องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 798
หัวหน้ากองในกรมเป็นตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว ในหน่วยงานกรมกอง เจ้าหน้าที่ทุกคนยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน
ทุกวันสองคนมาพูดที่สมาคมซูโจว แม้ว่ามีสายสัมพันธ์กับเสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงแบบอาจารย์และศิษย์ แต่เหยียนชิงเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ได้ดูแลลูกศิษย์ดีสักเท่าไร ปกติพวกเขาย่อมไม่ได้ประโยชน์อันใด
แต่หลายวันนี้พวกเขาฮึกเหิม มากล่าวปลุกระดมที่สมาคมนี้ มีคนมาล้อมมุงรับฟังกันมาก สองคนชื่อเสียงก็โด่งดัง ต้องรู้ว่า สองคนไม่ได้มาสมาคมซูโจวครั้งแรก แต่ที่นี่ขุนนางมาก ผู้ใดจะสนใจขุนนางระดับธรรมดาสองคนนี้กัน
แต่ตอนเขาสองคนเข้ามาในสมาคม ก็มีคนนำน้ำชาไปต้อนรับ เหลือที่นั่งที่ดีให้ พวกที่สถานะตำแหน่งสูงกว่าหรือชื่อเสียงมากกว่าก็เข้ามาทักทายพวกเขา
ที่บอกว่ามีชื่อก็เป็นเช่นนี้เอง ตามที่เคยเป็นมา สองคนทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าบัณฑิตมีชื่อแล้ว ยังได้ชื่อว่า ‘พวกใจกล้า’ อีกด้วย มีชื่อเสียงเช่นนี้ วันหน้ามีตำแหน่งดีๆ อันใดก็ย่อมต้องมีโอกาสได้ไปดำรงแทน
ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด และวาจาไม่ได้เป็นอักษร ตรวจสอบไร้หลักฐาน ไม่ต้องกังวลไปว่าจะถูกจับไปลงโทษ ดังนั้นสองคนจึงกระตือรือร้นยิ่ง
ข่าวหวังทงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว สมาคมซูโจวก็มีคนรู้แล้ว แต่คนที่รู้ไม่คิดป่าวประกาศ และยิ่งไม่คิดบอกกล่าวแก่สองคนนี้
จางป๋ออวี่กับหลี่กวงถิงแค่เริ่มพูด ก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรตะโกนเรียกตัว องครักษ์เสื้อแพรห้านายอยู่นอกวง สีหน้าเอาเรื่องจ้องมอง ผู้ฟังก็พากันวงแตก
เป็นขุนนางราชสำนัก ย่อมรู้ความร้ายกาจขององครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ ทว่าคนมากมายเช่นนี้ จางป๋ออวี่กับหลี่กวงถิงไม่อาจเสียหน้าได้ จางป๋ออวี่ส่งเสียงแค่นฮึ กล่าวว่า
“เป็นข้าสองคน พวกเจ้า …….”
กล่าวไม่ทันจบ ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายก็เข้ามาลงมือ จับแขนพวกเขาไพล่หลัง เตรียมนำเชือกออกมามัด
“…….พวกเจ้าทำอันใดกัน!! พวกข้าเป็นขุนนางมีตำแหน่ง พวกเจ้ากล้า……”
“จางป๋ออวี่ หลี่กวงถิง เจ้าสองคนพูดจาหลอกลวงผู้อื่น ใส่ร้ายขุนนางทหารในพระองค์ สงสัยว่าพวกเจ้าคิดการไม่ซื่อ ถูกคนชักใย จับตัวไปลงโทษ!!”
เมื่อครู่สองคนยังตะโกนว่าชัยชนะนอกด่านคิดการไม่ซื่อ คิดไม่ถึงว่ากรรมสนองเร็วมาก วาจานี้ถูกทหารองครักษ์เสื้อแพรนำกลับมาทุ่มใส่หัวพวกเขาเอง
ถูกตวาดและถูกจับมัด สองคนไหนเลยเคยพบเจอ ยามนี้คิดถึงเรื่ององครักษ์เสื้อแพรจับกุมไม่ต้องผ่านกรมอาญา จับตัวเข้าคุกไปได้เลย คิดแล้วก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง
จางป๋ออวี่สองคนแตกตื่น หลี่กวงถิงอายุน้อยกว่า แผดเสียงดังตะโกนขึ้นว่า
“พวกข้าไม่มีความผิด องครักษ์เสื้อแพรลบหลู่ขุนนางราชสำนักกลางสาธารณชน พวกเรามีการศึกษา พวกเจ้าไม่รู้กาละ……”
วาจาพรั่งพรูแค่เริ่มต้น ปากก็ถูกยัดด้วยผ้าก้อนหนึ่ง จางป๋ออวี่ก็ไม่แตกต่างนัก สองคนพูดไม่ออก กลัวจนสั่นไปทั้งตัว องครักษ์เสื้อแพรไม่เกรงใจพวกเขาแม้แต่น้อย ลากออกไปราวกับสุนัขสองตัว
ขุนนางรอบๆ เห็นดังนี้ก็คิดหวาดกลัว บัณฑิตอ่านตำราเน้นเรื่องการวางตัวนุ่มนวล สองคนถูกจับมัดไป ท่าทางเอน็จ อนาถเช่นนั้น หากเป็นตนเองคงเสียหน้าหมดสิ้น องครักษ์เสื้อแพรเป็นอาวุธร้ายหวังทงจริงๆ พอถูกล่วงเกินก็ฟันมาทันที
ทว่าทุกคนเองก็แปลกใจ ไม่เพียงแต่สมาคมซูโจว สมาคมและร้านน้ำชาอื่น พวกที่ป่าวประกาศเช่นนี้ไม่น้อย ครึ่งเดือนมานี้มีไม่น้อยเลย เหตุใดวันนี้จึงเพิ่งมีปฏิกิริยา ไม่ว่าอย่างไร เทพท่านนี้พวกเราไม่อาจล่วงเกิน ห่างไกลไว้ดีกว่า แต่คิดได้เช่นนี้ ตอนนี้คิดจะถอนตัวก็ไม่ง่ายเช่นกัน
สององครักษ์เสื้อแพรลากตัวออกไป ในห้องยังมีอีกสาม กลุ่มคนมุงดูมีสองคนเดินออกมา ในมือมีกระดาษพู่กัน คุยกับทหารองครักษ์เสื้อแพรไม่นาน ก็กล่าวว่า
“เมื่อครู่สองคนกล่าวใส่ร้ายต้องจดไว้ให้ดี ทุกท่านอยู่ที่นี่ มาลงชื่อให้มด เป็นพยาน!”
ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว องครักษ์เสื้อแพรทำงานละเอียดรอบคอบ คนพูดหนีไม่พ้น คนฟังก็สลัดสัมพันธ์ไม่พ้น แต่ถึงตอนนี้แล้ว ก็ไม่อาจทำอันใดได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงชื่อเป็นพยานไป
************
“ใต้เท้า ห้าสมาคมในเมือง ร้านน้ำชา 20 แห่ง ถูกจับได้หมดแล้ว ตอนนี้จับกุมมาแล้ว!”
หวังทงขี่ม้าไปตามท้องถนน มีนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรขี่ม้าตามมารายงานบนหลังม้า หวังทงพยักหน้าสั่งว่า
“ส่งไปสำนักรักษาความสงบกับหน่วยวินัยทหารสอบสวน วันนี้ต้องได้คำให้การ อย่าให้บาดเจ็บอย่าให้ถึงตาย วิธีการอื่นนำมาใช้ เช่น หากครอบครัวมีการค้า ก็ให้เตือนไปตรงๆ ไม่ยอมร่วมมือ ย่อมส่งผลต่อการค้าพวกเขาที่ต้องล้มละลาย!”
นายกองร้อยบนหลังม้าคำนับรับคำสั่ง รีบขี่ม้ากลับไป หวังทงภายใต้กองอารักขา กำลังถึงที่หมาย ทางตอนเหนือของเมืองหลวง ตามท้องถนนไม่เห็นราษฎร คนขี่ม้านั่งรถกันมาก คนเดินถนนมักแต่งกายแบบคนรับใช้ทั่วไป ที่เมืองหลวงบริเวณนี้เป็นที่พำนักคนรวย คนพวกนี้ร่ำรวยกันจากรุ่นสู่รุ่น ความเป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวยนี้ยากจะเห็นได้ที่อื่น
ถนนสองข้างทางล้วนเป็นกำแพงขาวกระเบื้องดำ จวนกว้างใหญ่ ผ่านหน้าประตูเป็นระยะ ประตูใหญ่สีแดงชาด รอบๆ ราวกับวัง ตกแต่งเรียบร้อยเป็นระเบียบ คนงานที่ท่าทางมีระดับยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
คนงานแต่งกายกันด้วยผ้าแพรต่วนชั้นดี ครอบครัวเล็กๆ ที่จูงม้าผ่านมาตลอดชีวิตนี้ย่อมซื้อไม่ไหว จากกลางประตูมองเข้าไปเห็นสวนด้านใน เห็นดอกไม้นานาพรรณ ศาลาริมน้ำ ความหรูหราเช่นนี้ ใต้หล้าก็มีแค่หนานจิงจึงจะมีที่เช่นนี้ได้
ที่นี่ก็คือที่พักของพวกระดับสูงสุดในแผ่นดินหมิง หวังทงบนหลังม้ามองเห็นได้ชัดเจน มีขุนนางระดับสี่กำลังยิ้มแย้มพูดจามีมารยาทอยู่หน้าประตู คนงานตระกูลนั้นก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ วางตัวโอ้อวดกว่าทั่วไป
แต่พอคนพวกนี้เห็นหวังทงมาพร้อมทหารม้า ก็พากันตกใจ หวังทงบนหลังม้ามองซ้ายมองขวา พวกที่ถูกหวังทงกวาดตามองมา ล้วนพากันก้มหน้าหลบสายตาอย่างไม่อาจระงับ บ้างถึงกับหลบเข้าไปหลังประตู ท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หวังทงนึกเยาะในใจ ล้วนเป็นพวกทำทีดุดันแต่ข้างในนั้นขลาดกลัว พวกอาศัยบารมีนายรังแกผู้อื่น ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
เดินขึ้นหน้าไปอีกราวร้อยก้าว ก็ไปถึงสระน้ำใหญ่ รอบสระเป็นป่า ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นๆ ในเมืองหลวง ต้นไม้รอบสระน้ำรกราวกับกองขยะ ดูสกปรกรุงรังอย่างมาก แต่ก็เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย เป็นภาพราวกับท้องทุ่ง พวกชนชั้นสูงจึงเก็บรักษาไว้
มีคนสร้างศาลาพักที่นี่ ส่งคนมาทำความสะอาดตลอด ทำให้ที่นี่ยิ่งเรียบร้อยเป็นระเบียบ ทิศทัศน์ยิ่งดึงดูดคน เพราะเช่นนี้ ที่นี่จึงมีราคาสูงกว่ารอบๆ พื้นที่ตอนเหนือเดิมเป็นที่พักของพวกชนชั้นสูงที่สุดในเมืองหลวง ที่นี่เป็นพื้นที่ๆ แพงที่สุด สามารถตั้งกิจการที่นี่ได้ ก็สามารถบ่งบอกสถานะและการเงินได้
แต่มาถึงรัชสมัยหลงชิ่ง ความงดงามนอกเมืองก็กลายเป็นจวนพร้อมสวนส่วนตัวของตระกูลหนึ่งไป หวังทงมาถึงก็บังคับม้าให้หยุด เดินหน้าไปอีกราวร้อยก้าว เป็นพื้นที่กว้าง ด้านหน้ามีถนนสี่สายตัดขวางกันโอบรอบพื้นที่หนึ่งที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่หลังเดียว
นี่ก็คือตระกูลที่สูงที่สุดในเมืองหลวง เป็นบุคคลชนชั้นสูงอันดับหนึ่ง เป็นพี่ชายแท้ๆ ไทเฮาปัจจุบัน เป็นน้าแท้ๆ ของฮ่องเต้ จวนอู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียน
หวังทงลองกะด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าจวนนี้ไม่ธรรมดา กำแพงสูงคั่นนี้สามารถมองเห็นอาคารศาลาสูงใหญ่ด้านในได้ มีคนเคยได้เข้าไปเที่ยววิจารณ์ว่า จวนอู่ชิงโหวนี้เป็นหนึ่งในใต้หล้า แม้แต่จวนเว่ยกั๋วกงที่หนานจิงก็ยังสู้ไม่ได้ มีคนว่าหรือว่าวังก็สู้ไม่ได้ด้วย คนผู้นั้นกลับบอกว่า อุทยานปัจจิมในวังอย่างไรก็สร้างหลายสิบปี อะไรๆ ก็ล้าไปหมดแล้ว…
“ผู้ใด รีบลงจากม้าเดี๋ยวนี้!!”
พวกหวังทงเพิ่งก้าวมาถึง ก็ได้ยินคนหน้าประตูจวนอู่ชิงโหวตวาดดัง หวังทงอึ้งไป ยังคงเคลื่อนไหวช้าๆ ไปยังหน้าประตู ด้านหลังทหารม้าอีกหลายสิบก็ตามมา
“เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่จวนผู้ใด เจ้ายังกล้าอยู่บนหลังม้า?”
คนตะโกนเห็นได้ชัดว่าร้อนใจอย่างที่สุด เห็นพวกหวังทงยังคงไม่หยุดม้า หลายคนวิ่งกรูกันเข้ามา เห็นการแต่งกายแล้ว ระยะไม่ถึงสิบกว่าก้าว ก็โบกมือไปมา ร้องตะโกนว่า
“จวนอู่ชิงโหวคือสถานที่ใด ไม่ว่าเจ้าระดับใด ก็ต้องลงจากม้า ในสายตาเจ้ายังมีฮ่องเต้……”
เข้าใกล้ม้าหวังทงอีกไม่กี่ก้าว ยังชี้มือชี้ไม้ แส้ในมือหวังทงยกตวัดใส่ทันที คนผู้นั้นไม่คิดเลยว่าหวังทงถึงกับกล้าลงมือ ไม่ทันได้ระวัง ใบหน้าก็ถูกฟาดปรากฏรอยปื้นแดง รีบกุมใบหน้าส่งเสียงร้องเจ็บปวด
“หรือว่าเจ้าคิดไม่เคารพไทเฮากับฮ่องเต้หรือ?”
อีกสามคนที่วิ่งตามมา คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะลงมือ ตกใจยืนนิ่งพร้อมกัน รอจนเห็นว่าหวังทงอยู่ในชุดรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความกล้าก็ยิ่งมากขึ้น กำลังจะอวดอ้างบารมีนายข่ม ก็เห็นหวังทงยังคงเคลื่อนม้าเข้าใกล้ อดไม่ได้พากันตกใจหลีกทาง
“ในวังมีราชโองการให้ขุนนางบุ๋นบู๊ลงจากหลังม้าหรือเกี้ยวหน้าจวนอู่ชิงโหวหรือ?”
หวังทงบนหลังม้าถามน้ำเสียงเยียบเย็น ด้านหน้าสามคนตอบไม่ได้ ไทเฮาฉือเซิ่งแม้เป็นพี่น้องกับนายตน แต่การวางอำนาจเหิมเกริมย่อมทำไม่ได้นัก เพราะทุกคนชินเสียแล้วจึงให้ความเกรงกลัวต่ออำนาจอู่ชิงโหว จึงไว้หน้าพวกเขาอยู่หลายส่วน
พอเห็นพวกองครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจยังคงเคลื่อนม้าเข้ามา คนงานสามคนตกใจอย่างมาก เมืองหลวงนี้ถึงกับมีคนไม่ไว้หน้าอู่ชิงโหว พากันถอยชุลมุน มีคนสะดุดขาล้มลงกับพื้น เห็นม้าก้าวเข้ามาก็ได้แต่ส่งเสียงร้องอย่างแตกตื่นตกใจ
ม้าย่อมไม่เหยียบ แต่เสียงกลับทำให้ผู้คุ้มกันหน้าประตูรู้สึกเครียดเห็นพวกเขาเป็นดังศัตรูใหญ่ หวังทงไม่สนใจแม้แต่น้อย หากโดดลงจากหลังม้ากล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรหวังทง ขอมาคารวะอู่ชิงโหว!”