามารถทรงหาเหตุมาอ้างได้อีก อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนก็ส่งมอบกำลังเมืองหลวงกลับคืน ก็ยิ่งเห็นชัดเจนในเรื่องนี้
สอง ในเมืองหลวง พวกขุนนางบัณฑิตที่โจมตีนโยบายพวกนี้เสมอ หาเรื่องเก่งที่สุด ยามนี้กลับหน้าดำคร่ำเครียดคอตก เพราะเรื่องที่ใส่ความชายแดนพ่ายแพ้อย่างไร้เหตุผล กลายเป็นเรื่องตลก เสียชื่อเสียงไปไหมด ยามนี้จะพูดอันใด ก็เรียกได้ว่าไม่ฉลาด
สาม ขุนนางในราชสำนักแม้แจะเหลวไหลเพียงใด แต่แผ่นดินหมิงถูกพวกนอกด่านกดหัวไว้มานาน อยู่ ๆ มีชัยเช่นนี้ ได้เมืองกุยฮว่าเฉิงมาครองเช่นนี้ เปลี่ยนอำนาจเร็วเช่นนี้ ก็ต้องรีบหาทางครอบครองให้ยาวนานจึงจะเรียกว่าเข้าจัดการ ทุกเรื่องให้นิ่งก่อนค่อยว่ากัน
สุดท้ายก็คือ ที่หวังทงทำมานั้น ทุกคนแม้ตั้งคำถามแต่ก็ไม่กล้าถาม เกรงว่าจะผิดเหมือนความผิดพลาดในเดือนหนึ่งเดือนสองที่วิจารณ์ไป ในเมื่อหวังทงเสนอ ก็ให้ทำตามเสนอ ผิดหรือถูก รอให้ทำแล้วค่อยว่ากันก็ไม่สาย
แต่ใช่ว่าไม่มีเสียงวิจารณ์โต้แย้ง พวกที่โต้แย้งหนักสุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ขบวนพ่อค้าบนทุ่งหญ้าสามารถครอบครองอาวุธปืน หรือแม้กระทั่งมีปืนใหญ่เล็กไว้ในครอบครองได้ เรื่องอาวุธร้ายแรงทางการทหารอยู่ในมือราษฎรนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ากังวล
ทว่าปัญหาของพวกเขานี้ หวังทงมีคำตอบเตรียมไว้แล้ว อาวุธของขบวนพ่อค้าไม่อาจนำเข้าด่านได้ หากเข้าเมืองกุยฮว่าเฉิง ต้องให้วางกระสุนดินปืนไว้ข้างนอก ให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนดูแลขบวนพ่อค้าหนึ่งขบวน อาวุธปืนยังต้องมีสมุดลงทะเบียนไว้ ทุกปีตรวจหนึ่งรอบ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษหนัก
ปืนไฟพวกนี้ยังซ่อมบำรุงได้แค่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง ผลิตได้แค่ในด่านแผ่นดินหมิง เมืองกุยฮว่าเฉิงกับเมืองต้าถงมีปืนไฟอานุภาพยิ่งกว่า ขบวนพ่อค้าอย่างน้อยต้องมีหัวหน้าผู้คุ้มกันที่เกษียณไปจากกองทัพ ไม่เช่นนี้ไม่ให้ตั้งขบวนการค้า เพื่อป้องกันการก่อการ
ฎีกาหวังทงชัดเจน ว่าขบวนพ่อค้าพวกนี้นำอาวุธไปได้ทั่วสารทิศ หนึ่งเพื่อคุ้มกันตนเอง สองเพื่อเป็นกองหน้าให้กองทัพ หากพบเห็นพวกนอกด่านไม่ปกติ ก็สังหารเผ่าเล็กๆ ได้ เป็นการวางรากฐานสำหรับบุกเบิกดินแดนในวันหน้า
ในเมื่อไม่อยู่ในด่าน เมืองกุยฮว่าเฉิงยังไม่รู้ว่าครอบครองได้กี่ปี ก็ช่างเขาเถอะ ทุกคนรู้ดีว่า หากหวังทงยืนหยัดต้องการเช่นนี้ พวกเขาก็ทำอันใดไม่ได้
ฎีกาย่อมพูดถึงสิ่งที่จะได้ ที่นาหมื่นฉิ่ง สัตว์เลี้ยงนับไม่ถ้วน ทาสแรงงานนับไม่ถ้วน เงินทองนับไม่ถ้วน ….
ตอนนี้เรื่องสำคัญในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันได้กลายเป็นควรพระราชทานรางวัลใดแก่หวังทง