องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 796
หลังออกจากวังมา ฟ้าก็มืดแล้ว หวังทงสถานะขุนนางคนโปรดเดินตามท้องถนน ด้านหน้าย่อมมีทหารถือโคมไฟนำทาง ไม่เช่นนั้น กองลาดตระเวนองครักษ์เสื้อแพรกับศาลอาญาใหญ่ก็มีหน้าที่เข้ามาสอบถาม
หลี่หู่โถวเป็นขุนพลใหญ่ อายุน้อย แต่ผ่านประสบการณ์มามาก เขากับหวังทงร่วมเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงมา ในใจก็รู้สึกกังวลบอกไม่ถูก แม้ว่าตลอดทางหวังทงจะดูปกติ มีคุยเล่นไม่ขาดก็ตาม
หวังทงอยู่ในวังกับโจวอี้และจางเฉิงล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้ม ในวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ บรรยากาศก็ผ่อนคลายสนุกสนานเสียงหัวเราะไม่ขาด ทุกคนล้วนวิพากษ์วิจารณ์หวังทงว่าได้รับชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างไร หลี่หู่โถวก็พร้อมหัวเราะยิ้มแย้มตามไปด้วย วิจารณ์ตามไปด้วย แต่อย่างไรเขาก็ยังรู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้องนัก
พอออกนอกประตูวังมา เห็นสีหน้าเคร่งเครียดหวังทง หลี่หู่โถวก็รู้สึกเครียดตาม เดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันไปมอง เห็นหวังทงมีสีหน้าเหมือนกับตอนขามา เหมือนว่าเมื่อครู่ที่เคร่งเครียดนั้นตนเองรู้สึกไปเอง นี่ยิ่งทำให้หลี่หู่โถวไม่สบายใจกว่าเดิม แต่เขาเองก็รู้ว่าไม่ควรถาม และไม่อาจบอกผู้ใด
“หู่โถว ทัพใหญ่อีกหลายวันกว่าจะเข้าเมืองมา เจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว คืนนี้ไม่ต้องมาตามข้า ไปอยู่เป็นเพื่อนบิดาเจ้า เจ้าออกไปทำศึก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาแม้ภายนอกไม่กล่าวอันใด แต่ในใจก็ย่อมเป็นห่วงมากไม่รู้เท่าไร!”
หวังทงบนหลังม้ายิ้มกล่าว หลี่หู่โถวบนหลังม้าเอี้ยวตัวไปรับคำ ยิ้มกล่าวว่า
“พี่หวังก็กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย หู่โถวจะกลับบ้านเลย!”
“ของที่ได้จากสงครามมาก็นำไปให้บิดาเจ้าบ้าง ให้พ่อเจ้าดีใจๆ !”
หลี่หู่โถวนำทหารติดตามจากไปกองหนึ่ง ได้ยินหวังทงบอกมา ก็ได้แต่โบกมือไหวๆ บนหลังม้า ยิ้มกล่าวว่า
“พี่หวังให้ก็เหมือนกัน วันนี้ข้าไม่อยากยุ่งยากแล้ว!”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ามุ่งไปยังจวนที่ถนนทักษิณ พวกเขาเดินอยู่บนท้องถนน เป็นที่สังเกตของคนไม่น้อย
พอฟ้ามืดลง ราษฎรล้วนต้องอยู่บ้าน พวกที่ออกมาตามท้องถนนได้มีแต่ทหารลาดตระเวนเท่านั้น แม้มีพวกคหบดีใช้ชีวิตกลางคืนก็ย่อมต้องรู้ว่าหวังทงเป็นใคร พอเห็นก็ยังต้องอึ้ง รอให้หวังทงเดินผ่านไป จึงรีบสั่งให้คนไปแจ้งข่าวมิตรสหาย หวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว
“ใต้เท้า ใต้เท้าหลี่ว์ศาลซุ่นเทียน นายกองพันหลี่สำนักรักษาความสงบ ยังมีท่านหยาง บอกว่า เพื่อไม่ให้เอิกเกริก พวกเขารอพบใต้เท้าอยู่ที่จวน ไม่มาต้อนรับที่นี่แล้ว”
หวังทงบนหลังม้าพยักหน้า จวนเขาอยู่บนถนนทักษิณห่างจากวังหลวงไม่ไกลนัก ไม่นานก็ไปถึง เส้นทางสั้นๆ เมื่อครู่ตอนนี้หน้าประตูก็มีสายสืบมายื่นหน้ายื่นตาจับตามองแล้ว
พอโดดลงจากหลังม้า หวังทงโยนแส้ให้ทหารติดตามข้างกาย สั่งการไปว่า
“หากไม่ใช่ชาวบ้านบนถนนสายนี้ ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่ทำการที่นี่ ให้ลงแส้ไล่ไปให้หมด หากคิดต่อต้าน ก็จับไปขังคุกที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร พรุ่งนี้สอบสวน”
ทหารติดตามอึ้งไป แต่ก็รับคำสั่งเสียงดัง ก่อนจะรีบออกไปปฏิบัติ คนงานและผู้คุ้มกันจวนหวังทงกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่กันได้ร่วม 200 ล้วนเคยเห็นการสังหารเลือดมากันหมด พวกผีสืบความด้านนอก พวกที่แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ยังไม่รู้ตัว ก็ถูกทหารมาล้อมไว้แล้ว
หน้าประตูจวนหวังทงมีเสียงร้องเรียกหาพ่อหาแม่ดังไปทั้งแถบ มีคนตะโกนดังว่า ‘ข้าเป็นคนของ…’ คนพวกนี้ก็ย่อมยิ่งโดนหนัก เดิมลงแส้ไม่กี่ที แต่พอตะโกนออกมา ก็มักถูกฟาดกลิ้งไปกับพื้น ก่อนจะมัดตัวออกไป
รอนแรมข้างนอกแม้ว่าไม่ได้กินดีอยู่ดี นำทัพจับศึกมานานเช่นนั้นก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายอันใด แต่พอกลับมาถึงจวน หวังทงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
เขาอยู่นิ่งอยู่หน้าประตู มองๆ เข้าไปด้านใน ทหารติดตามและผู้คุ้มกันก็ไม่กล้ารบกวน ระวังภัยรอบๆ ไม่ให้มีพวกตามท้องถนนมาทำให้ต้องรำคาญใจ หวังทงพึมพำเบาๆ ว่า
“ทำเพื่อแผ่นดินหมิง ทำเพื่อความสุขประชาราษฎร์ หรือว่าข้าทำผิดไปแล้ว?”
หวังทงพึมพำกับตนเองเบายิ่ง ถนนวุ่นวายเช่นนี้ ผู้ใดจะทันได้สังเกต
*************
“ท่านหยางเตือนได้ถูกต้อง หลังชัยชนะใหญ่ หลากหลายความยินดี ความดีความชอบเป็นที่สะดุดตา ข้าเองก็รู้สึกได้ใจลืมตัวไปบ้างเหมือนกัน!”
พอกลับถึงจวน อย่างไรก็ต้องระบายกับคนกันเอง หวังทงกลับมาก่อนกำหนด สบายใจหรือไม่ก็พูดยาก พวกหยางซือเฉินช่วยพูดปลอบให้คิดตก คำตอบหวังทงก็ง่ายมาก
พอพูดจบ เห็นบรรยากาศในห้องอึมครึม หวังทงยิ้มนั่งลง กล่าวว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิงทางนั้นหนาวกว่าเมืองหลวงไม่น้อย แต่ก็มีความชื้นมากว่าเมืองหลวงสักหน่อย นี่เป็นเรื่องน่าแปลก!”
“น้องหวังไปชายแดนเหนือ ข้าเองก็อ่านบันทึกก่อนๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำ เป็นสบแม่น้ำ ย่อมไม่ขาดแคลนน้ำ”
หลี่ว์วั่นไฉยิ้มกล่าว ทุกคนพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง หวังทงยิ้มพยักหน้า สีหน้าเคร่งอยู่สักหน่อย กล่าวว่า
“นำทหารออกทุ่งหญ้า โจมตีเผ่าอันต๋า เรื่องนี้ข้ามั่นใจอยู่ หลายวันก่อนเอกสารจากสำนักรักษาความสงบเอ่ยถึง ข่าวลือเมืองหลวงถึงขั้นนี้ได้ ตอนข้านำทัพออกศึกไม่ได้กังวลอันใดมากนัก ทว่าได้ชัยชนะใหญ่กลับมา สถานการณ์ตอนนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกอันตรายกว่าเมื่อก่อน!”
กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไป หวังทงหยิบถ้วยชาออกมาทับเอกสารปึกหนึ่งไว้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“สถานการณ์ยามนี้ละเอียดอ่อนที่สุด ข่าวลือป้ายสี จริงเท็จไม่รู้กัน แต่ขอเพียงมีคนได้ฟังก็จะนำไปคิด คิดนานวันเข้า คนพูดกันมากเข้า เท็จก็กลายเป็นจริงได้”
พวกหยางซือเฉินพากันพยักหน้า หยางซือเฉินกล่าวว่า
“ที่จริงใต้เท้านำทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะเป็นเรื่องมีเกียรติ แต่ข่าวลือแพร่สะพัดทั่วเมืองหลวงตอนนี้ ตอนใต้เท้านำทัพเข้าเมืองมา รอตรวจกองทัพ รอต้อนรับก่อนเข้าเมือง ในสายตาคนที่คิดการไม่ดีเกรงว่าคงเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นได้”
“ท่านหยางกล่าวได้ไม่ผิด ดังนั้นพอมีข่าวลือเกิดขึ้น ทุกคนก็ร่วมกันเขียนจดหมายถึงน้องหวัง จากนั้นก็ให้สำนักรักษาความสงบสืบหาต้นตอข่าวลือพวกนี้”
หวังทงยกชาขึ้นดื่ม วางลงบนโต๊ะเสียงดังอยู่ หวังทงแค่นยิ้มกล่าวว่า
“กล่าวหาข้าความดีความชอบเหนือนาย กล่าวหาข้าคิดการไม่ซื่อ ก่อนข้าไป กล่าวหาข้าว่าทำการพลการ ไม่คิดถึงชีวิตทหารนับหมื่น กล่าวหาข้าว่าทำให้แผ่นดินหมิงตกในสถานการณ์อันตราย ทำอย่างไรก็ผิด พวกขุนนางระดับห้าลงไปหาเรื่องส่งเสียงเอะอะ พวกขุนนางระดับห้าขึ้นไปก็ทำเป็นนิ่งเงียบไม่ยับยั้ง บ้างก็ยังถึงกับส่งเสริมอีก ก็เพียงเพราะว่าข้าสร้างความชอบใหญ่ วันหน้าทำอันใดย่อมมีน้ำหนักมาก ไม่เห็นหัวพวกเขา….ทุกคนล้วนเป็นขุนนางแผ่นดินหมิ เหตุใดจึงได้………”
พูดไป ๆ หวังทงก็เริ่มสะเทือนอารมณ์ ทว่าก็ระงับไว้ทัน สูดลมหายใจเข้าลึกสองสามที หลี่ว์วั่นไฉคลี่พัดออกพัดไปมาสองสามที ถอนหายใจกล่าวว่า
“น้องหวัง มีบางเรื่องไม่อาจกล่าวกระจ่างได้ก็อย่าได้กล่าวเลย น้องหวังตอนนี้ยิ่งยิ่งใหญ่ คนข้างกายก็ยิ่งมาก พวกเราอำนาจมาก ย่อมมีคนอำนาจน้อยลง ก็ย่อมคิดอิจฉา ก็ย่อมคิดโจมตี”
หวังทงแค่นเสียงเย็น หยางซือเฉินข้างๆ คิดไปมาก็กล่าวว่า
“ใต้เท้า ทุกเรื่องต้องรอบคอบให้มากไว้ก่อน อย่างไรตอนนี้คนมากมายต้องพึ่งพาใต้เท้าปกป้อง หากใต้เท้าเป็นอันใดไป พวกเขาย่อมกระทบกระเทือนไปด้วย”
อยู่กับหวังทงมานาน ล้วนรู้ว่าแม้หวังทงอายุน้อย แต่ก็มีความรับผิดชอบที่หาได้ยาก อยากบอกว่านำทัพออกนอกด่านชายแดนเหนือ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ประโยชน์อันใด แพ้มากลับมีโทษล้างตระกูลอีก ชนะมา สถานการณ์ก็เป็นเช่นตอนนี้ นำภัยมาถึงตัวได้ง่าย แต่หวังทงก็พูดได้ถูกต้อง การรบครานี้สามารถสร้างความสงบสุขให้ชายแดนตอนเหนือของแผ่นดินหมิงไปได้อีกนานปี สามารถทำให้ทหารชายแดนได้มีชีวิตที่สงบสุขและสบายไปกว่าครึ่ง
จึงเลือกปลอบใจโดยไม่พูดถึงเรื่องกระทบเสียหายส่วนตัว แต่ยกเรื่องที่ทุกคนพึ่งพาวาสนารุ่งเรืองไปพร้อมกับหวังทง เป็นตายร่วมกัน ก็ย่อมสามารถเตือนสติหวังทงได้
หวังทงพยักหน้า โบกมือ เหมือนว่ายกเรื่องนี้ทิ้งไป เริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นว่า
“กลับมาถึงเมืองหลวง ก็ต้องจัดการข่าวลือเหลวไหลพวกนี้ก่อน ทัพใหญ่นำไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หลั่งเลือดและหยาดเหงื่อ ด้านหลังกลับขยับปากใส่ร้ายป้ายสีเหลวไหลอย่างไม่เกรงกลัว ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด ไม่ใช่ให้คนพวกนี้เอามาใช้งานเช่นนี้ สำนักรักษาความสงบและที่อื่นๆ ตรวจสอบอันใดได้บ้าง ลองเล่ามาหน่อย”
หลี่เหวินหย่วนที่เอาแต่เงียบ ยามนี้กล่าวว่า
“ข่าวลือว่าทัพใหญ่มาถึงเมืองเป่าติ้งไร้ระเบียบวินัย รังแกสตรี สังหารราษฎร เริ่มมาจากร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเขตทักษิณ คนงานร้านน้ำชาเล่าว่า พวกที่มาดื่มน้ำชาที่ร้าน เป็นพ่อค้าเครื่องประดับสองคน ไปตามร้านน้ำชาและหอสุราในเมืองหลวง ข่าวนี้เหมือนว่ามาจากวันนั้นทั้งหมด ล้วนเป็นเถ้าแก่คนงานร้านพวกนั้นเล่ากัน”
หวังทงฟังอย่างละเอียด ยามนี้แทรกขึ้นว่า
“ดูท่ามีคนจัดฉากปล่อยข่าวลือ ร้านค้าพวกนี้เบื้องหลังเป็นผู้ใดเป็นเจ้าของกัน”
“เจ้าของสืบได้ยาก หลักฐานที่แจ้งไว้ที่สำนักรักษาความสงบตอนจ่ายเงินค่าป้ายสงบสุขนั้นไม่ใช่คนเดียวกัน หลายวันก่อนจึงได้ข่าวมาว่า น่าจะเป็นอู่ชิงโหว……”
“คนตระกูลหลี่ยังไม่สิ้นความพยายามอีกหรือนี่!”
หวังทงยิ้มเยียบเย็น กล่าวต่อว่า
“ข่าวลือสร้างความดีความชอบเหนือนาย นำทัพออกขึ้นเหนือด้วยคิดการไม่ซื่อพวกนี้ เป็นผู้ใดปล่อยข่าว?”
“ใต้เท้า หลังชัยชนะใหญ่ ร้านค้าแต่ละแห่งล้วนมีบัณฑิตกลุ่มหนึ่งไปแอบเล่าเรื่องพวกนี้ แต่พวกที่กล้ายื่นฎีกาก็น่าจะหลังวันที่ 15 เดือนสี่ ตรวจสอบแล้ว จุดเริ่มต้นก็พบง่ายมาก ก็เป็นขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิง พวกที่ยื่นฎีกาและกระจ่ายข่าวก็เป็นพวกเขาที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ …….”
หยางซือเฉินเสริมขึ้นว่า
“เหยียนชิงที่กำลังจะกลับบ้านเกิดแล้วและลูกศิษย์เหยียนชิงทั้งหลาย ข่าวจากในวังและในราชสำนักล้วนยืนยันได้”
หวังทงแค่นหัวเราะ เคาะโต๊ะน้ำชากล่าวว่า
“เพราะคนพวกนี้มักทำให้อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะหัวเราะก็ไม่ได้ เจ้าคิดว่าเขาริษยาพวกมีความชอบ เขากลับคิดว่าตนเองทำเพื่อแผ่นดินและชาวประชา ในเมื่อทุกคนล้วนทำเพื่อแผ่นดิน เหตุใดจึงได้เคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้!?”
คนรอบหวังทงไม่รู้จะรับคำเช่นไร พอเกี่ยวพันไปถึงการต่อสู้ในราชสำนัก ไปถึงตำแหน่งขุนนางบุ๋นบู๊ มันเริ่มซับซ้อนเกินไป หวังทงเงียบไปก่อนแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า
“พวกเลอะเลือนนี้ส่งสัญญาณเตือนไปก็พอ ที่เหลือให้ถือหัวมาไถ่โทษ!”