องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 791
เดือนสามเมืองหลวง เป็นฤดูกาลอบอุ่นดอกไม้บานสะพรั่ง หวังทงได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงนั่นเป็นความแน่นอนแล้ว และยังมีเรื่องรายละเอียดต่างๆ มาอีก
รายละเอียดยิ่งมาก ก็ยิ่งทำให้คนเชื่อสนิทใจ ชาวบ้านก็ยิ่งดีอกดีใจ พอถึงเดือนสาม บรรยากาศเมืองหลวงเหมือนยังคงเป็นดังเดือนหนึ่ง
ว่ากันว่า พ่อค้าเทียนจินกับเมืองหลวงไม่น้อยเตรียมเดินทางไปดูที่เมืองกุยฮว่าเฉิงสักหน่อย เผ่าอันต๋าหลายปีมานี้ทำการค้าชายแดนกับแผ่นดินหมิง ยังแอบรุกรานหลายครั้ง ไม่รู้ว่าแย่งชิงของดีไปมาเพียงใด และเมื่อก่อนพื้นที่การค้านี้ล้วนอยู่ใต้การครอบครองเด็ดขาดของเผ่าอันต๋าและเผ่าใหญ่ไม่กี่เผ่า พ่อค้าแผ่นดินหมิงแม้คิดทำการค้า ก็ทำได้แค่นำสินค้าไปขายผ่านเผ่าอันต๋าและเผ่าใหญ่ไม่กี่เผ่าพวกนั้น กำไรที่ยิ่งมาตกเป็นของคนพวกนี้ไป
ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงตกเป็นของแผ่นดินหมิงก็เท่ากับเปิดช่องทางบนทุ่งหญ้านอกด่าน บรรดาพ่อค้าแผ่นดินหมิงสามารถไปมาบนตอนเหนือได้อย่างสะดวกทั้งทางตะวันตกและตะวันออก สามารถทำการค้าทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น
คนที่อื่นไม่รู้ แต่เมืองหลวง เทียนจิน หรือแม้แต่เมืองเหลียวโจว เมืองเซวียนฝู่ล้วนรู้ว่าอาวุธหวังทงกับรถใหญ่นี่ร้ายกาจเพียงใด หวังทงอำนวยความสะดวกให้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิงเช่นนี้ พ่อค้ามณฑลซานซีอาจจะยังมีความลังเล แต่พ่อค้าเมืองหลวงและเทียนจินก็ล้วนรู้ดีกว่าหมายถึงสิ่งใด พวกที่กระตือรือร้นที่สุดก็คือพ่อค้าที่อยู่เบื้องหลังการค้าทางทะเล นโยบายใต้เท้าหวังในเมืองกุยฮว่าเฉิงคืออันใด ให้ปล้นได้ สังหารชาวทุ่งหญ้านอกด่านได้ ขอเพียงมีความสามารถ ก็สามารถกระทำได้ เรื่องเช่นนี้ก็เท่ากับนั่งเฉยๆ เงินทองไหลมาแท้ ๆ มีปืนไฟ มีปืนใหญ่ ผู้ใดจะไปกลัวพวกนอกด่านกัน
ในตอนนี้ เขตปกครองเหนือ ซานตง เหลียวโจวหรือแม้แต่เหอหนานก็ล้วนเงียบไปมาก พวกนักเลงตามท้องถนน พวกก่อเรื่องทั้งหลาย และบรรดาพวกไม่มีอะไรทำ ก็ล้วนหายไปสิ้น
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นงานเบาไปมาก มีคนรู้ความใน บอกว่าถูกพาไปให้บรรดาพ่อค้าตอนเหนือที่คิดออกไปทำการค้านอกด่าน อย่างไรต้องมีผู้คุ้มกัน หากรู้จักการต่อสู้จริง ผ่านการต่อสู้สังหารมาก่อน ก็มีงานทำ พวกคนดีๆ เขาไม่อยากจากบ้านเกิดไปกัน ก็มีแต่คนพวกนี้ที่อยากดิ้นรนเพื่อให้กินดีอยู่ดี
แน่นอน คนหลั่งไหลไปมณฑลซานซี ขุนนางมณฑลซานซีย่อมปวดหัว เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ทว่าหลังชัยชนะนี้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กไปเสียแล้ว
***********
เมืองหลวงเป็นที่ประทับฮ่องเต้ เป็นที่รวมของคนใหญ่คนโต ผู้ใดคิดอะไรใหม่ออกมา ย่อมมีคนคิดเลียนแบบทันที
ตอนนี้ความบันเทิงที่คนมีเงินมีกิจการในเมืองหลวงนิยมชมชอบที่สุดก็คือไปดูงิ้วดูละคร พวกไม่ค่อยมีเงินก็นั่งอยู่ด้านล่าง มีเงินก็นั่งในห้องส่วนตัว ว่ากันว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ขันทีในวัง หรือแม้แต่ฝ่าบาทก็เคยมาที่นี่
ตอนนี้ที่โรงงิ้วนี้ งิ้วที่สนุกที่สุดก็คือ องครักษ์เสื้อแพรแผ่นดินหมิงบุกชายแดนเหนือ รบกับพวกนอกด่านด้วยสติปัญญา ช่างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ดูแล้ว ก็คิดถึงชัยชนะใหญ่ตอนเหนือ จิตใจก็ฮึกเหิมยิ่งนัก
โรงละครงิ้วเช่นนี้สำหรับคนพิถีพิถันแล้ว เกรงว่าจะเสียงดังเอะอะเกินไป บางครั้งๆ บนเวทีร้องๆ อยู่ก็มีคนจากด้านล่างโยนเงินขึ้นไป กลบเสียงบนเวทีไปชั่วขณะหนึ่ง ตอนนี้ที่โรงงิ้วยังไม่ยอมให้เหมารอบอีก ทุกคนต้องซื้อตั๋ว ทำให้หลายคนทำอันใดไม่ได้จริงๆ
แต่พอมีคนเห็นโรงงิ้วเป็นที่นิยมก็คิดเรื่องหนึ่งได้ เจ้ามีงิ้วเล่น ข้าก็มีโรงดีดพิณบรรเลงเพลงได้ จัดแต่งให้ประณีต ไม่มีเรื่องผู้หญิง ให้ทุกคนได้มาดื่มด่ำชื่นชมกับดนตรีและบทเพลง ใช่ว่าจะไม่มีคนมา?
ทว่าการค้านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในมือหอคณิกาต่างๆ ทุกคนฟังเพลงก็ย่อมชอบฟังสาวงามขับร้อง ไยต้องไปลำบากลำบนในที่เช่นนั้นด้วย
การค้าเปิดมามีล้ม มีสำเร็จ ในเมืองหลวงมีอาจารย์ดีดพิณมีชื่อที่สุดเปิดโรงพิณแห่งหนึ่ง มีโต๊ะอยู่ราวสิบสองโต๊ะ ซื้อจวนจากอดีตเจ้ากรมกรมอากรผู้หนึ่ง เป็นจวนที่จัดแต่งประณีตงดงามยิ่ง นักบรรเลงพิณก็มีฉากม่านบังไว้ คนฟังเพลงพิณก็จะนั่งหันหลัง
เมืองหลวงสถานที่หรูหราเช่นนี้ คนมาฟังเพลงพิณย่อมต้องเป็นพวกอีกระดับ หากเจ้าเชี่ยวชาญการบรรเลงพิณ ก็ยังสามารถบรรเลงสักเพลงได้ ทุกที่นั่งวันหนึ่งก็ห้าตำลึง ทุกวันก็มีบรรเลงหลายเพลง วันหนึ่งห้าตำลึง หนึ่งเค่อ (15นาที)ก็ห้าเหลี่ยง
สถานที่เช่นนี้กลับมีคนมากมายให้การต้อนรับ มีคนใช่ว่ารู้เรื่องพิณ แต่ก็มา เพื่อแสดงสถานะตนเองว่าต่างจากผู้อื่น เทียบกับพวกไปโรงงิ้วแล้วสูงส่งกว่ามาก
ที่นี่มีให้เหมาห้องเช่นกัน จ่ายแค่ 60 ตำลึง อยู่ทั้งวัน เรื่องนี้ยิ่งทำให้คนชอบฟังดนตรีบรรเลงพึงใจ
คิดจะเหมาห้องโรงพิณนั้นไม่ง่าย เดือนหนึ่งมีแค่สามวันที่เหมาได้ สามวันนี้ทุกครั้งที่สอบถามก็มีคนว่ามีคนจองไปล่วงหน้าแล้ว
วันนี้ก็เป็นวันเหมา หน้าประตูมีรถม้าม่านเขียวจอดอยู่ คนรับใช้ในชุดเทา มองแล้วเหมือนตระกูลทั่วไป แต่หากเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง แค่มองก็รู้ว่าคนรับใช้ผู้นั้นก็คือคนรถของมหาอำมาตย์เซินสือหัง
มหาอำมาตย์เซินสือหังชอบฟังบรรเลงพิณ นางพิณที่บ้านก็เรียกได้ว่าฝีมือสูงส่ง ทว่าหลังดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์ เซินสือหังได้ให้นางพิณทั้งหมดออกไปจากจวน แต่ความชอบเซินสือหังยังคงไม่เปลี่ยน เพียงแต่ระวังรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น
ตนเองบรรเลงเองก็เรื่องหนึ่ง ฟังก็เรื่องหนึ่ง ตั้งแต่เมืองหลวงเปิดโรงพิณมา เซินสือหังมักแต่งกายแบบชาวบ้านไปมาหลายโรง บ้างก็มีคนมาก บ้างก็บรรเลงย่ำแย่ บางแห่งเปิดไว้ขายผู้หญิงแท้ๆ มีเพียงที่นี่ที่ถูกใจเขา
มหาอำมาตย์แม้ดูเหมือนมีเบี้ยเงินเดือนน้อย แต่ที่จริงแล้วรายได้มากนัก เดือนหนึ่งเหมาหลายวัน เป็นเรื่องง่ายมาก ทุกครั้งยามมาพักผ่อน เซินสือหังจะส่งคนมาแจ้งก่อน ตนเองอยากฟังเพลงเงียบๆ
เสียงพิณขับกล่อม เซินสือหังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองตาปิดสนิท ดื่มด่ำเงียบๆ อาจารย์ดีดพิณในหอพิณเคยได้รับคำเชิญไปดีดให้เซินสือหัง มีความสามารถระดับสูง
ขณะดื่มด่ำสุดนั้นก็ได้ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา บรรยากาศถูกทำลายลงในทันที เซินสือหังขมวดคิ้ว ลืมตา ผู้ติดตามรีบวิ่งเข้ามา แม้เซินสือหังไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ ผู้ติดตามที่รู้อารมณ์ตนเองย่อมไม่กล้ามารบกวนอย่างไร้สาเหตุ
“ขอท่านออกไปสักครู่!”
เซินสือหังกล่าวนุ่มนวล เสียงพิณด้านหลังหยุดลง คนก็ออกไป ผู้ติดตามเดินมากระซิบข้างหูเซินสือหัง เซินสือหังสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า
“ยามนี้ไม่คุยงาน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“ใต้เท้าเหยียนว่ามีเรื่องส่วนตัวต้องคุยให้ได้ ต้องพบใต้เท้าวันนี้”
เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้า ที่นี่ไม่กว้างนัก ไม่นาน เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงในชุดสีอ่อนกระดุมติดเรียงเม็ดเรียบร้อยเดินเข้ามา
คณะเสนาบดีใหญ่ได้ชื่อว่าหัวหน้าหกกรมกอง แต่เสนาบดีกรมปกครองที่มีอำนาจดูแลตำแหน่งขุนนางถูกยกให้เป็นดังรองจากตำแหน่งมหาอำมาตย์ เซินสือหังอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นตามมารยาท ยิ้มกล่าวว่า
“กว่าข้าจะมีเวลามายังที่สงบเช่นนี้ได้ กลับถูกพี่เหยียนหาเจอเสียนี่ รีบนั่งๆ!”
“ข้าอยู่ๆ มารบกวน ขอท่านอำมาตย์อย่าได้ตำหนิ!”
สองฝ่ายยิ้มแย้มทักทายตามมารยาท มารยาทภายนอกอย่างไรก็ต้องแสดงให้กัน ในหกกรมกองนอกจากเซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ย ที่เหลือก็ล้วนเป็นคนของจางซื่อเหวย จางซื่อเหวยกลับบ้านไว้ทุกข์ อำนาจในราชสำนักย่อมอ่อนแอนลงไปมาก ทว่าพวกจางซื่อเหวยกับเซินสือหังก็ยังคงไม่อาจเข้ากัน
เซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ไม่ได้ดังใจนัก ทำงานก็มักรู้สึกยืดแข้งขาได้ไม่เต็มที่ ย่อมรู้สึกไม่ดีอันใดกับหัวหน้าคนของจางซื่อเหวยอย่างเหยียนชิงผู้นี้นัก ทว่าเหยียนชิงผู้นี้ทำงานก็นับว่าเป็นกลางอยู่ ในฐานะเสนาบดีกรมปกครอง ไม่เคยกดดันเซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ย ดังนั้นจึงไว้หน้าเกรงใจกันอยู่
เหยียนชิงนั่งลงก็พูดออกมาตรงไปตรงมาว่า
“ท่านอำมาตย์ เมื่อวานฝ่าบาทรงเรียกเข้าเฝ้า พูดเรื่องพระราชทานบรรดาศักดิ์หวังทง ไม่ทราบว่าจัดการเช่นไร?”
ถามได้ตรงประเด็น เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ลั่วซือกงยื่นหนังสือลาป่วยแล้ว ครั้งนี้คงต้องอนุมัติแล้ว หลังหวังทงกลับมาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความดีความชอบระดับนี้ หากจะได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์อีกก็คงไม่แปลก ทว่าเขาอายุยังน้อย วันหน้าต้องได้เลื่อนขั้นอีก ครั้งนี้หากได้บรรดาศักดิ์ระดับโหว ฝ่าบาทยังคิดว่าไม่พอ บอกว่าเทียนจินกับเมืองกุยฮว่าเฉิงสองแห่งนี้ ให้เขาตั้งหน่วยงานคุมไปเลย ที่เหลือก็เป็นเรื่องพระราชทานบำเหน็จขุนพลอื่นๆ ไม่มีอันใดแล้ว”
ได้ยินเซินสือหังว่ามา เหยียนชิงก็ผุดลุกขึ้น มองเซินสือหังกล่าวว่า
“ท่านอำมาตย์ ข้าขอถามได้ไหม? เรื่องใหญ่มากมายที่หวังทงทำมาหลายปีนี้ ครั้งนี้ยังสร้างความดีระดับนี้อีก หากเขากลับมา วันหน้าราชสำนักนี้ฝ่าบาทยังจะฟังท่านหรือ หรือว่าฟังหวังทง? ด้วยความสามารถหวังทง อีกสองสามปี ตำแหน่งเขาในพระทัยฝ่าบาทจะถึงขั้นใดกัน?”
เซินสือหังไม่ตอบ เหยียนชิงก้าวเข้าไปอีกกล่าวว่า
“หากฝ่าบาทฟังหวังทงทุกเรื่อง ถามหวังทงทุกเรื่อง ราชสำนักนี้ยังต้องการท่านไว้เพื่อการใดอีก ท่านและข้าและพี่น้องเรา ยังมีประโยชน์อันใดอีก?”
“ใต้เท้าเหยียน เราเป็นขุนนางเพื่อแผ่นดิน มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินหมิงก็ย่อมดีทุกเรื่อง!”
เซินสือหังกล่าวเย็นชา เหยียนชิงทำเป็นไม่ได้ยิน หากผ่อนน้ำเสียงลงว่า
“ข้าก็อายุมากแล้ว อีกสองเดือนก็ได้เวลาอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว ราชสำนักนี้ วันหน้าก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอีกแล้ว เมื่อครู่ที่ว่ามาก็ไม่ได้เพื่อตนเอง หากเพื่อบัณฑิตใต้หล้า ใต้เท้าเซินฟังพิณต่อเถิด ข้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบ เหยียนชิงพยักหน้าก่อนจะจากไป เซินสือหังนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจารย์เพลงพิณด้านหลังก็กลับเข้ามาประจำที่ พอดีดได้เสียงหนึ่ง เซินสือหังก็ยกมือห้ามกล่าวว่า
“ข้าขอเวลาเงียบสักครู่!”
***************
เมืองเซวียนฝู่ ณ จวนแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่ หลี่หรูซง หลี่หรูซงฝึกทหารนอกเมืองกลับมา ทหารติดตามประคองลงจากม้า โยนแส้ให้คนงาน เดินไปยิ้มไปกล่าวว่า
“หวังทงสมองพังไปแล้วหรือ กวาดล้างพวกนอกด่านหมดสิ้น วันหน้าจะกินอะไรกัน คำสอนสั่งบิดาตอนนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว……..”
ทุกคนพากันเดินสรวลเสเฮฮาเข้าไป มีพ่อบ้านรีบวิ่งมารายงานว่า
“นายท่าน นายท่านใหญ่ส่งนายท่านสามมา!”