องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 794
“หวังทงเดิมก็ไม่ได้มีกองกำลังทหาร จะให้ส่งมอบอันใด!?”
“ฝ่าบาททรงพระราชทานกำลังสองเมืองให้ นี่ก็คือกำลังทหาร ที่กระหม่อมว่ามาไม่ใช่เพราะอิจฉา กำลังอยู่ในมือ ความชอบเกรียงไกร ความจงรักภักดีอาจแปรเปลี่ยน กระหม่อมมีวาจาล่วงเกินสักคำ หากหวังทงไม่ส่งมอบกองกำลังด้วยตนเอง ก็เห็นได้ว่ามีใจคิดการไม่ซื่อ อาจจะยังไม่ปรากฏ แต่ก็เป็นชนวนซ่อนอยู่”
เมื่อก่อนในราชสำนักหรือส่วนตัวสนทนากันเรื่องเช่นนี้ ขุนนางก็ย่อมต้องลงคุกเข่าขอพระราชทานอนุญาต แต่เซินสือหังแต่ต้นก็เพียงแค่ถวายคำนับ ตอนพูดก็จ้องมองฮ่องเต้ว่านลี่ ท่าทีบีบคั้น
ฮ่องเต้ว่านลี่แรกเริ่มก็ทรงมองอย่างกริ้ว แต่หลังสนทนาดุเดือด ก็เริ่มเย็นลง แม้ที่เซินสือหังว่ามาว่าไม่ใช่ความอิจฉา แต่ที่จริงแล้วเหมือนเป็นเช่นนั้น หากฮ่องเต้ว่านลี่ฟังแล้วกลับไม่ทรงกริ้ว จับตามองเซินสือหังสักครู่ก็ถอนหายใจตรัสว่า
“ท่านอำมาตย์นั่งลงก่อน ฟังที่ท่านว่ามา เราจะไปคิดดู!”
“เพื่อแผ่นดิน เพื่อความภักดีหวังทง ขอฝ่าบาททรงพิจารณาให้รอบคอบ กระหม่อมทูลลา!”
เซินสือหังไม่ได้ยืนหยัดในหัวข้อสนทนาต่อ เพียงแต่ถวายคำนับและออกไป พอเซินสือหังออกไปจากตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทรงเสด็จกลับตามที่เคยเป็นมา
ขันทีที่จะเข้ามาเปลี่ยนกำยานจัดเอกสารโผล่หน้ามาดูก็ถูกจางเฉิงไล่กลับไป ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร จางเฉิงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ครู่หนึ่ง ความสงบก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ทำลายลง ฮ่องเต้ว่านลี่มองไปด้านหน้า เหมือนพึมพำกับพระองค์เองว่า
“คนเราพอมีอำนาจมาก มีกำลังมาก จะแปรเปลี่ยนงั้นหรือ?”
จางเฉิงด้านหลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนทูลว่า
“ตอนอยู่จวนอ๋องอวี้ ฝ่าบาททรงประชวร บางครั้งทรงกรรแสง เฝิงกงกงร้อนใจกว่าผู้ใด นอกจากอดีตฮ่องเต้และไทเฮาแล้ว ที่ร้อนใจกับฝ่าบาทที่สุดก็คือเฝิงกงกง แต่ต่อมาพอได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เข้า ต่อมาจากนั้นฝ่าบาทก็ทรงรู้แล้ว”
จางเฉิงกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ในตำหนักข้างเงียบกริบ ครู่หนึ่งฮ่องเต้ว่านลี่ก็แย้มสรวลตรัสว่า
“ยังคิดว่าจางปั้นปั้นจะออกหน้าแทนหวังทง คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวเช่นนี้”
ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวโดยไม่หันไปมอง จางเฉิงคำนับทูลว่า
“ทุกอย่างกระหม่อมได้มาเพราะทรงพระราชทาน ทุกอย่างที่ฝ่าบาทได้มาก็เพราะแผ่นดิน หนักเบาอย่างไร กระหม่อมย่อมรู้กระจ่างใจดี”
เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสอันใด จางเฉิงทูลต่อว่า
“ท่านอำมาตย์ตอนนี้เป็นมหาอำมาตย์ เป็นอันดับหนึ่งของขุนนาง ไม่มีตำแหน่งเหนือด้านบนอีก ตอนนั้นไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ท่านอำมาตย์ก็ย่อมเป็นตัวเลือกมหาอำมาตย์ เขาไม่พูด เป็นขุนนางสงบๆ ไปก็ยิ่งดี เหตุใดเขาจึงทูลกับฝ่าบาทเช่นนั้น ผู้ใดไม่รู้ว่าทรงไว้พระทัยหวังทง พูดเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้ทรงไม่สบายพระทัย ท่านอำมาตย์ทำไปก็เพราะคำนึงถึงฝ่าบาทเพื่อความสงบยาวนานแห่งแผ่นดินหมิง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่หันกลับไป เพียงแต่โบกมือให้จางเฉิงเลิกพูด ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ถอนหายใจ ตรัสอย่างไร้อารมณ์ว่า
“หวังทงสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ ดีอกดีใจกลับเมืองหลวงมา เราเดิมคิดจะเฉลิมฉลองให้เขาดีๆ สักหน่อย พอพวกเจ้ามาพูดกันอย่างนี้ ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำแล้ว หวังทงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังไม่ได้ทำอันใดสักอย่าง พวกเจ้าก็คิดหาทางป้องกันเสียแล้ว วาจาพวกนี้หากหวังทงได้ยินเข้า ก็ไม่รู้จะเจ็บปวดใจอย่างไร”
“ฝ่าบาท คิดเพื่อหวังทงเช่นนี้ คิดปกป้องดูแลหวังทง ทรงอยากให้ความสัมพันธ์นายบ่าวนี้ยืนยาวนาน หากทำการเด็ดขาดแต่เนิ่นดีกว่าปล่อยให้คาราคาซัง……….วาจากระหม่อมไม่เหมาะนัก หวังทงส่งมองกองกำลังออกมา เขาก็ย่อมได้บรรดาศักดิ์ไป วันหน้าได้เป็นกั๋วกงก็ย่อมได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาขุนนางบู๊แล้ว มีบรรดาศักดิ์อีก มีอำนาจสั่งการอีก ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาของฝ่าบาทยิ่งแล้ว!”
************
ลองนับดูอีกราวเจ็ดวันหวังทงจะนำทัพใหญ่กลับถึงเมืองหลวง ทัพหลี่เฉิงเหลียงมุ่งไปยังตัวหลุนก็ส่งข่าวการรบมาไม่หยุด หากตามจำนวนที่รายงานแล้ว ตอนนี้ทัพใหญ่หลี่เฉิงเหลียงแห่งเมืองเหลียวโจวก็น่าตัดหัวมาได้ 4,000 แล้ว
ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวเลือกเวลาออกทำศึกได้ดีมาก เดือนห้าบนทุ่งหญ้านอกด่านอากาศดีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่ที่จริงแล้วก็แห้งแล้งอยู่ สัตว์เลี้ยงทนผ่านฤดูหนาวมาได้ หญ้าฤดูใบไม้ผลิยังไม่โตเต็มที่ ขาดแคลนทุกสิ่งอย่าง ชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่ละเผ่าใหญ่ก็วุ่นกับการผลิตอาหารเลี้ยงดูคนและสัตว์
เทียบกับพวกเขาแล้ว ทัพเมืองเหลียวโจวมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ ม้าผ่านหน้าหนาวมาได้อย่างไม่กระไรนัก ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เมื่อเทียบสถานการณ์กันแล้ว ทัพเมืองเหลียวโจวย่อมได้เปรียบในชัยชนะกว่ามาก
ตอนนี้หวังทงเข้าสู่พื้นที่เมืองเป่าติ้งแล้ว ทหารม้าเมืองต้าถงที่ออกรบตอนเหนือด้วยนั้นไม่น้อยก็กลับสู่กองทัพ แต่มีบางส่วนทิ้งไว้ดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง มีแค่ติดตามมาเป็นตัวแทนจำนวนหนึ่งเท่านั้น กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังเมืองจี้โจวเข้าด่านมา ก็เป็นพื้นที่รุ่งเรืองแล้ว
เพราะกองกำลังผ่านทางมา กินดื่มเต็มที่ ม้าและคนใช้จ่าย นอกจากเสบียงที่ตนนำติดตัวมา ก็ต้องให้ท้องที่ช่วยจัดหาให้เพิ่ม ท้องที่ให้ส่วนหนึ่ง แต่กองทัพซื้อหาก็ต้องใช้เงินสดจ่ายไป ยามนี้พื้นที่จึงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย
แต่การผ่านทางแล้วสร้างแต่ประโยชน์ให้นี้ เมืองหลวงกลับมีวาจาไม่ดีนัก บอกว่าทัพใหญ่ผ่านชายแดนมา ทหารบางคนก็วางตัวอวดเบ่งคิดว่ามีความชอบ วางอำนาจบาตรใหญ่ ฉุดคร่าสตรีท้องที่ มีบุตรสาวขุนนางเมืองหลวงถูกย่ำยีระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิด คุณหนูสูงส่งผู้นั้นทนอับอายไม่ไหวฆ่าตัวตาย คนในท้องที่ต่างพากันออกมาประณาม ราษฎรรวมตัวกันไปทวงความเป็นธรรมที่ค่ายทหาร กลับถูกหวังทงใช้ปืนไฟปืนใหญ่ไล่ยิง บาดเจ็บล้มตายไปพันกว่า
ข่าวนี้มีที่มาจากที่ใดไม่รู้ได้ แต่ไม่กี่วัน ทั่วถนนตามตรอกซอกซอยก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ โดยเฉพาะพวกขุนนางบัณฑิตท้องที่ รายละเอียดก็ครบถ้วน ว่ากันว่าขุนนางสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งเกษียณกลับบ้านเกิด คุณหนูอะไรนี่ได้หมั้นหมายกับขุนนางบัณฑิตสักคน คุณหนูอะไรนี่เป็นที่ต้องตาหวังทง
ยังมีคนออกมาว่ามีคนในครอบครัวเขาถูกปืนยิงตาย ตนเองอยู่ข้างนอกจึงรอดมาได้ มีข่าวลือว่า ทัพใหญ่กินเนื้อคน ดื่มเลือดคน…
แต่ก็มีพวกพ่อค้าที่คบหาสมาคมกับกองทัพ และยังเพิ่งจากเมืองเป่าติ้งมก่อนหน้าไม่นาน บอกว่าทัพหวังทงระเบียบวินัยเคร่งครัด เมืองเป่าติ้งก็สงบสุขดี ไม่ได้มีเรื่องเช่นนี้สักหน่อย แต่ความจริงนั้นไม่สนุก ข่าวเท็จจึงแพร่เร็วยิ่งกว่า
ข่าวยิ่งแพร่ยิ่งเหลวไหล มีขุนนางบัณฑิตร่างฎีกาฟ้องหวังทงอวดเบ่งความชอบ ไม่ดูแลควบคุมลูกน้อง ระเบียบกองทัพหย่อนยาน มีใจไม่เคารพเบื้องสูง ขอให้ราชสำนักมีคำสั่งจัดการ
เดิมคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ กรมฎีกาก็ส่งฎีกาขึ้นไป ยังมีหลายฉบับ ที่ได้ยินได้ฟังมาก็เป็นเช่นนี้ ข่าวที่ขุนนางบัณฑิตได้ยินก็พากันยื่นฎีกา และยังมีธรรมเนียมขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด กล่าวผิดไม่เป็นไร จึงทำให้กล้ากล่าววาจาไร้หลักฐาน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ขุนนางบัณฑิตกล้ากระทำการโดยไม่ต้องคิดผลกระทบ
ทว่า การที่ขุนนางบัณฑิตกล้าถวายฎีกาเช่นนี้ก็เพราะเห็นท่าทีนิ่งเฉยระยะนี้ของในวังและในราชสำนัก เดิมทัพใหญ่เข้าประตูทางใต้มาถึงเมืองหลวง ต้องเข้ารวมพลรอรับพระราชทานรางวัลหน้าพระราชวังต้องห้าม เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ระยะนี้ไปยุ่งกับการจัดการเขตทักษิณ จะละทิ้งเงินทองผลประโยชน์ประจำมาได้อย่างไร ไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา แต่ละแห่งยังมีข่าวลือที่ไม่แน่ชัดมาอีก แม้ว่าแต่ละฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนอันใด แต่การแสวงหาชื่อเสียงต้องทำก่อนผู้ใด รอให้คนอื่นเอ่ยก่อนก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้นขุนนางบัณฑิตจึงรีบเร่งยื่นฎีกา
ชาวบ้านกับในราชสำนักล้วนตื่นเต้นไปทั่วกับข่าวหวังทงที่ได้สร้างความชอบใหญ่ หากฉวยโอกาสนี้ ออกมายืนหน้ากล่าวต่างจากผู้อื่นสักสองสามคำ ก็แสดงให้เห็นว่าคนอื่นกำลังเมาสุรามีแต่ตนที่สติแจ่มชัด เช่นนั้นไยจะไม่ออกมาแสดงตนเล่า
ฎีกาทูลเกล้าขึ้นไป จุดจบนั้นแม้แต่ขุนนางบัณฑิตที่เป็นคนยื่นก็เดาได้ ทิ้งค้างไว้ ในวังไม่แสดงปฏิกิริยาใดทั้งสิ้น
เมืองหลวงที่เป็นขุนนางใหญ่ย่อมต้องรู้เรื่องในเมืองตามท้องถนนดี ที่พวกเขาใส่ใจกันนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ ที่ใส่ใจมีสองเรื่อง หนึ่ง หลี่เฉิงเหลียงนำกำลังออกยึดตัวหลุนถึงไหนแล้ว สอง ระยะนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยออกว่าราชการ เจ็ดวันมาแล้วที่ไม่เห็นฮ่องเต้
เมื่อก่อนมีจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่กล้าขี้เกียจ วันๆ ก็ต้องมา ต่อมาก็มีไทเฮาดูแลบ้าง พอมาไทเฮาพระวรกายไม่ดีนัก ล้มประชวรลง พวกขุนนางยากจะบังคับได้ แม้ถวายฎีกา แต่ฝ่าบาทไม่ฟังจะให้ทำเช่นไร
หลายคนคิดไม่อีกขั้น ฝ่าบาทไม่ออกว่าราชการ เรื่องในราชสำนักทุกคนก็จัดการกันก็แล้วกัน ดีจะได้ไม่มีคนมาจับจ้องทำให้ทำอันใดไม่คล่องตัวนัก
*************
คนในวังรู้ว่าระยะนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มักไปที่ใดมากที่สุด ตอนนี้ทุกวันฮ่องเต้ว่านลี่จะไปประทับอยู่ที่ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง หากคณะเสนาบดีใหญ่กับสำนักส่วนพระองค์มีเรื่องด่วนอันใดก็ให้รายงานไปที่นั่น ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงพิจารณาอนุมัติที่นั่น
ว่ากันว่าพระอารมณ์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดีก็ไม่ใช่ ว่ากันฮ่องเต้คุยยิ้มแย้มกับพระสนมเอกเจิ้งที่ตั้งครรภ์ สบายพระทัยยิ่ง เรื่องนี้ทำให้ทุกคนพากันงง
“เสด็จแม่เมื่อวานส่งจิ่นซิ่วมาว่า วันนั้นที่ฝ่าบาทตรัสว่าแผ่นดินเป็นของตระกูลจู แผ่นดินมิใช่ของตระกูลหลี่ และไม่ใช่ของตระกูลหวัง สิ่งที่บรรพชนทิ้งไว้ให้ขอให้รักษาไว้ให้ดี”
หลังพระสนมเอกเจิ้งทรงพระครรภ์ พระพลานามัยก็ไม่เหมือนก่อน ชอบเงียบๆ มากกว่าเคลื่อนไหวไปมา ทุกวันฮ่องเต้ว่านลี่มาเดินเป็นเพื่อนในสวน พอกลับเข้าห้อง สองพระองค์ก็จะนั่งคุยสนทนากันเงียบๆ
ฮ่องเต้ว่านลี่ชอบเล่าเรื่องในวังและในราชสำนักให้พระสนมเอกเจิ้งฟัง และมักจะพร่ำบ่น แต่ก็นับเป็นเวลาที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสบายพระทัยที่สุด
“ไทเฮาทรงเป็นห่วงแผ่นดินหมิง ก็เพราะเป็นห่วงฝ่าบาท”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวอย่างอ่อนโยน ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ พยักพระพักตร์ ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า
“หวังทงสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ เราไม่รู้ว่าควรพระราชทานอันใดให้ดี พวกนั้นก็เอาแต่พร่ำบ่นว่าให้ระวังป้องกัน เราก็คิดว่ามีเหตุผล เรื่องเช่นนี้ ไม่สบายใจเลย รู้สึกผิดอยู่เรื่อย”
“ฝ่าบาท อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องทรงคิดถึงใต้หล้า เรื่องส่วนตัวบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็ก”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล ตบพระหัตถ์พระสนมเอกเจิ้งเบาๆ ยามนี้ ด้านนอกก็มีเสียงตบเรียกประตูเบาๆ จากนั้นก็รายงานว่า
“ฝ่าบาท หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว!”