องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 795
เพราะพระสนมเอกเจิ้งทรงพระครรภ์ เพื่อไม่ให้ตกพระทัยกับเรื่องใด ยามขันทีรายงานก็ให้ใช้มือตบเรียกประตูเบาๆ ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยามคุยกับพระสนมเอกเจิ้ง ก็มีเพียงเจ้าจินเลี่ยงที่มีสถานะพอจะรายงาน
เสียงไม่ดังนัก คนในห้องได้ยินชัดเจน แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งก็ยังอึ้งอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไปก่อนจะตรัสถามว่า
“ผู้ใด?”
“หวังทง ใต้เท้าหวังกลับมาแล้ว เพิ่งมาถึงเมืองหลวง พอลงจากหลังม้าก็เข้าวังมาถวายฎีการายงาน”
สองพระองค์ในห้องรู้สึกตกใจ หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแม้ไม่เรียกว่าเร็วราวเทพ แต่ทัพใหญ่วันหนึ่งเดินทางได้ 30-40 ลี้ก็ว่าเร็วแล้ว หากหวังทงทิ้งทัพ แล้วม้าเร็วมา ก็คงเป็นเวลานี้
“นำฎีกาเข้ามา!”
ฮ่องเต้ว่านลี่รีบรับสั่ง ด้านนอกรับคำ เจ้าจินเลี่ยงนำฎีการีบเดินเข้ามาในห้อง พอเปิดประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เห็นจางเฉิงด้านนอกที่เร่งฝีเท้ามาทางนี้
ในห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่เปิดฎีกาออกอ่านไปมา ก่อนจะหันไปตรัสว่า
“พระสนมพักก่อน เราจะไปพบหวังทง”
พระสนมเอกเจิ้งแม้สุขภาพไม่ดีนัก แต่ก็มองออกวว่าฮ่องเต้ว่านลี่อารมณ์ดีขึ้นมาก หลายวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่แม้จะอยู่กับตนสนทนาสบายๆ แต่อย่างไรก็เหมือนมีอะไรในพระทัย ตอนนี้ทรงคลายกังวลไปมาก
“ฝ่าบาทราชกิจสำคัญ ไม่ต้องห่วงหม่อมฉันเพคะ”
**************
ในวังหลวง แม้เป็นหวังทงขุนนางใกล้ชิดฝ่าบาท ก็ไม่อาจบอกว่าจะเข้าก็เข้าได้ พอถวายฎีกาเข้าไป ก็รออยู่นอกวัง
ทว่าองครักษ์ในวังและขันทีต่างรู้จักหวังทงว่าสถานะใด และรู้ว่าความดีความชอบในตอนนี้จะมีอนาคตเช่นไร
แม้ว่าตอนนี้นอกวังจะลือกันสนั่นไปทั่ว แต่อย่างไรก็แค่ข่าวลือ ในความเป็นจริงที่เห็นกันนั้น ใต้เท้าหวังยังคงเป็นขุนนางสร้างความชอบใหญ่ผู้มีอนาคตไกลประมาณมิได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนพลหลี่ที่มาพร้อมกับใต้เท้าหวังผู้นี้ นายท่านน้อยนี้เป็นขุนพลคนโปรดที่สุดของฝ่าบาท โปรดดังน้องชายแท้ๆ
คอยหน้าประตูก็ไม่ได้ลำบากอันใด กองกำลังสังกัดวังหลวงจัดหาที่ให้พักรอ ยังมีขันทีไม่รู้ว่ายกชามาจากที่ใด รอคอยอย่างสบายยิ่ง
หลี่หู่โถวมองกำแพงวังสูงเด่น หน้าตาดูตื่นเต้น กระซิบว่า
“พี่หวัง นอกจากถานปิงและถานเจี้ยน ขุนพลตระกูลถานที่เหลือก็อยู่ต่อที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ที่นั่นแม้ไม่เลว แต่ไหนเลยจะเทียบเมืองหลวงและเทียนจินได้”
หวังทงหันไปมององครักษ์วังหลวงที่กำลังตรวจสอบลังที่นำมาด้วย ส่ายหน้ากล่าวว่า
“คนเราล้วนมีอุดมการณ์ของตน ถานปิงและถานเจี้ยนหากไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพร ครั้งนี้ดีไม่ดีก็อาจอยู่ต่อที่นั่นเช่นกัน”
กลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา หวังทงมักรู้สึกไม่ชิน เพราะไม่มีถานเจียงข้างกาย ทัพใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนั้น ถานเจียงมาขอพบหวังทง
“นายท่าน พวกข้าน้อยติดตามนายท่านมาผ่านวันเวลาดีๆ มามากมาย ตอนนี้อายุมากแล้ว ควรหาที่พักยามชราได้แล้ว ตอนนั้นนายท่านถานอยู่เหนือ วันๆ ก็คิดแต่จะปราบพวกนอกด่านให้สิ้น คิดไม่ถึงว่านายท่านมาจัดการเรียบร้อยได้ ตอนนี้ครอบครองเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ แผ่นดินหมิงตอนเหนือย่อมสงบสุขไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้คนของนายท่านก็เก่งกล้าสามารถกันมาก พวกข้าน้อยพี่น้องคงไม่ได้ใช้งานอันใดมากแล้ว จึงขออยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงฝึกกองกำลังชาวบ้าน ช่วยเรื่องปกป้องเมือง”
กล่าวเช่นนี้ หวังทงนอกจากได้แต่มีท่าทีบอกไม่ถูกแล้ว ก็หาเหตุผลรั้งตัวไว้ไม่ได้ ร้านสามธาราตั้งในเมืองกุยฮว่าเฉิงสร้างระบบผู้คุ้มกันใหญ่ อย่างไรก็ต้องหาคนที่ไว้ใจได้มานำกำลังและฝึกฝน คนตระกูลถานเป็นกลุ่มที่เหมาะที่สุด
ถานต้าหู่และถานเอ้อร์หู่ที่ขอมาติดตามหวังทงก็เป็นอีกรุ่นของตระกูลถานแล้ว แต่ลูกโตแล้ว ย่อมไม่อาจรั้งพวกเขาไว้ได้ หวังทงย่อมดูแลให้ดีที่สุด ครอบครัวที่เหลือก็รับตัวมา
การจากกันเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ หวังทงยังพอทำใจให้ชินได้ ทว่าหลี่หู่โถวกลับทำใจไม่ได้ ตลอดทางมาอารมณ์จึงไปปลอดโปร่งนัก
กำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากในวัง ขันทีกับองครักษ์ด้านนอกรีบลนลานเข้าไปคำนับ ‘โจวกงกง’โจวอี้ในชุดลายงูใหญ่สีแดง พอเห็นก็รู้ว่าเพิ่งออกมาจากที่ทำการในวัง พอเห็นหวังทง สีหน้าโจวอี้ก็ตื่นเต้นดีใจมาก รีบก้าวเท้าเข้าไป กล่าวว่า
“น้องหวัง…….ใต้เท้าหวัง …….ฝ่าบาทรออยู่พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ตามพวกข้ามา!”
ต่อหน้าทุกคน เกือบหลุดเรียก ‘น้องหวัง’ ออกมา ดีได้สติหยุดทัน เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการเป็นงานทัน สองคนเดินเข้าประตูวังไป ด้านหลังมีขันทีสิบกว่าคนเดินลากหีบใบใหญ่ตามมา
พวกเขาเดินอยู่ด้านหน้า ขันทีย่อมรู้งานเดินห่างไกลสักหน่อย โจวอี้กล่าวว่า
“น้องหวังขึ้นเหนือไปครานี้ ทำให้พี่เป็นห่วงยิ่งนัก วันนี้ได้เห็นก็รู้สึกวางใจลงได้”
หวังทงยิ้ม หลี่หู่โถวหัวเราะร่ารับคำว่า
“โจวกงกง ได้ยินว่าพวกเราไปสวามิภักดิ์ศัตรูใช่หรือไม่ ได้ยินว่าพวกเราแพ้ใช่หรือไม่”
โจวอี้ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“วันนี้ได้เห็นเจ้าสองคนตัวเป็นๆ ก็วางใจได้แล้ว ฝ่าบาทก็พระทัยร้อนอยากพบพวกเจ้าเช่นกัน!”
ก้าวจบ เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว โจวอี้กลับลดเสียงลง กล่าวจริงจังว่า
“ความชอบมากย่อมสะเทือนนาย หลักการนี้น้องหวังย่อมเข้าใจดี เจ้าตอนนี้เป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน กองกำลังด้านนอกพวกนั้นไม่มีค่าอันใด ควรส่งมอบก็ส่งมอบเสีย ไปเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร จึงเป็นตำแหน่งแห่งวาสนาชั่วชีวิต”
หวังทงพยักหน้าหงึก สีหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า
“ขอบคุณพี่โจวที่เป็นห่วง ข้าเดิมไร้อำนาจทหาร ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ไยจึงโยงไปมากขนาดนั้น ช่างเหลวไหลน่าขันสิ้นดี ทว่ามีคำกล่าวว่า สามคนกล่าวย่อมราวกับเสือร้าย ข้าจึงต้องรีบกลับมา”
ได้ยินหวังทงว่าเช่นนี้ โจวอี้ก็ผ่อนลมหายใจ กระซิบว่า
“ฝ่าบาทโดดเดี่ยวองค์เดียว เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า ใกล้ชิดสนิทมากเพียงใด แต่บางเรื่องก็แตะต้องไม่ได้ หรือแม้กระทั่งให้ทรงสงสัยก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น….”
“พี่โจวกล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้าจะจดจำไว้ ขอบคุณอย่างมาก”
“เรารุ่งเรืองเป็นหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ รอเข้าเฝ้าฝ่าบาทคิดก่อนว่าจะกล่าวเช่นไร! เรื่องนี้บางทีอาจสำคัญกว่าเข้าตีเมืองกุยฮว่าเฉิง”
พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินห่างจากประตูวังไม่ไกล ด้านหน้าสามารถมองเห็นเจ้าจินเลี่ยงที่มารออยู่ เทียบกับโจวอี้ที่รอบคอบแล้ว ในวังเจ้าจินเลี่ยงมักถูกเอาใจจึงดูสบายๆ กว่ามาก เห็นพวกหวังทงมา ก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ถูกหลี่หู่โถจับไปกอด หัวเราะว่า
“ไม่ได้เห็นกันแค่ครี่งปี เจ้าสูงขึ้นไม่น้อย ทว่าไม่ได้สูงเร็วเหมือนข้า!”
พวกเขาอายุยังน้อย กำลังอยู่ในช่วงยืดตัว ที่อยู่แวดล้อมตอนนี้ก็กินดีฝึกดีกว่าคนทั่วไปมากนัก ดังนั้นจึงสูงกว่าเด็กทั่วไป หลี่หู่โถวโตสูงเท่าผู้ใหญ่แล้ว
หวังทงเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าจินเลี่ยง คว้าทองก้อนรูปนกอินทรีออกมาให้ไป ยิ้มกล่าวว่า
“ของเล่นจากทุ่งหญ้านอกด่าน เอาไปเล่น”
เจ้าจินเลี่ยงรับไป หัวเราะขอบคุณ รีบกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง พี่หลี่ ฝ่าบาทกำลังทรงรออยู่ด้านใน ขอเชิญท่านทั้งสองรีบไป!”
พอเห็นหลี่หู่โถวจะควักของเล่นต่างๆ ออกมา หวังทงเคาะหัวหลี่หู่โถวไปทีหนึ่งกล่าวว่า
“เดี๋ยวค่อยให้ก็ได้ รีบเตรียมตัวเข้าเฝ้าก่อน”
ก็ไม่เห็นมีอันใดต้องเตรียม สองคนในชุดขุนนาง ขันทีนำทางเข้ามาจัดชุดให้ คนด้านหลังเริ่มเข้ายกลังไม้
โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงนำทาง เดินมาถึงประตูพระที่นั่ง เปิดประตูออก จางเฉิงยืนอยู่ที่นั่นด้วย หวังทงส่ายหน้าหากรีบสาวเท้าเข้าไปหากล่าวว่า
“ไหนเลยบังอาจให้จางกงกงมารอรับ สมควรตายจริงๆ”
ขันทีในสำนักอาชาหลวงและสำนักส่วนพระองค์พร้อมทั้งเจ้ากรมหกกรมกองก็ออกมาต้อนรับ จากนั้นขันทีสำนักส่วนพระองค์รอรับด้านใน แม้ว่าล้วนเป็นขุนนางในวัง แต่ก็เรียกได้ว่าต้อนรับไม่ธรรมดาอยู่สักหน่อย พอเห็นหวังทงท่าทางเกรงใจ จางเฉิงก็มีสีหน้าเบาใจ เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ฝ่าบาทรอพวกเจ้าอยู่ รีบตามข้าเข้าไป!”
กล่าวจบก็เงียบไปครู่หนี่ง เห็นขันทีด้านหลังแบกหีบไม้เข้ามาก็ตกใจ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“นำมาก่อนสักเล็กน้อยเพื่อถวายฝ่าบาท อีกส่วนของท่านไว้รอทัพใหญ่เข้าเมืองมาค่อยว่ากัน”
จางเฉิงยิ้มพยักหน้าหันไปนำทาง เดินไปสองสามก้าว จางเฉิงเหมือนว่าพูดกับตนเองเหมือนว่าพูดกับหวังทงว่า
“รู้จักรุกถอย จึงจะเป็นหลักการแห่งการรักษาอำนาจวาสนา”
************
“เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ไม่ควรจะตามกองทัพเข้าเมืองมาฉลองชัยหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาตอนนี้เล่า!?”
“ราชโองการฝ่าบาทให้กระหม่อมนำกำลังปราบกองโจรม้า ป้องกันพวกนอกด่าน เรื่องพวกนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์ก็เรียบร้อย กระหม่อมตอนนี้เป็นเพียงผู้แทนพระองค์ เป็นเพียงรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทัพใหญ่เดินทางช้า กระหม่อมจึงกลับเมืองหลวงมาก่อน จึงได้รีบเร่งเดินทางมา!”
นายบ่าวซักถามตอบคำถาม ฮ่องเต้ว่านลี่เพียงแค่ส่ายหน้า ตรัสว่า
“เหลวไหล เหลวไหล เราเตรียมต้อนรับเจ้ากับกองทัพใหญ่เข้าเมือง ให้พวกขุนนางและราษฎรทั้งมวลได้ชื่นชมพระบารมีแม่ทัพแผ่นดินหมิง เจ้ากลับกลับมาเสียก่อน สิ่งที่ตั้งใจย่อมไม่อาจทำได้?”
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าบ่น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอพระทัยอันใด หวังทงกล่าวต่อว่า
“ฝ่าบาทเป็นแม่ทัพแห่งแผ่นดินหมิง กองทัพแผ่นดินหมิงได้รับชัยทั้งหมดก็ย่อมเป็นความชอบฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทนำทัพเข้าเมือง ต่อหน้าขุนนางและราษฎรทั้งมวล ให้ได้ชื่นชมพระบารมีฝ่าบาท ชื่นชมบารมีแม่ทัพแผ่นดินหมิง”
ยามกล่าววาจานี้ หวังทงท่าทางหนักแน่น หลายคนในห้องก็พากันอึ้งไป หลายคนยังไม่ทันได้สติ
“เหลวไหล ตอนนี้หวังทงเจ้าสถานะนี้แล้ว เหตุใดยังทำเหมือนตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ปากบ่นไป แต่สีหน้ายิ้มแย้มยิ่ง
*************
พอนำของในลังไม้ออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งดีพระทัย อารมณ์ดียิ่ง ในวังพระราชทานงานเลี้ยง ทุกคนยินดีปรีดาเต็มที่ พอก่อนปิดประตูวัง หวังทงกับหลี่หู่โถวจึงได้กลับไป
พอเดินออกจากวังมาได้สักระยะก็ไปรวมตัวกับทหารติดตามที่มารอรับ หลี่หู่โถวสนุกในวังไม่น้อย เดินไปไม่กี่ก้าว ก็คิดจะพูดกับหวังทง หันไปมอง ก็เห็นสีหน้าหวังทงเคร่งเครียด รอยยิ้มจางหายสิ้น หลี่หู่โถวอึ้งไม่ไม่กล้าส่งเสียงพูด เดินต่อไปอีกสักระยะ ทหารก็มารอรับ